ตอนที่ 80 สิ่งสำคัญที่สุด

จารใจรัก

อิงชินอ๋องพูดจบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวก็คิดว่าไร้หนทางอื่นแล้วเช่นกัน ต่างพยักหน้าพร้อมเพรียง ก่อนออกจากจวนเรือนหกด้วยกัน 

 

 

           หลังทั้งสี่กลับออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกก็ถอนหายใจออกมา “เริ่มด้วยคุณชายอวิ๋นจี้หายตัวไปโดยมิทราบร่องรอย ตามมาด้วยระบุที่อยู่ของคุณชายอวิ๋นหลานได้ไม่ชัดเจน ต่างไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด คนของจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือล้วนออกไปตามหาคุณชายทั้งสองท่าน จวนจงหย่งโหวก็เหลือเพียงจวนเปล่า ตอนนี้ในเมืองหลวง ครอบครัวใหญ่ตระกูลเซี่ยเหลือเพียงแค่บ้านเราแล้ว” 

 

 

           “ก่อนโหวเหยผู้เฒ่าออกเดินทาง มิใช่ว่าส่งข่าวบอกจวนเราแล้วหรือว่าจะเร้นกายไปสักระยะหนึ่ง” ฮูหยินหมิงกล่าวขึ้น 

 

 

           “สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายยิ่ง” นายท่านหกกล่าว “ไม่รู้ว่าจะหลบไปนานเท่าไร” 

 

 

           “เพียงสองสามเดือน ปีสองปี หรือหลายปี นี่ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน” ฮูหยินหมิงถอนหายใจตาม “เมืองหลวงวุ่นวาย นอกเมืองก็วุ่นวายเช่นกัน ใต้หล้ายามนี้มิรู้ว่าที่ใดยังสงบสุขอีกบ้าง โหวเหยผู้เฒ่าบอกว่าออกไปเปิดหูเปิดตา ท่องเที่ยวผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดได้” 

 

 

           “เราเองก็ควรหาที่พักห่างจากเมืองบ้างหรือไม่” นายท่านหกเอ่ยขึ้น 

 

 

           “บรรพบุรุษของเราต่างอยู่ในเมืองหลวง จำต้องพึ่งพาร่มเงาบรรพบุรุษเพื่อดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ที่ผ่านมาเรือนหกของเราพึ่งพาอาศัยจวนจงหย่งโหว ในจวนเลี้ยงดูเพียงแค่คนรับใช้จำนวนหนึ่งกับผู้คุ้มกันไม่กี่คน แม้ออกจากเมืองหลวง แต่จะไปที่ใดได้” ฮูหยินหมิงมองไปยังนายท่านหก 

 

 

           “ก็จริง” นายท่านหกละอายใจ “เพราะข้าไร้ความสามารถ ทำให้ท่านแม่กับเจ้าต้องลำบากทั้งกายใจ” 

 

 

           “อย่าพูดเช่นนี้เลย เจ้าร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิดแล้ว แค่ใช้ชีวิตมาได้อย่างสงบสุข แม่ก็พอใจมากแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนินายท่านหกประโยคหนึ่ง 

 

 

           “ท่านแม่กล่าวถูกแล้ว ข้าไม่ขอให้ท่านต้องเป็นขุนนางตำแหน่งสูง ร่ำรวยทั้งเงินทองและยศศักดิ์ และไม่ขอให้ท่านต้องเชี่ยวชาญการวางแผนอย่างผู้อื่น เรือนใหญ่แสวงหาลาภยศตลอดมา สุดท้ายมีจุดจบอย่างไร นอกจากคุณหนูฟางหวาปกป้องเซี่ยหลินซีเพียงคนเดียว ตอนนี้คนอื่นๆ ก็ต้องมีจุดจบเช่นนั้น แค่เราใช้ชีวิตอย่างสงบมั่นคงในเมือง เท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้วเช่นกัน” ฮูหยินหมิงก็กล่าวเช่นกัน “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดอยู่ที่จวนจงหย่งโหว ไม่มีผู้ใดอยู่ที่จวนแหล่งธัญพืช ไม่มีผู้ใดอยู่ที่จวนโรงเก็บเกลือ แต่มิอาจให้ผู้อื่นพูดกันว่าตระกูลเซี่ยของเราไม่มีใครอยู่แล้ว เรือนหกของเราต้องยืนหยัดอยู่ในเมืองหลวง ขอเพียงเรายังอยู่ ตระกูลเซี่ยของเราก็คงอยู่ตลอดไป” 

 

 

           “พูดได้ดี” ฮูหยินผู้เฒ่าตบโต๊ะ ชมเชยว่า “ตระกูลเซี่ยรุ่นนี้นับว่าคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย หากผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ก็จะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปอีกร้อยปี แต่หากผ่านไปไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรม แล้วแต่สวรรค์ลิขิต เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” 

 

 

           “แล้วแต่ท่านแม่กับหมิงเอ๋อร์” นายท่านหกพยักหน้า 

 

 

           “สองวันนี้อีเอ๋อร์เอาแต่พูดถึงคุณหนูฟางหวากับข้า ขอให้ข้าไปสืบความเรื่องนาง” ฮูหยินหมิงกล่าว “ตั้งแต่เล็กเด็กคนนี้ได้พบคุณหนูฟางหวาแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงชื่นชอบนางมาก วันก่อนนางไปเดินเล่นบนถนนแล้วเห็นประกาศพระราชโองการหย่าร้างเข้าก็วิ่งกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียว บอกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงชอบคุณหนูฟางหวาออกขนาดนั้น จะต้องไม่ยอมหย่าร้างด้วยเป็นแน่ ต้องเป็นเจตนาของฝ่าบาท เอาแต่พ่นถ้อยคำเนรคุณเกี่ยวกับฝ่าบาทต่อข้าไม่น้อยจนต้องห้ามปราม หลายวันนี้นางดูอมทุกข์ น่าเป็นห่วงยิ่งนัก” 

 

 

           “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นเรื่องของความถูกชะตา ข้ากับหลินไท่เฟยก็แรกพบกลับเหมือนรู้จักกันมานานเช่นกัน จนกลายเป็นสนิทสนมกัน อีเอ๋อร์ชอบฟางหวาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เด็กแบบนั้นข้าเห็นแล้วก็ชอบด้วยเหมือนกัน นางมีนิสัยแบบนั้นถึงเหมาะกับการเป็นบุตรีตระกูลใหญ่ของตระกูลเซี่ยอย่างแท้จริง สะท้อนความสุขุมสูงศักดิ์ออกมาจากภายใน โดดเด่นยิ่งกว่าป้าของนางในตอนนั้นเสียอีก” ท่านยายกล่าว “ข้าว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอีเอ๋อร์หรอก นางมีบุคลิกร่าเริง ชอบอ้อนเอาใจ กระจ่างแจ้งในทุกเรื่องดี ไม่มุ่งเข้าหาทางตัน คิดเองเป็น ไม่เหมือนกับพี่สาวนาง เฮ้อ ถูกข้าเลี้ยงดูจนกลายเป็นมีนิสัยหัวแข็งเช่นนั้น กลุ้มใจก็ไม่พูด เก็บเรื่องทุกอย่างเอาไว้ในใจ วันแล้ววันเล่ายิ่งผอมลง นี่ต่างหากที่น่าเป็นห่วง” 

 

 

           “นางยังตัดใจจากองค์ชายแปดไม่ได้หรือ” ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เป็นห่วงขึ้นมา 

 

 

           “เรื่องนี้ต้องโทษข้า เวรกรรมแท้ๆ ก่อนหน้านี้ข้าอยากหาคู่ครองดีๆ ให้นาง หลินไท่เฟยมีบุคลิกอ่อนโยน กระจ่างแจ้งในทุกเรื่อง ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงได้อย่างมั่นคงหลายปีทั้งที่ไร้บุตร นับว่าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง นางเลี้ยงดูสั่งสอนองค์ชายแปดจนเติบใหญ่ นิสัยพื้นฐานย่อมไม่บกพร่อง ทว่าไม่คิดเลยว่าบุตรีในบ้านเราหลงรักเขา แต่เขากลับไร้เยื่อใยตอบ นี่มีหรือจะไม่ใช่เวรกรรม” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า  

 

 

           “ตอนนี้มีเภทภัยมาก ทั้งในและนอกเมืองเกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน ถึงอย่างไรองค์ชายแปดก็เป็นองค์ชาย อายุยังน้อยกลับต้องแบกรับหน้าที่สำคัญอย่างการดูแลบ้านเมือง อนาคตจะเกิดความผาสุกหรือหายนะก็พูดยาก ถึงแม้พวกเขาต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน อนาคตก็ใช่ว่าจะได้ครองคู่กันเสมอไป องค์ชายแปดไร้เยื่อใยก็ดีเหมือนกัน บุตรีคนโตของเรา ค่อยๆ โน้มน้าวใจนางไปเถิด วันหนึ่งนางต้องคิดได้แน่นอน” ฮูหยินหมิงผ่อนน้ำเสียงลง “ท่านแม่อย่าโทษตัวเองเลย ข้าคิดว่าฝ่ายหนึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ฝ่ายหนึ่งเป็นจวนร่ำรวยมีเกียรติ อย่าว่าแต่กฎระเบียบเยอะเลย นับแต่โบราณมาความร่ำรวยมีเกียรติมิใช่ได้มาง่ายๆ ต้องเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต มิสู้อยู่อย่างคนธรรมดา แต่สมบูรณ์มั่งคงตลอดชีพ ไม่ขาดเสื้อผ้าอาหารก็ดีแล้ว” 

 

 

           “เป็นเจ้าที่มองได้ปรุโปร่ง ตัวข้าแก่แล้ว เลอะเลือนแล้วเช่นกัน ตอนยังเยาว์วัยก็หาได้ตระหนักได้เช่นเจ้า แต่ตอนนี้เมื่อเป็นเรื่องของอนุชนจึงเกิดความคิดไม่สมควรขึ้นมา กระทั่งสร้างความลำบากให้เด็กคนนั้น กลับไปแล้วข้าจะลองคุยกับนางดู” ฮูหยินผู้เฒ่าลูบมือฮูหยินหมิง  

 

 

           ฮูหยินหมิงพยักหน้า 

 

 

           พวกอิงชินอ๋องสี่คนออกจากจวนเรือนหกก็รีบกลับไปที่จวนอิงชินอ๋อง 

 

 

           เมื่อกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง อิงชินอ๋องก็เอ่ยถามคนเฝ้าประตู “เจิงเอ๋อร์กลับมาหรือยัง” 

 

 

           “ข้าน้อยมิทราบ ยังไม่พบท่านอ๋องน้อยเลยขอรับ” คนเฝ้าประตูส่ายหน้า 

 

 

           อิงชินอ๋องถอนหายใจ ก่อนเชิญเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวเข้ามาในจวน ขณะเดียวกันก็สั่งงานสี่ซุ่น “รีบไปตามฮูหยินมาที่ห้องรับแขกส่วนหน้า” 

 

 

           “ท่านอ๋อง หากฮูหยินถามว่ามีเรื่องใด บ่าวควรตอบว่าอย่างไรดี” สี่ซุ่นมิได้รีบทำตามคำสั่งทันที หากแต่เอ่ยถามอย่างระวัง 

 

 

           “บอกว่ามีเรื่องด่วน ได้ความคืบหน้าของสมุนไพรดำม่วงแล้ว แต่ต้องจำให้ฮูหยินช่วยใช้วิธีการพิเศษตามหาเจิงเอ๋อร์ ให้เขาเป็นคนไปเอาสมุนไพรดำม่วง” อิงชินอ๋องกำชับเสียงต่ำ 

 

 

           สี่ซุ่นรับคำแล้วรีบออกไป 

 

 

           อิงชินอ๋องนำแขกทั้งสามท่านไปที่ห้องรับแขก 

 

 

           ภายในเรือนหลัก พระชายาอิงชินอ๋องเพิ่งได้พักผ่อน งีบหลับไปตื่นหนึ่ง สี่ซุ่นก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหา แต่ชุนหลันขวางเขาเอาไว้ “เกิดอะไรขึ้นถึงได้รีบวิ่งมาขนาดนี้” 

 

 

           “ท่านอ๋องอยากพบฮูหยิน” สี่ซุ่นตอบเสียงเบา 

 

 

           “เกิดอะไรขึ้น” ชุนหลันถาม 

 

 

           สี่ซุ่นกระซิบข้างหูนาง 

 

 

           “นี่…” ชุนหลันลังเล “ฮูหยินไม่ได้พักผ่อนเต็มที่หลายวันแล้ว เพิ่งหลับไปเมื่อครู่…” 

 

 

           “ท่านอ๋องนำเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมาด้วย ตอนนี้กำลังรอฮูหยินอยู่ที่ห้องรับแขกส่วนหน้า ปลุกฮูหยินขึ้นมาเถิด ถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของรัชทายาทและแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอัน” สี่ซุ่นกล่าว 

 

 

           ชุนหลันพยักหน้าก่อนเข้าไปในห้องอย่างจำใจ 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องถูกชุนหลันปลุกให้ตื่นขึ้นมา หลังฟังเรื่องจบแล้วก็เอ่ยถาม “ท่านอ๋องบอกว่ามีความคืบหน้าของสมุนไพรดำม่วงแล้ว ให้เจิงเอ๋อร์เป็นคนไปเอารึ” 

 

 

           “สี่ซุ่นบอกเช่นนี้เจ้าค่ะ” ชุนหลันตอบ 

 

 

           “แต่เจิงเอ๋อร์เพิ่งกลับมา เหนื่อยอย่างกับอะไรดี จะให้ออกไปอีกได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องเป็นห่วงบุตรชาย “ท่านอ๋องก็จริงๆ เลย เป็นคนอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นเจิงเอ๋อร์เท่านั้น” 

 

 

           “แน่นอนว่าผู้อื่นทำมิได้ ท่านอ๋องถึงรีบหาตัวท่านอ๋องน้อย ถึงอย่างไรท่านอ๋องน้อยของเราก็มีความสามารถยิ่ง” ชุนหลันกล่าว 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิด “เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะไปดูก่อนว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” พูดจบ นางก็คลุมเสื้อลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไป 

 

 

           เมื่อมาถึงห้องรับแขกส่วนหน้า อิงชินอ๋องก็เล่าเรื่องที่เรือนหกบอกให้พระชายาฟังรอบหนึ่ง 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมองไปยังพระชายาอิงชินอ๋อง 

 

 

           โดยเฉพาะเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เปลี่ยนนิสัยในวันวานไปอย่างสิ้นเชิง เอ่ยวาจาอ้อนวอนเสียงอ่อน “พระชายา ในเมื่อท่านมีวิธีตามหาท่านอ๋องน้อย ก็รีบตามท่านอ๋องน้อยกลับมาเถอะ ท่านอ๋องน้อยคุ้นเคยกับเมืองผิงหยางดี จ้าวเคอผู้นั้นท่านอ๋องน้อยก็รู้จักเช่นกัน ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดเหมาะที่จะทำเรื่องนี้ไปมากกว่าท่านอ๋องน้อยแล้ว” 

 

 

           “แม้พูดถึงขนาดนี้ แต่เจิงเอ๋อร์ต้องสะสางคดีในเมือง มีเขาบัญชาการในเมืองหลวงถึงยังสงบมั่นคงได้บ้าง ถึงอย่างไรก็เป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ หากเขาออกจากเมืองไป ในเมืองก็เหลือแค่องค์ชายแปดคนเดียว ด้วยความที่อ่อนประสบการณ์มาก ไหนเลยจะควบคุมราชสำนักในมั่นคงได้ หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกจะทำเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องกลุ้มใจอยู่บ้าง 

 

 

           “ในเมืองยังมีพวกเราอยู่ ต้องปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยด้วยชีวิต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ 

 

 

           “ตอนนี้สมุนไพรดำม่วงเป็นเรื่องใหญ่เร่งด่วน” หย่งคังโหวยืดอกกล่าวขึ้น  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องลังเลพักหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “อย่างนี้แล้วกัน ข้าจะกลับไปที่เรือนก่อน ให้นกตัวนั้นลองบินหาดู แม้บอกว่าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่เคยใช้งานมาก่อน หวังว่าจะได้ผล” 

 

 

           “รบกวนพระชายาแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นพระชายาอิงชินอ๋องรับปากก็ดีใจยกใหญ่ 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องออกจากห้องรับแขก 

 

 

           นางกลับมาที่เรือนหลักก่อน จากนั้นก็สั่งงานชุนหลัน “เจ้าไปที่เรือนลั่วเหมย รายงานสถานการณ์ให้เจิงเอ๋อร์ฟัง ถามดูว่าเขาจะทำเช่นไร” 

 

 

           ชุนหลันขานรับแล้วรีบออกไป 

 

 

           เรือนลั่วเหมยปิดประตูเงียบเชียบ 

 

 

           ชุนหลันเคาะประตูอยู่หลายครั้งกว่าหลินชีจะยื่นศีรษะออกมา เห็นว่าเป็นนางก็ถามถึงวัตถุประสงค์การมา ก่อนเชิญนางเข้ามาในเรือน 

 

 

           หลังพระชายาอิงชินอ๋องกลับไป ฉินเจิงก็ขึ้นมานอนบนเตียง หลายวันก่อนยังเป็นเตียงหลังใหญ่สำหรับสองคน เครื่องนอนผ้าทออันสวยงามยังมิได้นำไปเปลี่ยนจนถึงวันนี้ ด้านบนยังมีกลิ่นยาเคล้าดอกไห่ถังเฉพาะบนตัวเซี่ยฟางหวาติดอยู่ หลังเขานอนลงก็กวาดตามองรอบหนึ่ง ข้าวของใดๆ ภายในห้อง นางมิได้นำไปด้วยทั้งนั้น รวมถึงเครื่องประดับที่นางโปรดปรานที่สุดก็ด้วย 

 

 

           แม้ตัวนางจากจวนไป หากแต่คล้ายกับแค่ออกไปข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           ประกาศถูกติดทั่วหนานฉินข้างนอกและเสียงวิจารณ์เกรียวกราวเกี่ยวกับพระราชโองการหย่าร้างมิได้ส่งผลกระทบต่อเรือนลั่วเหมยแม้แต่น้อย เครื่องเรือนทั้งหมดยังคงเหมือนเก่า 

 

 

           เขานอนนิ่งพักหนึ่ง เพราะความเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป 

 

 

           ชุนหลันมาถึงก็ส่งเสียงเรียก ฉินเจิงตื่นขึ้นมา เอ่ยถามเสียงแห้ง “มีเรื่องใด” 

 

 

           ชุนหลันถ่ายทอดข้อความของพระชายาอิงชินอ๋องอย่างละเอียด สุดท้ายก็กล่าวว่า “ตอนนี้ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสอง และหย่งคังโหวกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกส่วนหน้า พระชายาสิ้นหนทางจึงให้บ่าวมาถามท่านอ๋องน้อยดูว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ ตามความเห็นของท่านอ๋องกับอีกสามคน เรื่องนี้ท่านอ๋องน้อยต้องเป็นคนไปเท่านั้น” 

 

 

           “ตระกูลเซี่ยมอบสมุนไพรดำม่วงให้เซี่ยอวิ๋นหลานรักษาอาการป่วยทุกปีหรือ” ฉินเจิงลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า 

 

 

           “เท่าที่ท่านอ๋องบอก เรือนหกบอกเช่นนี้เจ้าค่ะ สมุนไพรดำม่วงที่ตระกูลเซี่ยเก็บเกี่ยวได้ทุกปีล้วนส่งมอบให้เซี่ยอวิ๋นหลานเป็นการส่วนตัว คนเรือนหกเดิมทีไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องโรคลับ แต่เพราะท่านโหวเซี่ยกับรัชทายาทต่างอยู่ที่เมืองหลินอันและตกอยู่ในอันตราย จึงบอกความจริงอย่างช่วยไม่ได้” ชุนหลันตอบ 

 

 

           “ที่ผ่านมาส่งสมุนไพรดำม่วงให้จ้าวเคอเก็บรึ” ฉินเจิงถามอีก 

 

 

           “บอกเช่นนี้เจ้าค่ะ” ชุนหลันตอบ 

 

 

           ฉินเจิงหรี่ตาลง นิ่งไตร่ตรองพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ ให้นางกลับไปบอกที่ห้องรับแขกส่วนหน้าว่าข้าอยู่ในเมืองหลวง ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย ท่านจะไปเมืองผิงหยางจริงหรือ ร่างกายท่านรับไหวแน่หรือไม่” ชุนหลันเป็นห่วง 

 

 

           “ไม่มีปัญหา” ฉินเจิงโบกมือปัด 

 

 

           ชุนหลันได้แต่กลับออกมาแล้วไปถ่ายทอดข้อความที่เรือนหลัก 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องฟังถ้อยคำจากชุนหลันก็ทั้งเป็นห่วงฉินเจิง ทั้งคิดว่าในเมื่อเขารับปาก เช่นนั้นจะต้องมีเหตุผลให้ไปเมืองผิงหยางเป็นแน่ เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง นางจึงได้แต่กลับไปที่ห้องรับแขกส่วนหน้า 

 

 

           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวได้รับคำตอบจากพระชายาก็เบาใจลง 

 

 

           เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ฉินเจิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องรับแขกส่วนหน้า 

 

 

           “เจ้าไปไหนมา” อิงชินอ๋องเห็นฉินเจิงก็พินิจมองเขาถี่ถ้วน พบว่านอกจากบริเวณหว่างคิ้วที่ดูเหนื่อยล้าก็ไม่พบความผิดปกติใด จึงเบาใจลงเล็กน้อย 

 

 

           “ข้าไปเมืองผิงหยางก็ได้ แต่ต้องมีคนหนึ่งไปกับข้าด้วย” ฉินเจิงกวาดตามองทั้งสี่  

 

 

           “ผู้ใด ท่านอ๋องน้อยบอกมาได้เลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบบอกทันที “ขอเพียงช่วยรัชทายาท ช่วยประชาชนในเมืองหลินอันได้ ท่านอ๋องน้อยต้องการสิ่งใด ขอเพียงพวกเราทำได้ ถึงตายก็ย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน” 

 

 

           “ไม่ต้องถึงตาย นำชุยอี้จือมา” ฉินเจิงยกมือปัด 

 

 

           “ชุยอี้จือ รองราชเลขากรมกลาโหมน่ะรึ” เสนาบดีฝ่ายขวามองฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย ท่านไปเมืองผิงหยางก็เพื่อนำสมุนไพรดำม่วงในมือจ้าวเคอกลับมา ชุยอี้จือไปด้วยจะมีประโยชน์อันใด” 

 

 

           “ตระกูลชุยแห่งชิงเหอกับเมืองผิงหยางอยู่ใกล้กัน นอกจากนี้ เขาก็มีวิชาเสาะวิญญาณพันลี้ที่ถ่ายทอดจากตระกูลชุยแห่งชิงเหอด้วย สิ่งที่ท่านแม่ใช้บนตัวข้าเป็นเครื่องหอม แต่ใช้ได้แค่ผิวหนังภายนอก ทำได้แค่หาร่องรอยข้าในรัศมีหนึ่งร้อยลี้เท่านั้น แต่เครื่องหอมเสาะวิญญาณที่แท้จริงของตระกูลชุยแห่งชิงเหอนั้นต่างออกไป ในรัศมีพันลี้ล้วนหาร่องรอยได้หมด” ฉินเจิงกล่าว 

 

 

           “จ้าวเคออยู่ที่เมืองผิงหยางไม่ใช่หรือ ต้องให้ชุยอี้จือค้นหาร่องรอยพันลี้ด้วยรึ” หย่งคังโหวไม่เข้าใจ 

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นหลานหายไป เขาเป็นหมอประจำกายเซี่ยอวิ๋นหลาน ตอนนี้ไม่อยู่ที่เมืองผิงหยางแน่นอน” ฉินเจิงกล่าว “หากหาเจอว่าเขาอยู่ที่ใด ในเมื่อเขามีสมุนไพรดำม่วงอยู่ในมือ ก็จะหาสมุนไพรดำม่วงเจอเช่นกัน” 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยพูดมีเหตุผล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ไม่อาจรอช้าได้ รีบไปตามชุยอี้จือมาเถอะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเอ่ยขึ้น 

 

 

           “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ตั้งแต่ชุยอี้จือรับตำแหน่งก็อยู่ที่กรมกลาโหมตลอด ส่งคนไปตามก็พอแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาหันมากล่าวกับอิงชินอ๋อง “แต่ขุนนางว่างงาน ไม่ควรโยกย้ายหน้าที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปโดยพลการ เข้าวังไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทก่อนดีกว่า นอกจากนี้ก่อนเราออกจากวังมา ฝ่าบาททรงตรัสว่าอยากพบท่านอ๋องน้อย ในเมื่อท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้ว รีบไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทก่อนดีกว่า” 

 

 

           “เอาอย่างนี้ เจิงเอ๋อร์ ข้าส่งคนไปบอกชุยอี้จือให้มาที่จวน ส่วนตอนนี้เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน” อิงชินอ๋องกล่าว 

 

 

           “เรื่องด่วนสุดคือต้องหาสมุนไพรดำม่วง เรื่องเสด็จอาท่านพ่อไปแทนข้าแล้วกัน บอกเสด็จอาว่า ของที่ข้านำไปจากพระองค์ยังต้องใช้อีกหลายวัน กลับเมืองมาแล้วจะคืนให้” ฉินเจิงพูดพลางก็เดินออกจากห้อง พลางโบกมือให้ “ข้าไปหาท่านแม่ก่อน ชุยอี้จือมาแล้วส่งคนไปบอกข้าด้วย” 

 

 

           เสียงยังไม่ทันขาดหาย คนก็เดินหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว 

 

 

           อิงชินอ๋อง เสาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมองหน้ากัน แม้ไม่ทราบว่าเขานำสิ่งใดไปจาก 

 

 

ฝ่าบาท แต่คิดว่าต้องเป็นของสำคัญแน่นอน ทว่าตอนนี้มิใช่เรื่องสำคัญแล้ว ยามนี้สมุนไพรดำม่วงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอเพียงฉินเจิงเป็นผู้ไปตามหา พวกเขาเชื่อว่าจะต้องนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาได้เป็นแน่ ช่วยเมืองหลินอันให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้