ตอนที่ 81 เสาะวิญญาณพันลี้

จารใจรัก

ฉินเจิงรอที่เรือนของพระชายาอิงชินอ๋องประมาณสองถ้วยชา รายงานว่าชุยอี้จือมาถึงจวนแล้วก็แว่วมายังเรือนหลัก

 

 

           “เจิงเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่มาตามตรง เจ้านำชุยอี้จือไปด้วย ใช่อยากใช้ประโยชน์จากวิชาเสาะหาร่องรอยที่ถ่ายทอดในตระกูลชุยแห่งชิงเหอเพื่อตามหาหวาเอ๋อร์หรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องจ้องฉินเจิง

 

 

           “สตรีฉลาดถึงเพียงนี้ทำไมกัน ท่านแม่ ท่านอย่าได้เป็นกังวลนักเลย เหนื่อยหรือไม่” ฉินเจิงฉีกยิ้มมุมปาก

 

 

           “ไอ้เจ้าลูกกระต่าย หากเจ้าไม่ใช่ลูกชายของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นกังวลหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องตีเขาอย่างแรงแล้วเอ่ยเตือน “ข้าบอกเจ้า หากเจ้าหาหวาเอ๋อร์พบ ห้ามยั่วโมโหนางอีกเด็ดขาด ทางที่ดีก็ขอโทษนางเสีย”

 

 

           “คนไม่ได้ทำผิดจะขอโทษอะไร” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ท่านจุดธูปสวดมนต์ อธิษฐานให้ข้าหานางพบดีกว่า ความสามารถของนางสูงกว่าลูกชายท่านเสียอีก ถึงแม้ข้าหานางพบ แต่นางไม่อยากพบข้า ข้าก็ทำอันใดไม่ได้เช่นกัน”

 

 

           “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งที่ข้ารู้ก็คือหวาเอ๋อร์ทำถึงขนาดนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน ถ้าไม่ใช่เจ้าทำให้นางเสียใจจนเกินเหตุ เช่นนั้นนางก็มีเหตุผลที่ต้องทำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ระงับนิสัยแย่ๆ ของเจ้าไปเสีย ไม่ว่าต้องใช้วิธีการใดก็ต้องพานางกลับมาหาข้าให้ได้” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียงหึ

 

 

           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด

 

 

           “แม้พระราชโองการหย่าร้างเผยแพร่ทั่วใต้หล้า บรรดาราษฎรคิดว่าพวกเจ้าไร้ความเกี่ยวข้องกันแล้ว แต่สำหรับแม่ นางยังคงเป็นภรรยาของเจ้า ยังคงเป็นลูกสะใภ้ของจวนอิงชินอ๋อง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว

 

 

           ฉินเจิงจัดรอยยับย่นบริเวณปกเสื้อ ทันใดนั้นก็ผุดยิ้มออกมา เอ่ยอย่างควรจะเป็น “แน่นอน”

 

 

           “เจ้าเด็กบ้า” พระชายาอิงชินอ๋องมองท่าทางเขาก็ตำหนิ ก่อนกำชับส่งท้าย “ระวังตัวด้วย”

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วออกจากเรือนหลัก

 

 

           เขาเดินมาที่ห้องรับแขกส่วนหน้า ชุยอี้จือกำลังสนทนากับอิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวอยู่ก่อนแล้วครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขามาถึง ชุยอี้จือก็คำนับเขา “ท่านพี่”

 

 

           “ไปกันเถอะ” ฉินเจิงโบกมือปัด

 

 

           ชุยอี้จือผงกศีรษะรับ

 

 

           ฉินเจิงเดินตรงไปยังประตูจวนโดยมิได้เอ่ยคำใดกับทั้งสี่คนนั้นเลย

 

 

           พวกอิงชินอ๋องมองหน้ากัน ต่างคุ้นชินกับนิสัยของฉินเจิงแล้ว อิงชินอ๋องตามไปกำชับเขาสองประโยค ฉินเจิงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนก็พลิกกายขึ้นมา มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทันที

 

 

           ชุยอี้จือขี่ม้าตามหลังเขา

 

 

           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมองส่งทั้งสองออกเดินทาง หารือกันพักหนึ่งก็พากันออกจากจวนอิงชินอ๋องเพื่อไปยังวังหลวง

 

 

           ฮ่องเต้ทรงรอข่าวของฉินเจิงอยู่ที่ตำหนักบรรทม

 

 

           พวกอิงชินอ๋องผ่านเข้าประตูวังมาก็ตรงไปยังตำหนักบรรทม เมื่อพบฮ่องเต้ก็ทูลรายงานเรื่องโรคมิอาจเปิดเผยที่ได้ทราบจากเรือนหกและเรื่องที่ฉินเจิงกับชุยอี้จือออกเดินทางให้พระองค์ฟัง

 

 

           “พวกเจ้าบอกว่า นอกจากจวนจงหย่งโหว ตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือเลยหรือ” ฮ่องเต้ทรงฟังแล้วก็มีพระพักตร์เคร่งขรึมเล็กน้อย

 

 

           “ต่างเหลือแค่จวนเปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายทูลตอบ

 

 

           “ตระกูลเซี่ยคิดจะทำอันใดกันแน่” ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทุบโต๊ะทรงอักษรอย่างแรง “เราเห็นว่าเก็บตระกูลเซี่ยไว้ไม่ได้แล้ว”

 

 

           “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวขึ้นมา ประสานมือทูลกล่าว “โหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวเกษียณออกจากราชการตั้งนานแล้ว นายพลอู่เว่ยก็ส่งมอบอำนาจทางทหารแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งอื่น เซี่ยหลินซีตัวเปล่าไร้ตำแหน่งขุนนาง ทั้งสามคนมิได้อยู่ในบัญชีรายชื่อขุนนางราชสำนัก ย่อมไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือเดิมเป็นพ่อค้าที่ต้องเจรจาค้าขายกัน ยิ่งมิได้ถูกราชสำนักตีกรอบจำกัด ไตร่ตรองดูแล้วมิได้ฝ่าฝืนกฎหมาย มิได้ทำผิดกฎอันใด เพียงแต่เพราะตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลใหญ่ ถึงทำให้ฝ่าบาททรงคิดว่าตระกูลเซี่ยมิควรทำเช่นนี้ ทว่าไหนๆ ก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งมา เป็นปฐมฮ่องเต้ที่เชิญตระกูลเซี่ยเข้ามา ถึงตระกูลเซี่ยทั้งหมดถอนตัวออกจากราชสำนักก็เป็นเรื่องสมควร ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยม่อหานก็ติดอยู่ที่เมืองหลินอันกับรัชทายาทด้วยมิใช่หรือ สถานการณ์ตระกูลเซี่ยตอนนี้นับว่าเลวร้ายเช่นกัน ถึงอย่างไรพวกกระหม่อมต่างมองออกว่า เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกเมืองช่วงนี้มิได้พุ่งเป้ามาที่ราชสำนัก หากแต่พุ่งเป้ามาที่ตระกูลเซี่ย”

 

 

           ฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้นก็มีพระพักตร์ผ่อนคลายลง “พวกเจ้ามั่นใจหรือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยลอบวางแผนร่วมมือกับผู้อยู่เบื้องหลัง มิฉะนั้นอาการป่วยของเซี่ยอวิ๋นหลานใช้สมุนไพรชนิดอื่นมิได้ ไฉนถึงต้องเป็นสมุนไพรดำม่วงอย่างเดียว อีกอย่างตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยได้ยินว่าตระกูลเซี่ยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมิดชิดมาก่อน มีเจตนาน่าสงสัยนัก” หยุดครู่หนึ่งแล้วตรัสด้วยโทสะ “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเซี่ยฟางหวาที่ออกจากเมืองไปด้วย”

 

 

           “นี่…” เสนาบดีฝ่ายขวามองไปยังสามคนที่เหลือ

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นหลานป่วยด้วยโรคประหลาดมิอาจเปิดเผยได้ตลอดมา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สืบทอดจวนแหล่งธัญพืช เพราะพิจารณาถึงต้นตระกูลแล้ว ตระกูลเซี่ยจึงปิดบังเรื่องนี้ไม่แพร่งพรายออกไปตลอดมา ส่วนตระกูลเซี่ยลอบวางแผนร่วมมือกับผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น กระหม่อมคิดว่าเป็นไปมิได้ โหวเหยผู้เฒ่าจงรักภักดีเพียงใดนั้นพิสูจน์ได้ หลายปีนี้ตระกูลเซี่ยอ่อนข้อให้ราชสำนักเป็นใหญ่เสมอมา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ท่านโหวเซี่ยก็ติดอยู่ที่เมืองหลินอันเหมือนกับรัชทายาท เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของจวนจงหย่งโหว” อิงชินอ๋องประสานมือทูลกล่าว

 

 

           “ท่านอ๋องกล่าวมีเหตุผล” หย่งคังโหวประสานมือคำนับ “เรื่องด่วนตอนนี้คือท่านอ๋องน้อยไปตามหาจ้าวเคอเพื่อนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้เมืองหลินอัน ในเมื่อท่านอ๋องน้อยจัดการด้วยตัวเอง กระหม่อมเชื่อว่าต้องช่วยรัชทายาทกับแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันได้เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           “มิผิด ตระกูลเซี่ยตอนนี้ยังมีเรือนหกอยู่ เซี่ยอวิ๋นหลานกับเซี่ยอวิ๋นจี้ต่างหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มิใช่เรื่องแปลกที่จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือจะทุ่มกำลังออกตามหา ตอนนี้เกรงว่าจวนจงหย่งโหวก็ต้องปกป้องตัวเองเช่นกัน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว “ส่วนสถานการณ์ตอนนี้ พวกกระหม่อมต้องปกป้องเมืองหลวงระหว่างที่รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ให้ดีที่สุด มิให้เกิดเหตุความวุ่นวายซ้ำสอง”

 

 

           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวมีเหตุผล” อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา และหย่งคังโหวรีบสมทบ

 

 

           ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสี่ต่างเป็นขุนนางในราชสำนัก ยากที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้

 

 

           ความโกรธเกรี้ยวบนพระพักตร์ฮ่องเต้คลายลง พยักหน้ารับ “องค์ชายแปดยังอ่อนประสบการณ์ พวกเจ้าสี่คนบริหารจัดสรรเมืองหลวงให้ดี ระหว่างนี้อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก”

 

 

           ทั้งสี่ผงกศีรษะรับคำ

 

 

           ไม่นานองค์ชายแปดก็ถูกเรียกมาที่วังหลวง เพื่อหารือเรื่องการจัดสรรเมืองหลวงร่วมกับอิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหว

 

 

           ฉินเจิงกับชุยอี้จือออกจากเมือง เมื่อเดินทางมาได้ห้าลี้ ฉินเจิงก็ดึงเชือกบังเ**ยนแล้วกล่าวกับชุยอี้จือ “หากจะตามหานาง ด้วยวิชาเสาะวิญญาณพันลี้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ควรตามหาอย่างไร”

 

 

           “ท่านพี่จะตามหาใคร” ชุยอี้จือมองฉินเจิง

 

 

           “ไม่ต้องถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ” ฉินเจิงปรายตามองชุยอี้จือ

 

 

           “ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสองท่าน และท่านโหวบอกข้าว่าให้ตามหาจ้าวเคอหมอเทวดาประจำกายเซี่ยอวิ๋นหลาน มิได้บอกให้ตามหาผู้อื่น” ชุยอี้จือมองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

           “เท่าที่ข้าทราบมา วิชาเสาะวิญญาณพันลี้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอจำต้องใช้เส้นผมหรือผิวหนังบนร่างกายในการตามหาคนผู้นั้น ให้นกดมกลิ่นแล้วบินตามหา ข้าไม่มีส่วนผิวหนังบนร่างกายของเซี่ยอวิ๋นหลานกับจ้าวเคอ แต่ร่วมผูกผมเป็นสามีภรรยา รักกันอย่างไรข้อกังขา ที่ข้ามีเส้นผมของนางอยู่” ฉินเจิงหรี่ตาลง

 

 

           “ท่านพี่คิดว่าถ้าหานางพบก็จะเจอตัวจ้าวเคอหรือ” ชุยอี้จือกะพริบตาปริบ

 

 

           “ไม่มั่นใจว่าจะเจอตัวจ้าวเคอหรือไม่ แต่สมุนไพรดำม่วงน่าจะหาเจอได้เป็นแน่” ฉินเจิงพูดจบก็ยกเท้าถีบขาข้างหนึ่งของชุยอี้จือ โดยเล็งตรงข้างขาที่เขานั่งควบม้าอยู่ “อย่ามัวไร้สาระ ให้เจ้าหาก็รีบหา”

 

 

           “นี่เป็นวิธีขอร้องคนอื่นของท่านหรือ” ชุยอี้จือสูดปากด้วยความเจ็บ เอ่ยอย่างไม่พอใจ

 

 

           “เจ้าเข้าเมืองมาเพื่อแสวงหาลาภยศ วางแผนเพื่อตำแหน่งขุนนาง ทั้งหมดก็เพราะอยากให้ครอบครัวเจ้ากลายเป็นที่หนึ่งในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ทำให้ครอบครัวอื่นในตระกูลชุยแห่งชิงเหอทำได้เพียงแค่ไล่ตามหลังเท่านั้น หากเจ้าติดตามข้าไปทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้ารับรองว่าหลังกลับถึงเมืองแล้ว ตำแหน่งราชเลขากรมกลาโหมต้องเป็นของเจ้า” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ

 

 

           “ท่านพี่พูดจริงหรือ” ชุยอี้จือเลิกคิ้วสูงทันที

 

 

           “ข้าไม่เคยพูดเท็จ” ฉินเจิงตอบ

 

 

           “ข้าเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักตั้งแต่อายุยังน้อย ตำแหน่งแรกก็เป็นรองราชเลขากรมกลาโหมแล้ว เดิมทีขุนนางทั้งหมดค่อนข้างไม่พอใจ หากออกไปครั้งนี้กับท่าน หลังกลับมาก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นราชเลขากรมกลาโหม เช่นนั้น…” ชุยอี้จือมองฉินเจิง

 

 

           “เช่นนั้นก็ทำได้แค่อิจฉาเจ้า สอพลอเจ้า ประจบเจ้า” ฉินเจิงสมทบ “เจ้าจะกลายเป็นราชเลขากรมกลาโหมที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่หนานฉินเคยมีมา ควบคุมดูแลขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหมด ทั้งการเลือกใช้คน การขึ้นทะเบียนทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ คำสั่งการทหาร และจุดเปลี่ยนม้าในการเดินทาง กี่ปีแล้วที่ตระกูลชุยแห่งชิงเหอทำได้เพียงถ่ายทอดหกคัมภีร์ของขงจื๊อ ไม่เชี่ยวชาญกลยุทธ์แผนการทหาร แต่เจ้าจะกลายเป็นผู้ริเริ่มเบิกทาง เช่นนั้นนับจากนี้สิทธิ์และปากเสียงของตระกูลชุยแห่งชิงเหอจะอยู่ในการควบคุมของเจ้า อนาคตขุนนางจะบันทึกชื่อเจ้าในบันทึกประวัติศาสตร์” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นเสียงกล่าว “แน่นอนว่าจะถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์หรือทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ตลอดกาล ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นขุนนางแบบใด”

 

 

           “ท่านพี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว อ่านใจคนได้ปรุโปรง อ่านสถานการณ์ได้เฉียบขาด แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์” ชุยอี้จือแย้มยิ้ม “ท่านนำเสนอแต่ข้อดีจนข้ามิอาจปฏิเสธได้ ข้าติดตามท่านออกมา มีหรือจะปฏิเสธแม้ต้องตายเป็นหมื่นครั้ง”

 

 

           ฉินเจิงชำเลืองมองเขา ยอมรับโดยนัย

 

 

           “หาที่เงียบสงัดเบื้องหน้า แล้วนำของแทนใจในฐานะสามีภรรยาที่ท่านว่า ‘ผูกผมเป็นสามีภรรยา รักกันอย่างไรข้อกังขา’ มาให้ข้าแล้วกัน” ชุยอี้จือพูดจบก็เสริมขึ้นด้วยคำเตือน “แต่วิชาเสาะวิญญาณพันลี้เกรงว่าจะทำลายของรักของท่านไปด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องใช้กลิ่นเพื่อระบุตัวตน เส้นผมนั้นต้องทำลายก่อนแล้วตามหาทีหลัง ท่านอย่าได้เสียใจแล้วกัน”

 

 

           “หากตามตัวกลับมาไม่ได้ เก็บผมช่อหนึ่งไว้จะมีประโยชน์ใด” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ

 

 

           “ถึงตามกลับมาได้ พวกท่านก็ไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว ไร้ซึ่งความเกี่ยวของกันอีก” ชุยอี้จือมองเขา จงใจพูดทำลายความมั่นใจ

 

 

           “ถ้าไม่ทำลายก็สร้างขึ้นใหม่ไม่ได้” ฉินเจิงตีหน้านิ่งขรึม

 

 

           ชุยอี้จือกระแอมขึ้น “เช่นนั้นข้าจะรอดูว่าท่านพี่จะทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่อย่างไร” พูดจบ เขาก็ควบม้ามุ่งไปยังป่าผืนหนึ่งข้างหน้า

 

 

           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด ขี่ม้าไล่ตามเขาไป

 

 

           ทั้งสองมาถึงป่าผืนหนึ่ง เมื่อหาสถานที่ลับตาคนได้แล้ว ฉินเจิงก็นำปอยผมเชื่อมใจให้ชุยอี้จือ

 

 

           ชุยอี้จือรับไป

 

 

           “เจ้าใช้สมาธิให้เต็มที่ ข้าจะดูต้นทางให้ ไม่ให้มีใครมารบกวนเจ้าได้” ฉินเจิงหันหลังให้แล้วเอ่ยขึ้น

 

 

           ชุยอี้จือรับคำ รวบรวมสมาธิ แล้วเริ่มใช้วิชาเสาะวิญญาณพันลี้อันเป็นวิชาลับที่ถ่ายทอดกันเฉพาะในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ

 

 

           หนึ่งชั่วยามถัดมาเขาก็เดินออกจากป่าด้วยเหงื่อท่วมตัว พร้อมประคองนกตัวหนึ่งกลางฝ่ามือแล้วกล่าวกับฉินเจิง “เราตามมันไป มันจะช่วยให้เราได้เจอกับคนที่ท่านอยากตามหา” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “แต่ว่าตั้งแต่ข้าเรียนวิชานี้มา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้มัน”

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนพลิกกายขึ้นม้า

 

 

           ชุยอี้จือก็ขึ้นม้าเช่นกัน ซับเหงื่อลวกๆ ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือสูงขึ้นให้นกตัวนั้นบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

 

           ทั้งสองเห็นมันบินวนอยู่กลางท้องฟ้ารอบหนึ่ง พอมันบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งสองก็หนีบขาเข้ากับท้องม้า ไล่ตามนกตัวนั้นมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้