เมื่อมาถึงจวนเรือนหก เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวขึ้นไปเคาะประตูอย่างทนรอไม่ไหว
มีคนเปิดประตูออก เมื่อเห็นทุกคนก็สะดุ้งตกใจ ก่อนรีบทำความเคารพ
“นายท่านกับฮูหยินอยู่หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายยกมือปัดไม่ถือสา
“นายท่านกับฮูหยินอยู่ข้างในขอรับ” คนเฝ้าประตูพยักหน้า
“รีบไปรายงาน พวกเราอยากพบนายท่านกับฮูหยิน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโล่งใจทันที กล่าวด้วยความดีใจ
คนเฝ้าประตูขานรับ ก่อนวิ่งแจ้นไปข้างในเรือน
ไม่นานคนในเรือนหกต่างตื่นตกใจ ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน และฮูหยินหมิงออกมาข้างนอก คนกลุ่มหนึ่งพากันออกมาด้วยความอึกทึกครึกโครม
ฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกกับหลินไท่เฟยแห่งวังหลวงสนิทสนมกัน แม้มิได้มียศศักดิ์ แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่นี่
ต่อหน้านาง อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหวต่างเด็กกว่า นึกไม่ถึงว่านางจะออกมาต้อนรับด้วย จึงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่าโยกมือปราม รีบเอ่ยว่าไม่เป็นไร แล้วเอ่ยถามพวกอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นกับจวนของเราหรือไม่ ไฉนถึงรบกวนพวกท่านแห่กันมาได้”
“ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจเถิด มิใช่เรื่องใหญ่ในจวน แต่เป็นเรื่องใหญ่ในราชสำนัก พวกข้ามาเพราะมีเรื่องอยากขอร้อง” อิงชินอ๋องรีบส่ายหน้า
เมื่ออิงชินอ๋องเอ่ยคำว่าขอร้อง ฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกก็สะดุ้งตกใจ รีบมองไปยังบุตรชายและลูกสะใภ้ของตน
เนื่องด้วยนายท่านหกมีร่างกายอ่อนแอ ตลอดมาไม่เคยเข้ารายงานตัวยามเหม่า*[1]ในฐานะขุนนางราชสำนัก ดูแลเพียงกิจการในจวนบ้าง ทว่าก็มิใช่คนโง่เขลา ในทางกลับกันคนตระกูลเซี่ยต่างชาญฉลาด ได้ยินเช่นนี้ก็รีบกล่าว “ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสอง และท่านโหว เชิญเข้ามาข้างในก่อน”
พวกอิงชินอ๋องทราบดีว่าหน้าประตูมิใช่สถานที่ที่ควรคุยกันจึงพยักหน้ารับพร้อมเพรียง
ทั้งหมดเข้าไปในจวน
เมื่อมาถึงห้องรับแขก จัดหาน้ำชาและผลไม้มาต้อนรับแล้ว พร้อมทั้งไล่คนรับใช้ออกไป เหลือเพียงฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านหก และฮูหยินหมิงสามคน
อิงชินอ๋องเอ่ยถึงจุดประสงค์ในการมาก่อน แล้วถามว่าที่จวนมีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่
“ที่แท้ท่านอ๋องก็มาเพราะเรื่องนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าแม้อายุมากแล้ว แต่ก็ยังไม่เลอะเลือน โบกมือปัดกล่าว “ครึ่งชั่วยามก่อน ไท่เฟยก็ทรงส่งคนมาถ่ายทอดข้อความกับข้า ถามหาสมุนไพรดำม่วงนี้เช่นกัน ต่อมาข้าถึงทราบว่าเมืองหลินอันเกิดเรื่อง จำต้องใช้สมุนไพรดำม่วง ทว่าจวนของเราไม่เคยมีสมุนไพรดำม่วงเลย”
“นึกไม่ถึงว่าไท่เฟยทรงส่งข่าวบอกท่านแล้ว” อิงชินอ๋องชะงัก
“ไท่เฟยก็ทรงทำเพื่อองค์ชายแปด ตั้งแต่รัชทายาทไปจากเมืองหลวง องค์ชายแปดก็ต้องดูแลบ้านเมืองแทน ถึงอย่างไรองค์ชายแปดก็ยังเด็ก เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ได้ยินข่าวแล้วก็ทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ ทั้งในและนอกเมืองต่างไม่มีสมุนไพรดำม่วง ไท่เฟยจึงลองถามข้าดูว่าที่จวนมีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว
“ฮูหยินผู้เฒ่า เรือนหกสำหรับตระกูลเซี่ยแล้วถือว่าไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก เท่าที่ข้าทราบมา ตระกูลเซี่ยทุกจวนล้วนมีคลังส่วนตัว โดยเฉพาะนายท่านหกที่ป่วยหลายโรคตลอดปี โดยปกติต้องมีสมุนไพรสำรองทุกชนิด แต่เหตุใดถึงไม่เคยมีสมุนไพรดำม่วงเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้องฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…” ฮูหยินผู้เฒ่ามองเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความลังเลอยู่บ้าง
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องใดปกปิดอยู่ใช่หรือไม่” หย่งคังโหวถาม
อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายขวาก็มองฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังบุตรชายและลูกสะใภ้ของตน
นายท่านหกกับฮูหยินหมิงเองก็มีท่าทางลำบากใจ ราวกับมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกพูด
“ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านหก ฮูหยินหมิง เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาดพวกเจ้าคงจะทราบกันแล้ว ตอนนี้รัชทายาทก็ติดโรคห่าที่เมืองหลินอันเช่นกัน แสนกว่าชีวิตในหลินอันกำลังรอสมุนไพรดำม่วงไปรักษา ทว่าในรัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันถูกคนรีดไถเอาสมุนไพรดำม่วงไปหมดแล้ว เมื่อข่าวแพร่มาถึงเมืองหลวง วันนี้
ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ไม่ว่าร้านยาใหญ่ในเมืองหรือจวนใหญ่ต่างๆ ขอเพียงมีสมุนไพรดำม่วง ให้รีบนำไปช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ทว่าหาจนทั่วทั้งในและนอกเมืองแล้วกลับไม่มีสมุนไพรดำม่วงเลยสักต้น พวกข้าจึงนึกจวนพวกท่าน นึกได้ว่าตระกูลเซี่ยน่าจะมีสมุนไพรดำม่วงสำรองไว้” อิงชินอ๋องมองทั้งสามพลางเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว หากไม่มีสมุนไพรดำม่วง มิใช่แค่รัชทายาทเท่านั้นที่ช่วยมิได้ แต่แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันก็จะช่วยไว้มิได้เช่นกัน เมืองหลินอันก็จะล่มสลายลง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านโหวเซี่ยแห่งจวนจงหย่งโหวก็อยู่ระหว่างเดินทางไปม่อเป่ย แต่ติดฝนอยู่ที่เมืองหลินอัน ประจวบเหมาะที่เผชิญกับโรคห่าระบาดพอดี ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ที่เมืองหลินอันด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “เรือนหกกับจวนจงหย่งโหวเป็นจวนที่ใกล้ชิดกันที่สุด ถึงแม้มองดูรัชทายาทเป็นอะไรไปได้ แต่คงไม่อยากให้ท่านโหวเซี่ยเป็นอะไรไปหรอกกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้ก็หันมองซ้ายขวา นายท่านหกกับฮูหยินหมิงมองหน้ากัน ก่อนพยักหน้าให้
ฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเอ่ยขึ้น “มิใช่ว่าข้าไม่อยากบอก แต่เรื่องนี้ค่อนข้างพูดยาก แต่ในเมื่อเกี่ยวข้องกับชีวิตของ
รัชทายาทและท่านโหวเซี่ย ย่อมไม่ต้องพะว้าพะวงมากถึงเพียงนั้นแล้ว”
พวกอิงชินอ๋องต่างรอตั้งใจฟัง
“ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสอง และท่านโหวแม้อยู่ในเมืองตลอดเวลา อาจยุ่งกับงานราชการ และรู้เรื่องบางอย่างเหมือนหลับตาเห็น แต่กับบางเรื่องอาจไม่รู้เลยก็ได้ คุณชายอวิ๋นหลานแห่งจวนแหล่งธัญพืชป่วยด้วยโรคประหลาดที่มิอาจเปิดเผยได้ตลอดมา ขอเพียงตระกูลเซี่ยครอบครัวใดมีสมุนไพรดำม่วงก็จะส่งไปที่จวนของคุณชายอวิ๋นหลานทุกปี อาการป่วยของเขาจำต้องใช้สมุนไพรดำม่วงรักษา” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว
พวกอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ
“นึกไม่ถึงว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย เหตุใดพวกข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
“เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็บอกแล้ว ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดี และท่านโหวต้องรับผิดชอบงานราชการตลอดเวลา ย่อมไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้คุณชายอวิ๋นหลานมีพรสวรรค์ แต่เพราะป่วยด้วยโรคประหลาด ทั้งจัดการงานเงียบๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผนวกกับสามปีก่อนย้ายไปรักษาตัวที่เมืองผิงหยาง สามปีมานี้จึงหายหน้าไปจากเมืองหลวง อีกอย่างโรคประหลาดนี้ สำหรับพวกเราตระกูลเซี่ยแล้ว หากปิดบังได้ก็ต้องปิดบังเพราะมิใช่เรื่องดีอันใดนัก ย่อมมิอาจให้ใต้หล้าทราบได้ ดังนั้นท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดี และท่านโหวไม่ทราบก็มิใช่เรื่องแปลก” ฮูหยินหมิงสมทบ
“บอกตามตรง ฝ่าบาททรงจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของตระกูลเซี่ยตลอดมา ตระกูลเซี่ยมอบสมุนไพรดำม่วงให้จวนแหล่งธัญพืชนั้น ข้ากลับไม่เคยได้ยินแม้แต่นิดเดียว” อิงชินอ๋องกล่าว
“ฝ่าบาทกับท่านอ๋อง และใต้เท้าทุกท่านในราชสำนักต่างจับตามองอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจของบ้านเมือง กับเรื่องสมุนไพร หากไม่เกิดวิกฤตการณ์อันกระทบถึงทุกชีวิตในเมืองหลินอัน สมุนไพรดำม่วงก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ฮูหยินหมิงพลันยิ้มออกมา
“พูดมีเหตุผล” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ
“กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าตระกูลเซี่ยไม่มีสมุนไพรดำม่วงเลย” อิงชินอ๋องกล่าว
“ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูที่สมุนไพรดำม่วงเติบโต ที่ผ่านมาหลังสมุนไพรดำม่วงโตเต็มที่แล้ว ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด เมื่อครอบครัวต่างๆ เก็บเกี่ยวสมุนไพรดำม่วงมาได้ก็จะถือโอกาสที่ยังสดใหม่อยู่รีบส่งไปให้คุณชายอวิ๋นหลาน เพื่อรักษาอาการป่วยของตนเอง เขาจึงมีกรรมวิธีรักษามันเป็นพิเศษ ทำให้สมุนไพรดำม่วงมีประสิทธิภาพในการรักษาดีที่สุด” ฮูหยินหมิงกล่าว “ดังนั้นตระกูลเซี่ยทั้งหมดนอกจากจวนคุณชายอวิ๋นหลานแล้ว เกรงว่าจะไม่มีสมุนไพรดำม่วงเหลืออยู่เลย”
อิงชินอ๋องมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหว ทั้งสี่มองหน้ากัน
“ตั้งแต่คุณชายอวิ๋นหลานไปอารามลี่อวิ๋น จนถึงตอนนี้ก็ยังระบุที่อยู่ได้ไม่ชัดเจน หาร่องรอยไม่พบ นี่จะทำเช่นไรดี” ผ่านไปพักหนึ่ง อิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม
“ฮูหยิน ทุกปีพวกเจ้าต้องส่งสมุนไพรดำม่วงไปให้เซี่ยอวิ๋นหลาน แล้วส่งไปที่ใดหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยถามฮูหยินหมิงด้วยความร้อนใจ
“เมื่อก่อนส่งไปที่จวนของเขา ต่อมาก็ส่งไปที่เมืองผิงหยางแทน” ฮูหยินหมิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ข้างกายคุณชายอวิ๋นหลานมีหมอเทวดาอยู่ท่านหนึ่ง นามว่าจ้าวเคอ เขาเป็นผู้เก็บสมุนไพรดำม่วง แม้คุณชายอวิ๋นหลานหายตัวไป แต่จ้าวเคอน่าจะยังอยู่ที่เมืองผิงหยาง หากไปหาจ้าวเคอที่นั่น บางทีอาจได้สมุนไพรดำม่วง”
“มัวรอช้าไม่ได้แล้ว ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา ท่านโหว เรารีบไปกันเถอะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายผุดลุกขึ้นยืนทันที
“เราจะไปเมืองผิงหยางรึ” อิงชินอ๋องลุกขึ้นถามแล้วย่นคิ้วถาม
“ไปทูลรายงานฝ่าบาทก่อน ฝ่าบาทจะได้ทรงส่งคนไปเมืองผิงหยาง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ
“อย่าเพิ่งแพร่งพรายข่าวจะดีกว่า หากเราเข้าวังไปทูลรายงานต่อฝ่าบาท ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็จะทราบข่าวเช่นกัน แม้แต่สมุนไพรดำม่วงในคลังยาหลวงยังหายไปได้ แสดงว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องร้ายกาจมาก” เสนาบดีฝ่ายขวารีบเอ่ยขึ้น
“แล้วท่านคิดว่าควรทำเช่นไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยรัชทายาทก่อน”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องน้อยเจิงจะกลับมาเมื่อใด” เสนาบดีฝ่ายขวาถามอิงชินอ๋อง
“ไหนเลยจะรู้เล่า” อิงชินอ๋องส่ายหน้า
“ทางที่ดีควรรีบหาตัวท่านอ๋องน้อยเจิงก่อน เรื่องนี้ให้ท่านอ๋องน้อยเจิงจัดการคงดีที่สุด ตอนนี้เกรงว่าที่จ้าวเคอจะเป็นสถานที่เดียวที่มีสมุนไพรดำม่วงแล้ว หากเป็นคนอื่นไป ไม่แน่ว่าจะได้สมุนไพรดำม่วงกลับมา ที่น่ากลัวไปกว่านั้น ยังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีก หากเกิดการแย่งชิง คนธรรมดาไปนำกลับมา ไฉนเลยจะแย่งมาได้สำเร็จ” เสนาบดีฝ่ายขวาบอก
อิงชินอ๋องพยักหน้า “ก็จริง เอาอย่างนี้ กลับไปที่จวนข้ากันก่อน ดูว่าพระชายาตามหาตัวเขาได้หรือไม่ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเขาเมื่อปีนั้นจนเกือบฝังร่างไว้ที่สุสานไร้ญาติ พอรอดกลับมาพระชายาก็ปลูกเครื่องหอมพิเศษไว้บนตัวเขา นางเลี้ยงนกไว้ตัวหนึ่ง ในเวลาสำคัญ นกตัวนั้นจะตามหาเขาจากกลิ่นได้ ทนรอต่อไปไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องใช้วิธีการนี้เท่านั้น ถึงอย่างไรสถานการณ์ในเมืองหลินอันก็คับขันมาก”
[1] *ยามเหม่า คือ ช่วงเวลาประมาณ 05:00 น. – 07:00 น.