“คุณฮั่ว คุณไม่ต้องเกร็งมากหรอกค่ะ มีคำพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” นักข่าวสาวที่สัมภาษณ์เขาอยู่ด้านข้างก็ร้อนใจขึ้นมาบ้าง เธอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายยังกระบิดกระบวนไปมาอยู่นั่น
“ที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมอยากให้หลินหว่านอย่าได้หลงลืมตัวอีกต่อไปเลย” ตอนเขาพูดคำนี้ออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวดใจนัก ร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาสั่นระริกอยู่บ้าง สายตาก็บอกชัดว่าอับจนใจซะจริงๆ
แม้แต่ช่างกล้องยังรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้มันสุดยอดมาก พอได้ฟังคำพูดเปิดเผยแบบนี้ยังอดสะดุ้งไม่ได้เลย นักข่าวสาวที่นั่งอยู่ข้างฮั่วเทียนอวี่ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าอีก
ดูเหมือนพวกเขาจะได้เรื่องไปรายงานแล้ว และต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ “งั้นเอาอย่างนี้นะ วันนี้ถ้าคุณมีคำพูดอะไรก็พูดกับกล้องของเราได้เลย”
พูดพลาง นักข่าวสาวก็ชี้ไปที่กล้องถ่ายภาพ ชักจูงให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “กล้องอยู่ข้างหน้านี่เอง เธอต้องได้ดูแน่”
พอได้ยินนักข่าวสาวพูดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งมีคำพูดจะพูดต่อ “ผมกับเธอรู้จักกันมาก่อน ผมบอกได้เลยว่า เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก” ฮั่วเทียนอวี่โบกไม้โบกมือทั้งสองข้าง พูดออกมาอย่างมีเหตุมีผลเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับจะช่วยแก้ตัวให้หลินหว่าน
“คุณฮั่วคะ ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด งั้นทำไมหลินหว่านจึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้คะ?” นักข่าวถือไมโครโฟน แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้ตัดต่อภาพที่ถ่ายไว้ แต่เธออยากจะฟังเรื่องราวเบื้องลึกให้มากยิ่งขึ้น อย่างนี้พวกเขาก็จะมีเนื้อเรื่องให้เขียน
ถึงแม้ฮั่วเทียนอวี่จะรู้ว่าคำพูดในตอนนี้ของเขาไม่ใช่ความจริงเลย ซึ่งที่จริงเขาก็กลัวอยู่บ้าง แต่เขาเริ่มต้นไปแล้ว หยุดไม่ได้แล้ว และสำหรับเขาแล้วนี่เป็นวิธีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“เมื่อก่อนตอนผมกับเธออยู่ด้วยกัน ไม่ได้อยู่ในวงการเหมือนตอนนี้ แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มีแต่ชีวิตที่สงบสุข” พูดไปพลางฮั่วเทียนอวี่ก็เริ่มแต่งเรื่องเอง พูดราวกับว่าตัวเองเป็นเหยื่อผู้ถูกทำร้ายอย่างนั้น
คนที่ด้านข้างยังฟังจนเคลิ้ม “เมื่อก่อนพวกเรามีความสุขกันมาก ทำกับข้าวด้วยกัน เดินเล่น พูดเล่นหยอกเย้ากัน” พูดพลาง เสียงของฮั่วเทียนอวี่ก็ติดก้อนสะอื้นขึ้นมาบ้าง เหมือนกับอีกนาทีหนึ่งจะร้องไห้ออกมาอย่างนั้น
ยังดีที่ด้านข้างเขาเตรียมของมาครบ เขาหยิบกระดาษทิชชูมาแผ่นหนึ่ง คอยปาดเช็ดดวงตาอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกับว่าร้องไห้ออกมาจริงๆ อย่างนั้น
“คุณบอกว่าพวกคุณมีความสุขขนาดนั้น ใกล้ชิดกันขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอยังจะไปจากคุณอีก” ดูท่าว่าตอนนี้เรื่องราวได้พัฒนาการไปในทิศทางที่อี้อวิ๋นฉังต้องการแล้ว
ความผิดทั้งหมดล้วนชี้ไปที่หลินหว่าน ดูเหมือนเธอเป็นคนเนรคุณคนเลย นักข่าวรับฟังอยู่ด้านข้าง ส่ายศีรษะด้วยความระอาใจ ทอดถอนใจว่าวงการบันเทิงนี้หนาช่างลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง
“อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ก็เพราะผมไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้” ฟังคำพูดแบบนี้ ไม่ว่าใครที่ไม่รู้ความจริงก็ต้องรู้สึกสงสารฮั่วเทียนอวี่ เขาพูดด้วยเสียงที่ติดก้อนสะอื้นหนักกว่าเดิม
นักข่าวเห็นว่าอารมณ์เขาพลุ่งพล่านเกินไปบ้างจึงสั่งหยุดพักการบันทึกเทปไว้ครู่หนึ่ง ฮั่วเทียนอวี่นั่งอยู่ที่นั่นเหมือนกับครุ่นคิดอะไรอยู่
เมื่อครู่เป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นล้วนๆ เขาเห็นได้เลยว่าท่าทางของนักข่าวเชื่อในคำพูดของเขาโดยไม่นึกสงสัยเลย
พักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว การสัมภาษณ์ก็ดำเนินต่อไป “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกคุณแยกกันแล้วหรือว่ายังมีการติดต่อกันอยู่คะ?”
“การติดต่อก็ยังมีครับ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเจอผมอีกแล้ว” ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ ตอนที่เขาพูดก็คอยก้มศีรษะตลอด
“ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเซียวจิ่งสือ! หลินหว่านหลงไปกับข้อเสนอพวกนั้นของเขา” พอพูดถึงตรงนี้ ฮั่วเทียนอวี่ก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นไปอีก
ถ้าหากจะบอกว่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ของเขาล้วนเป็นการแสดงตามน้ำ นาทีนี้ เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ พอเขานึกถึงเซียวจิ่งสือ ก็รู้สึกโมโหเดือดขึ้นมา
สำหรับเขาแล้ว เขาโยนความผิดพลาดทั้งหมดทั้งมวลไปที่เซียวจิ่งสือ ขณะที่เห็นว่าปฏิกิริยาของหลินหว่านที่มีต่อเขาเป็นความเฉยชาไม่สนใจ เขารู้สึกว่าต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะเซียวจิ่งสือ
ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางตบโต๊ะไม่หยุด “เป็นเพราะเขาล่อลวงหลินหว่าน ทำให้เธอยอมเชื่อเขาไปหมด!” นักข่าวได้ฟังก็ผงกศีรษะ พูดว่า “ตามที่พวกเราทราบมา เซียวจิ่งสือเป็นถึงทายาทของวั่นหย่ากรุ๊ป คำพูดแบบนี้คุณคงเอ่ยอ้างง่ายๆ ไม่ได้” นักข่าวสาวก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นใคร ดังนั้นตอนที่เขาพูดเช่นนี้ออกมาจึงไม่ได้พูดรับเชิงเห็นด้วย
ขณะที่นักข่าวสาวพูดสะกิดเตือนเขาว่าอย่าพูดเปะปะ แต่ฮั่วเทียนอวี่ไม่สนอะไรอีก ยังพูดต่อไปว่า “เป็นเพราะเขาล่อลวงเธอ หรือน่าจะพูดว่าเงินของเขาล่อลวงเธอ หลินหว่านคงหลงลมไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น”
ระหว่างที่พูดนั้น ฮั่วเทียนอวี่ยังพูดเหมือนหวังดีกับหลินหว่านตลอด จนถึงนาทีนี้ เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองเอาคืนหลินหว่านเพราะโกรธเกลียดเธอหรือว่าอยากจะอยู่ร่วมกันเธอจริงๆ!
“เป็นเพราะเขามีอำนาจล้นฟ้าแล้วยังมีเงินอีก หลินหว่านจึงหลงลืมตัวไป พอจนมุมเข้าจึงไปทำศัลยกรรม” เมื่อครู่ฮั่วเทียนอวี่ยังคิดอยู่เลยว่าควรจะพูดเรื่องนี้หรือไม่
นักข่าวสาวผงกศีรษะ พูดว่า “คุณฮั่วจะบอกว่ากระแสข่าวช่วงนี้ที่หลินหว่านไปทำหน้ามา เรื่องนี้เป็นความจริงสินะคะ” นักข่าวสาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
อันที่จริงตอนนี้สื่อทุกค่ายกับชาวเน็ตต่างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจอยากจะรู้ความจริง แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดนี้จะได้ข้อสรุปซะที
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ฮั่วเทียนอวี่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะพูดกับนักข่าวถึงสองสามชั่วโมง ตอนที่ออกมานั้นคิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นฉังจะอยู่ที่นี่ด้วย
“เป็นยังไงบ้าง คำพูดนั่นคุณพูดรึยัง?” สีหน้าของอี้อวิ๋นฉังดูจะอยากรู้คำตอบอยู่บ้าง เมื่อครู่พอทั้งสองทานข้าวเสร็จ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้กลับไป ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบที่แน่นอนของฮั่วอวี่เทียน เธอยังไม่ค่อยวางใจนัก
“ที่ต้องพูดผมก็พูดไปหมดแล้ว” ตอนฮั่วเทียนอวี่พูดคำนี้ เขารู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง อี้อวิ๋นฉังได้ฟังแล้ว มุมปากก็หยักยิ้มขึ้น มือที่จับกระเป๋าถือก็ปล่อยคลายลง “คราวนี้คุณก็ไม่ต้องห่วงแล้ว”
ชั่วไม่ทันข้ามคืน คำให้สัมภาษณ์ของฮั่วเทียนอวี่ก็ถูกโพสต์ขึ้นเน็ต เป็นที่ฮือฮาไปทั้งสังคมออนไลน์ ชั่วเวลานั้น หลินหว่านถูกผู้คนนับหมื่นรุมทึ้ง
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าหล่อนไปทำหน้ามา ตอนนี้พูดไม่ออกแล้วสิ”
“น่าตกใจจริงๆ พักก่อนยังเห็นเธอพูดซะเป็นจริงเป็นจังว่าตัวเองไม่ได้ทำศัลยกรรมอยู่เลย”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมั่นใจนัก คิดไม่ถึงว่านอกจากจะทำหน้ามาแล้วยังหน้ามืดตามัวได้ขนาดนี้”
“ดูสิ ผู้ชายที่ให้สัมภาษณ์นั่นเสียใจจนร้องไห้ซะ ที่พูดมาก็น่าจะจริงนะ”
ถึงแม้หลินหว่านจะเปิดคอมเมนต์ของพวกชาวเน็ตขึ้นมาอ่านโดยไม่ตั้งใจ ด้วยเธอรู้สึกว่าเธอใจแข็งพอ แต่พอเห็นว่าบนเน็ตมีแต่เสียงก่นด่าเธอเป็นเสียงเดียว
ถ้าจะบอกว่าเมื่อก่อนยังมีคนส่วนน้อยที่ยังเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำศัลยกรรม งั้นตอนนี้ก็แทบไม่เหลือเลยก็ว่าได้
หลินหว่านรู้สึกว่าตัวเองไม่มีปัญญาจะเชื่อว่าฮั่วเทียนอวี่จะพูดถึงเธอในรายการแบบนี้ เธอดูคลิปนั้นจนจบรอบหนึ่ง ได้แต่นั่งนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นเอง
“คืนวันแห่งความสุข! ฉันชอบเงิน!” หลินหว่านนั่งพึมพำกับตัวเองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ย้ำซ้ำไปมากับคำพูดให้สัมภาษณ์ของฮั่วเทียนอวี่