ตอนที่ 228 วางแผน

รักเล่ห์เร้นใจ

ทั้งสองจากไปด้วยกัน ฮั่วเทียนอวี่นึกคำนวณผลดีร้ายไปตลอดทาง นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของอี้อวิ๋นฉัง

 

 

ทั้งสองนิ่งเงียบมาตลอดทาง ฮั่วเทียนอวี่ได้ยินแต่เสียงรองเท้าส้นสูงของอี้อวิ๋นฉังดังบาดหูสะท้อนมา

 

 

อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าฮั่วเทียนอวี่ยังก้มหน้าคิดไม่เลิก ก็ไม่ได้รบกวนเขาอีก อี้อวิ๋นฉังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

 

 

ดูท่าว่าแผนของเธอจะสำเร็จแล้ว ฮั่วเทียนอวี่ดูเหมือนจะยังคิดเรื่องนี้อยู่ แม้ว่าเมื่อครู่เขาตกลงรับปากแล้ว แต่อี้อวิ๋นฉังยังเกรงว่าเขาจะกลับคำทีหลัง

 

 

“คุณอยากให้หลินหว่านไปจากคุณจริงๆ หรือไง?” เสียงของอี้อวิ๋นฉังดังแทรกขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน ชายหนุ่มตรงหน้าเธอเงยหน้าขึ้น “มันแน่อยู่แล้วว่าผมไม่ต้องการ”

 

 

ที่แท้ฮั่วเทียนอวี่ยังคิดว่าไม่ต้องทำถึงขนาดที่อี้อวิ๋นฉังบอก แต่เขาก็คิดไปถึงสถานการณ์อีกมากมาย รู้สึกว่ายังไม่ค่อยวางใจนัก “แต่ถ้าผมพูดแล้วเธอคงต้อง…”

 

 

แม้ว่าฮั่วเทียนอวี่จะไม่ได้พูดต่อ อี้อวิ๋นฉังก็เข้าใจดีว่าเขายังติดเรื่องอะไรอยู่ ดังนั้นอี้อวิ๋นฉังจึงพูดขัดขึ้นว่า “คุณกลัวว่าเธอจะโกรธจนไม่อยากจะแลคุณอีกกระมัง”

 

 

อี้อวิ๋นฉังเบิกตากว้างจ้องมองฮั่วเทียนอวี่อย่างพินิจพิจารณา “ต่อให้คุณกลัวเรื่องพวกนี้ แต่ก็ยังดีกว่าให้เธอไปจากคุณ คิดดูดีๆ สิ” อี้อวิ๋นฉังยกมือกอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นมุมโค้งพอดีเป๊ะ

 

 

อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าตัวเองเปิดอกให้เขาพูดในสิ่งที่กังวลใจออกมา แต่ฮั่วเทียนอวี่ยังอึกๆ อักๆ อยู่ อันที่จริงอี้อวิ๋นฉังเองก็ร้อนใจมาก รู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อครู้จนถึงตอนนี้เธอเปลืองน้ำลายไปมากแล้ว

 

 

“แต่ถ้าเธอโกรธขึ้นมาจริงๆ งั้นจะกลับหรือไม่กลับไปกับผมก็ไม่มีความหมายเลย!” ฮั่วเทียนอวี่ฟังคำพูดของหญิงสาวแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่ แต่เขายังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี

 

 

อี้อวิ๋นฉังฟังคำเขาแล้ว ตวัดสายตาค้อนประหลับประเหลือก คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะหัวดื้ออยู่บ้าง ทั้งที่เมื่อครู่เธอพูดจนเขาใจอ่อนแล้วเชียว

 

 

ตอนนี้กลับคิดจะถอนตัว เธอจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน? อี้อวิ๋นฉังคิดพลาง พูดจาโน้มน้าวฮั่วเทียนอวี่ต่อไปอย่างอดทน “คุณก็เอาแต่คิดแบบนี้ ต่อไปพวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันไปนานๆ แล้ว ยังกลัวเธอจะไม่อภัยให้คุณอีกรึไง?”

 

 

พอเห็นฮั่วเทียนอวี่มีท่าทีหวั่นไหว อี้อวิ๋นฉังก็รีบตีเหล็กเมื่อยังร้อน พูดต่อไปว่า “นั่นน่ะยังไงก็ดีกว่าที่พวกคุณสองคนไม่ได้เจอหน้ากัน ความรู้สึกก็ย่อมจะห่างเหินกันไป” คำพูดนี้ของอี้อวิ๋นฉังกระทบเข้ากลางใจฮั่วเทียนอวี่พอดี

 

 

เรื่องของหลินหว่านในตอนนี้ ลือสะพัดไปทั่วทั้งสังคมออนไลน์ หลินหว่านก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันไม่เหมือนกับที่พวกเขาพูดกันเลย

 

 

เรื่องนี้ทำให้เธอปวดหัวมากในตอนนี้ หลินหว่านนั่งอยู่ภายในห้อง แม้ว่าเธอจะกลุ้มใจกับเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังไม่แสดงออกมา

 

 

ตอนนี้คอมเมนต์พวกนั้นทิ่มแทงสายตาเธอเอามาก แม้ว่าจะเดาที่มาของเรื่องราวได้พอควรแล้ว แต่ก่อนที่ได้ทราบผลแน่นอน หลินหว่านก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

 

 

ก่อนหลินหว่านจะออกจากบ้าน ต้องสวมชุดที่ห่อหุ้มตัวเองจนมิดชิด ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะจำได้ นาทีที่ก้าวออกจากประตูบ้าน หลินหว่านก็เห็นว่าหน้าประตูมีนักข่าวรออยู่มากมาย

 

 

ในมือของพวกเขามีทั้งไมโครโฟนและกล้องรอเธอปรากฏตัวออกมา ตอนนี้สื่อทุกค่ายและชาวเน็ตต่างพากันถือเอาผลตรวจจากโรงพยาบาลนั้นเป็นหลักฐาน ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ไม่มีใครรับฟังอีก

 

 

หลินหว่านคาดเดาได้ไม่ผิดเลย เธอดื้อไม่ฟังคำทัดทานของคนรอบข้าง ไม่ยอมออกไปทางประตูหลัง เพราะเธอรู้สึกว่าการหลบเลี่ยงแบบนี้จะยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเธอไม่กล้าสู้หน้า

 

 

หลินหว่านแค่สวมแว่นดำ นาทีที่เธอเดินออกไปไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางพิเศษอะไร และไม่ได้ทำท่าลำบากใจด้วย ถึงแม้ในใจจะตึงเครียดขนาดไหน แต่เธอก็อดกลั้นเอาไว้ได้

 

 

“ไม่ทราบว่าเรื่องที่คุณทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นความจริงหรือไม่ครับ”

 

 

“เป็นแค่ข่าวลือหรือเป็นความจริงคะ”

 

 

“คุณหมอบอกว่าคุณมีร่องรอยว่าทำศัลยกรรมมาก่อน เรื่องนี้จริงหรือเปล่าคะ”

 

 

พวกนักข่าวพากันฮือมาข้างหน้า ด้วยกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ถาม เพียงชั่วขณะ รอบกายหลินหว่านก็รายล้อมด้วยหญิงชายมากมาย

 

 

เป็นอย่างที่คิด พวกเขาไม่มีเรื่องอื่น แม้จะคาดเดาได้แต่แรก แต่หลินหว่านยังหัวใจตกวูบ

 

 

“ฉันขอย้ำว่าฉันไม่ได้ทำศัลยกรรมใบหน้า ส่วนผลตรวจของทางโรงพยาบาลนั้น ฉันไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร” น้ำเสียงของหลินหว่านหนักแน่นจริงจัง เรื่องนี้ไม่ควรที่เธอจะต้องเจอแบบนี้ ทำไมต้องทนด้วย เธอตอบนักข่าวไปตรงๆ เมื่อต้องสู้กับแสงแฟรชวูบวาบถี่ยิบที่ด้านข้างหลินหว่านยังคงสงบนิ่งมาก

 

 

ทางด้านนี้หลินหว่านอดทนกับการถูกพวกนักข่าวล้อมกรอบ เวลาเดียวกัน ฮั่วเทียนอวี่กับอี้อวิ๋นฉังก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยกัน อี้อวิ๋นฉังเสนอให้มาที่ร้านอาหารแห่งนี้เอง

 

 

ไม่ใช่เพราะเพื่อเรื่องอื่นใดเลย ยังเป็นเรื่องเมื่อครู่ “คุณอย่าคิดสิว่าที่ฉันทำเป็นการทำร้ายหลินหว่าน ฉันก็ช่วยเธออยู่เหมือนกัน” เสียงพูดของอี้อวิ๋นฉังนุ่มนวลอ่อนโยนมาก พูดราวกับว่าตัวเองอุตส่าห์ลำบากแทบแย่

 

 

พูดพลาง อี้อวิ๋นฉังก็วางแก้วน้ำในมือลง เธอดูท่าทางเขาแล้ว ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีก “นี่ก็ครึ่งค่อนวันแล้วนะ คุณน่าจะตัดสินใจได้ซะทีสิ!”

 

 

อี้อวิ๋นฉังรู้สึกว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่ช่างปอดแหก/ขี้ขลาด/ไม่มีความกล้าได้กล้าเสียเอาซะเลย ถึงตอนนี้แล้วยังมัวคิดกังวลห่วงนั่นพะวงนี่อยู่อีก

 

 

ฮั่วเทียนอวี่พอฟังอี้อวิ๋นฉังสะกิดเตือนเขาอีกครั้ง ก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกตื่นเต้นตึงเครียดอยู่มาก แต่นี่ก็เป็นโอกาสหนึ่งเช่นกัน ฮั่วเทียนอวี่ผงกศีรษะ “ได้ ผมรับปากคุณ ผมจะไปหาสื่อ”

 

 

เพื่อตัดความสงสัยของฮั่วเทียนอวี่ให้เด็ดขาดไป เธอขยับเข้ามาบอกเขาว่า “แค่อยากจะให้คุณบอกหลินหว่านผ่านสื่อว่าหลินหว่านแค่ทำเพื่อสนองความต้องการอยากดังของเธอ อย่างนี้แล้วเธอย่อมจะถูกกระแสวิจารณ์บีบจนต้องออกจากวงการไปเอง”

 

 

“ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว” พูดพลาง อี้อวิ๋นฉังก็ลุกขึ้นยืน ข้าวก็กินแล้ว พูดก็พูดแล้ว ต่อไปก็รอให้ฮั่วเทียนอวี่จัดการ ทุกอย่างก็จะสำเร็จสมบูรณ์!

 

 

อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าฮั่วเทียนอวี่คล้อยตามเธอในที่สุด ก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ คราวนี้ต่อให้เธอพูดยังไงก็ไม่มีใครเชื่อเธออีก ถึงตอนนั้นต่อให้หลินหว่านมีสิบปากก็ทำอะไรไม่ได้ (เธอในที่นี้คือหลินหว่าน –ผู้แปล)

 

 

ตอนนี้พูดอะไรก็เอาแน่ไม่ได้ แต่ขอเพียงฮั่วเทียนอวี่ยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าสื่อ เรื่องนี้ก็จะถือได้ว่าฟันธงแน่นอนแล้วสำหรับเธอ

 

 

ฮั่วเทียนอวี่ไปหาสื่ออีกครั้ง ต่อหน้าสื่อ เขายังแสดงท่าทีสำรวมระวังอย่างมาก ขณะที่ในใจท่องบทที่เตรียมมารอบหนึ่ง คิดไว้เสร็จว่าตัวเองควรจะพูดอย่างไร

 

 

เขานึกหาวิธีพูดไว้สารพัดวิธี และฝึกซ้อมมาหลายครั้งมาก เขามักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลินหว่าน

 

 

“คุณฮั่ว คุณมีคำพูดอะไรก็พูดออกมาต่อหน้าพวกเราได้เลย” คนที่นั่งตรงข้ามท่าทางเหมือนนักข่าว ทั้งสองนั่งอยู่บนโซฟา ด้านข้างยังมีอีกคนถือกล้องบันทึกภาพไว้

 

 

ฮั่วเทียนอวี่กระแอมในลำคอ สองมือประสานตรงหน้าอก “วันนี้เรื่องที่ผมอยากจะพูดค่อนข้างลำบากใจอยู่บ้างที่จะพูดออกมา”

 

 

ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกว่าตัวเองต้องบิวท์อารมณ์ซักหน่อยก่อน ถ้าพูดออกมารวดเดียวเลยจะดูเหมือนตั้งใจมากเกินไป