พลบค่ำ ฉินเจิงกับชุยอี้จือมาถึงเขตพื้นที่สามสิบลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากเมืองผิงหยางภายใต้การนำทางของนกน้อย
สถานที่ตรงนี้เป็นหน้าผาแหว่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
นกน้อยตัวนั้นบินนำมาถึงตรงนี้ มันบินวนเหนือหน้าผารอบหนึ่ง จากนั้นก็บินดิ่งลงไปยังก้นผาเบื้องล่าง
ฉินเจิงกับชุยอี้จือดึงเชือกบังเ**ยนพร้อมกันแล้วมองหน้าผาแหว่งเบื้องหน้าซึ่งมีความสูงหมื่นจั้ง รอบข้างไร้ต้นไม้ใบหญ้าหนาแน่น เป็นเพียงหน้าผาแหว่งโกร๋น มีศิลายักษ์สลักอักษรไว้ว่า ‘ผาไน่เหอ’ มุมขวาล่างยังมีบทกลอนสลักไว้สองวรรคด้วยว่า ‘ตกจากตรงนี้ก็ไม่อาจทำอันใดได้แล้ว วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า’
“ท่านพี่ ทำเช่นไรดี ผาแห่งนี้ดูลึกจนมองไม่เห็นก้นเหว” ชุยอี้จือมองพักหนึ่งก็หันมาถามฉินเจิง
ฉินเจิงมองหน้าผาแหว่งเบื้องหน้า เวลานี้ตะวันลาลับแล้ว เหนือหน้าผาปกคลุมด้วยไอหมอกหนาจัด แววตาของเขามืดทึบเหมือนกับหมอกเช่นกัน “ลงไป”
“ลงไปอย่างไร” ชุยอี้จือมองซ้ายแลขวา “ตรงนี้ไม่มีเส้นทางอื่นแล้ว ถ้าเราจะลงไปมีแต่ต้องหาทางเข้าจากก้นเหวเท่านั้น ทว่าหน้าผาแหว่งยาวถึงเพียงนี้ ทางเข้าอยู่ตรงไหนกัน”
“ผาไน่เหอไม่มีทางเข้าบันทึกบอกไว้” ฉินเจิงบอก “กระโดดลงไป”
“อะไรนะ” ชุยอี้จือตระหนก “กระโดด…ลงไป”
“เจ้าฟังไม่ผิด กระโดดลงไป” ฉินเจิงพยักหน้ายืนยัน
“เราต้องร่างแหลกกระดูกป่นแน่” ชุยอี้จือมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก มองเขาคล้ายเห็นปีศาจก็มิปาน “ท่านพี่ ท่านมิได้ป่วยใช่ไหม นกน้อยมีปีกจึงบินดิ่งลงไปได้ แต่พวกเรามีอะไร ผาแห่งนี้สูงหมื่นจั้ง เราจะกระโดดลงไปหาความตายรึ ท่านไม่เห็นข้อความที่สลักไว้ว่าหากตกลงไปจากตรงนี้ วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้าหรือ”
“ข้าจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ แต่ไม่เชื่อว่าวิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
ชุยอี้จือพูดไม่ออกชั่วขณะ
ฉินเจิงพลิกกายลงจากม้า โยนเชือกบังเ**ยนทิ้ง แล้วเดินตรงไปข้างหน้า
“นี่ ท่านจะกระโดดจริงหรือ” ชุยอี้จือรีบลงจากม้า สาวเท้าเข้ามาขวาแขนฉินเจิงไว้
“เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นรึ” ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนสะบัดแขนเขาออก
“จะกระโดดก็กระโดดไปคนเดียว ข้าไม่กระโดดด้วยหรอก” ชุยอี้จือส่ายหน้า
“เจ้าต้องกระโดดด้วย” ฉินเจิงพลิกมือกลับมากำแขนเขา
“นี่” ชุยอี้จือหัวเสีย “ท่านอยากรนหาที่ตายก็อย่าลากข้าไปด้วยสิ ข้ายังใช้ชีวิตไม่หนำใจเลย”
“แล้วจ้าคิดว่าข้าใช้ชีวิตพอแล้วหรือ” ฉินเจิงหยิบโซ่คล้องสองเส้นออกมาจากเอว ยื่นเส้นหนึ่งให้
ชุยอี้จือ “วางใจได้ ขอเพียงเจ้าทำตามวิธีที่ข้าบอก เราช่วยเหลือกันไต่ลงไป ไม่ตายอย่างแน่นอน”
ชุยอี้จือรับโซ่คล้องมามองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นโซ่ที่ทำขึ้นจากเหล็กกล้า ที่ปลายโซ่สองด้านห้อยด้วยตะขอทองซึ่งแหลมคมยิ่ง เขามองฉินเจิงด้วยความสงสัย “จริงหรือ”
“จริง” ฉินเจิงผงกศีรษะยืนยัน
ชุยอี้จือเห็นว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถึงแม้ตนไม่อยากกระโดดคงทำมิได้ ได้แต่พยักหน้ารับ
ฉินเจิงเดินมาที่ริมผา มองลงไปข้างล่างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยบอกเขา “ข้าจะลงไปก่อน เจ้าทำตามข้า คล้องเกี่ยวต่อเนื่องไปด้วยกัน จำให้ดีว่าอย่าพลาดโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นข้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ตายเปล่า”
“ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจทันหรือไม่” ชุยอี้จือมองก้นเหวที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบที่ตอนนี้มองไม่เห็นเงานกน้อยของเขาแล้ว
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ฉินเจิงชำเลืองมอง “ความร่ำรวยมีเกียรติได้มาอย่างยากลำบาก”
ชุยอี้จือถลึงตามองค้อนเขา ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก
ฉินเจิงใช้โซ่คล้องเอวตนเองให้มั่นคง ปลายโซ่ทั้งสองด้านยังเหลือตัวโซ่อีกยาวมาก เมื่อเขามัดตัวเองดีแล้วก็หันไปมองชุยอี้จือ
ชุยอี้จืออับจนหนทาง ได้แต่ทำตามเขา คล้องโซ่ผูกกับเอวตนเองเช่นกัน
ฉินเจิงถือปลายโซ่ทั้งสองด้านในสองมือ โน้มกายลงจากริมผา หลังกระโดดลงไปได้สามจั้งก็สะบัดปลายโซ่ด้านหนึ่งออกไปอย่างแรง ตะขอแหลมปักเข้ากับผนังหิน ห้อยตัวเขาไว้อย่างมั่นคง
ชุยอี้จือเห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีจึงทำตามวิธีของฉินเจิง พวกเขาคล้องเชื่อมต่อกันลงไปเรื่อยๆ แม้ต้องใช้เวลามากหน่อย มิทราบว่ายามใดจะถึงก้นผาหมื่นจั้ง แต่ขอเพียงไม่ผิดพลาดก็ต้องลงไปได้เป็นแน่
“ลงมา!” ฉินเจิงตะโกน
ชุยอี้จือรับคำ ทำตามเขาด้วยการกระโดดลงไป ถึงระยะสามจั้งแล้วก็ห้อยตัวเองเข้ากับผนังหิน
ฉินเจิงเห็นเขาลงมาแล้วก็ใช้ปลายโซ่อีกด้านตอกบนผนังหิน ขณะเดียวกันก็ดึงตะขอก่อนหน้านี้ออกมา
ชุยอี้จือทำตาม
ทั้งสองเกื้อกูลกันเช่นนี้ ไต่ผาสูงหมื่นจั้งลงไปทีละก้าว
ฉินเจิงมีวิทยายุทธ์สูง วิทยายุทธ์ของชุยอี้จือเองก็มิได้ต่ำต้อย ทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความเร็วในการไต่ลงไปมิอาจเรียกได้ว่าเร็วนัก แต่ก็มิได้ช้าเช่นกัน
เนื่องจากฟ้ามืดแล้ว ก้นผาแหว่งจึงปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ ดังนั้นครึ่งชั่วยามถัดมาทั้งสองจำต้องขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นถึงจะมองเห็นระยะห่างของอีกฝ่าย ความเร็วลดลงถนัดตา เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น
ยิ่งไต่ลงลึกก็ยิ่งมืดมิด กระทั่งยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
ฉินเจิงหยิบไข่มุกราตรีออกมาจากอกเสื้อ หมอกสีดำรอบกายพลันเกิดแสงสว่างขึ้น
หนึ่งชั่วยามครึ่งต่อมา หน้าผากของชุยอี้จือมีเหงื่อผุดพราย เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเจือความหอบเล็กน้อย “ท่านพี่ ท่านคิดว่ายังอีกไกลหรือไม่”
ฉินเจิงแงะก้อนหินจากหน้าผาออกมาโยนลงไป
ก้อนหินมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ร่วงลงไปในม่านหมอกและเสียงลม เนิ่นนานก็ไม่ได้ยินเสียงกระทบพื้น
ผ่านไปพักหนึ่งฉินเจิงก็เอ่ยขึ้น “อย่างน้อยยังอีกครึ่งทาง”
“ข้าเกรงว่าจะฝืนร่างกายไม่ไหว” ชุยอี้จือท้อใจ
ฉินเจิงมองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง “ประเดี๋ยวเจอตำแหน่งเหมาะสม เราค่อยพักกันสักครู่”
ชุยอี้จือพยักหน้า
เวลาผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม มีหินนูนขนาดใหญ่ยื่นขวางกลางผา พอจะให้คนสองคนได้หยุดพักครู่หนึ่ง ฉินเจิงบอกให้ชุยอี้จือพักตรงนี้ได้
ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันบนหินนูน รอบกายนอกจากหมอกทะมึนมืดมิดก็มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังเกิดเป็นความเงียบสงัดอันน่าประหลาด
ชุยอี้จือนั่งพักครู่หนึ่งรอให้เหงื่อกาฬบนตัวแห้งสนิท ไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วก็เอ่ยด้วยความคาใจ “นกที่ข้าเลี้ยงมาไม่เหมือนนกทั่วไป มันมองเห็นตอนกลางคืน โดยทั่วไปหากมันบินดิ่งลงมาในผาสูงหมื่นจั้ง แม้มีหมอกหนาปกคลุม แต่ไม่น่าเป็นปัญหากับมัน มันควรบินย้อนขึ้นมาถึงจะถูก ไฉนจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เห็นเงา”
“เท่าที่เจ้ารู้ มันบินดิ่งลงผาสูงหมื่นจั้ง ต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะบินย้อนขึ้นมา” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“มากสุดครึ่งชั่วยาม” ชุยอี้จือเป็นกังวล “เมื่อครู่เราไต่ลงข้างล่างโดยไม่หยุดพัก จึงไม่ทันได้คำนวณเรื่องเวลา ตอนนี้มาคิดดูแล้วผิดปกติ หรือว่าเกิดเรื่องกับมัน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีเจ้าอาจเดาถูก” ฉินเจิงมองไปเบื้องล่างแวบหนึ่ง
“มันเป็นนกที่ติดตามข้ามาตั้งแต่เด็กนะ” ชุยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าเยือกเย็น
“ในเมื่อเป็นนกที่ติดตามเจ้ามาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังฉลาดเช่นนี้ บางทีหากถูกคนจับไปก็ไม่น่าจะถึงกับเอาชีวิตมัน เว้นเสียแต่มันจะบินชนผาหรือเกิดอุบัติเหตุกับตัวมันเอง” ฉินเจิงบอก “ผู้ที่จับมันได้คงมองเห็นถึงความล้ำค่าของมัน คงไม่ฆ่าทิ้งง่ายๆ”
ชุยอี้จือโล่งอก เมื่อเกี่ยวข้องกับนกที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็ไม่อยากพักต่อแล้ว รีบเอ่ยขึ้น “ไปต่อเถอะ”
ฉินเจิงพยักหน้า
ทั้งสองไต่ลงไปตามหน้าผาต่อ
สองชั่วยามถัดมา ทั้งสองก็มาถึงก้นผา
ภายใต้แสงสว่างจากไข่มุกราตรี สะท้อนให้เห็นแสงมันวาวระยับข้างล่างผา
“ท่านพี่ ก้นผาเป็นน้ำ” ชุยอี้จือเห็นแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไป
“เห็นแล้ว” ฉินเจิงเม้มปาก “เราว่ายน้ำข้ามไปแล้วกัน”
“ข้าว่ายน้ำไม่เป็น” ชุยอี้จือบอกทันที
ฉินเจิงผินหน้ามองเขา พบว่าสีหน้าเขาไม่ใช่แค่ขาวธรรมดาหากแต่ขาวซีด จึงเอื้อมมือไปจับแขนเขาไว้ “ข้าพาเจ้าไปเอง”
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราไม่รู้ว่าน้ำลึกตื้นเพียงใด และไม่รู้ด้วยว่าผืนน้ำกว้างแค่ไหน เราหาที่พักรอจนฟ้าสว่างก่อนดีกว่า มิฉะนั้นมีข้าคอยถ่วงท่าน หากในน้ำมีอันตราย ท่านคนเดียวเกรงว่าจะรับมือไม่ไหว กว่าจะลงมาจากยอดผาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าไม่อยากทิ้งชีวิตไว้ในน้ำ” ชุยอี้จือส่ายหน้า
ฉินเจิงพิจารณาชั่วครู่ก็คิดว่ามีเหตุผล พวกเขาใช้เวลาสี่ชั่วยามกว่าจะลงมาถึงก้นผา อย่าว่าแต่ชุยอี้จือเลย แม้แต่เขาเองก็เริ่มเหนื่อยบ้างแล้วเช่นกันจึงพยักหน้ารับ “เช่นนี้แล้วกัน เราไต่เลียบผนังผาไปก่อน หากจุดที่พอจะพักเท้าได้ แล้วก็ทำอย่างที่เจ้าว่า รอให้ฟ้าสว่างก่อน”
ชุยอี้จือถอนใจโล่งอก
ทั้งสองไต่เลียบผนังผาหาที่พักเป็นเวลาสองถ้วยชาเต็มกว่าจะเจอต้นไม้ใหญ่ที่เจริญเติบโตแทรกขึ้นมาจากก้นผนังผา ต้นไม้ใหญ่น่าจะมีอายุหลายพันปีแล้วจึงมีขนาดลำต้นใหญ่อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่จุได้สองคนเลย สี่คนก็ไม่มีปัญหา
ชุยอี้จือปีนขึ้นไปบนกิ่ง เหยียดแข้งขานอนลง เหนื่อยจนไม่อยากเอ่ยคำใดออกมาอีกแล้ว
ฉินเจิงถือไข่มุกราตรีส่องมองรอบกาย เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็เอนตัวนอนบนกิ่งไม้เช่นกัน
เมื่อฟ้าสว่าง ก้นเหวก็ค่อยๆ สะท้อนประกายระยิบระยับขึ้น
ฉินเจิงลืมตาตื่น หยัดกายลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า หมอกบริเวณก้นเหวยังคงหนาจัด ทว่าคลับคล้ายคลับคลาว่ามองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายแล้วเช่นกัน พบว่าตรงนี้เป็นหุบเขาปิดตายซึ่งมีขุนเขาโอบล้อม ก้นหุบเขาเป็นทะเลสาบ คล้ายกับกระปุกขนาดใหญ่ นอกจากด้านบน บริเวณอื่นรอบกายก็ถูกปิดผนึก
มิน่าถึงเรียกว่าผาไน่เหอหรือผาจนปัญญา
หากคนธรรมดาร่วงตกมาจากข้างบน หล่นลงในผืนน้ำ แม้กระดูกไม่แตกละเอียด แต่ก็จะจมน้ำตาย แต่ถึงไม่จมน้ำตายก็จะอดตายแทน
ตกจากตรงนี้ก็ทำอันใดมิได้ วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า
ตวัดตามองขึ้นไปด้านบน รอบด้านเป็นผาหิน หมอกหนาจัดลอยเหนือศีรษะ ช่างเหมือนกับเมฆาบนสวรรค์ชั้นเก้าเสียจริง