“เอาล่ะ..ข้าจะนำทุกคนเดินเข้าออกค่ายกลวราหกให้คุ้นเคยเสียก่อน”
หลังจากที่หลิงหยุนได้อธิบายการทำงานของค่ายกลทั้งสามอย่างละเอียดพร้อมกับสาธิตให้ดูแล้ว เขาก็ได้พาทุกคนเดินเข้าออกค่ายกลวราหกถึงห้าหกครั้งเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย..
และค่ายกลวราหกนั้นก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะสามารถทำความเข้าใจได้แม้แต่คนธรรมดาหากลองเดินเข้าเดินออกสักสามสี่ครั้ง ก็สามารถจดจำได้ไม่ยาก..
ค่ายกลวราหกนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยลูกเหล็กสามสิบหกลูกหลังจากที่ทำการเปิดดวงตาค่ายกลแล้ว หากมีผู้บุกรุกเข้ามา ควันสีขาวก็จะพวยพุ่งออกมาปิดบังสายตาของคนผู้นั้นไว้ทันที ทำให้คนผู้นั้นมีสภาพไม่ต่างจากคนตาบอดคนหนึ่ง..
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าทุกคนเข้าใจและสามารถจดจำรายละเอียดของค่ายกลทั้งหมดได้แล้ว เขาจึงบอกกับทุกคนว่า..
“ค่ายกลวราหกนั้นแม้จะจดจำได้ไม่ยากแต่ก็ต้องจดจำให้แม่นยำว่าอย่าได้ก้าวผิดโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลนวสังหาร!”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางลูกเหล็กขนาดใหญ่รอบๆบริเวณพร้อมกับอธิบายต่อว่า
“หากไม่ระมัดระวังและก้าวผิดไป.. ย่อมเป็นการกระตุ้นให้ค่ายกลสังหารนี้ทำงาน และลูกเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆ ก็จะพุ่งใส่ร่างของคนผู้นั้นทันที!”
แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงร้องตะโกนถามของหลิงหย่งดังขึ้น “หลิงหยุน.. แล้วถ้ามีคนเข้ามาพร้อมกันเป็นจำนวนมากล่ะ หลังจากจากแข้ามาแล้ว พวกเราควรต้องยืนนิ่งๆ ห้ามเดินสะเปะสะปะงั้นรึ?”
ที่หลิงหย่งต้องถามออกมาเช่นนี้เพราะสวนชั้นที่เก้านั้นพื้นที่กว้างใหญ่ หากเขามาแล้วจะยังสามารถเดินเหินได้ตามปกติหรือไม่
“พี่หลิงหย่ง..นี่เป็นคำถามที่ดีมาก!”
หลิงหยุนมองหลิงหย่งยิ้มๆพร้อมกับเอ่ยชม และอธิบายต่อว่า “เพียงแค่เข้ามาได้อย่างถูกต้อง ก็ไม่เป็นการกระตุ้นค่ายกลให้ทำงานแล้ว! หลังจากนั้นก็สามารถเดินเหินในบริเวณนั้นได้อย่างอิสระ..”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปบอกหลิงลี่ว่า“ท่านปู่.. ดวงตาค่ายกลนั้นข้าติดตั้งไว้ที่หน้าประตูบ้านของท่านปู่ ด้วยขั้นของท่านปู่แล้ว หากมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา ท่านปู่ก็สามารถเปิดปิดค่ายกลได้ด้วยตัวเอง..”
หลิงหลี่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข“เยี่ยมมาก! มีค่ายกลสังหารอยู่ในบ้านเช่นนี้ บ้านตระกูลหลิงเท่ากับมีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นอีกนับสิบเท่า ต่อให้มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนบุกรุกเข้ามาพร้อมกันหลายร้อยคน ก็ยากที่จะหลุดรอดไปได้..”
หลิงเย่วที่ยืนฟังอยู่นานนั้นในที่สุดก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หลิงหยุน.. แล้วค่ายกลที่เจ้าสร้างขึ้นมานี้จะมีจะมีผู้ใดทำลายได้หรือไม่”
หลิงหยุนจ้องมองหลิงเย่วพร้อมกับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ“ลุงสอง.. วางใจได้! ยอดฝีมือธรรมดาทั่วไปยากที่จะทำลายค่ายกลที่สร้างขึ้นด้วยปรมาจารย์เช่นข้าแน่!”
เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นหลิงหยุนรอดตายเพราะค่ายกลสังหารเหล่านี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาจึงค่อนข้างภูมิอกภูมิใจในค่ายกลที่ตนเองสร้างขึ้นมาก..
หลิงหย่งหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับเสนอไปว่า“ในเมื่อตระกูลหลิงของเราเป็นฝ่ายเลือกสถานที่ประลอง เช่นนั้นแล้วก็เลือกที่บ้านตระกูลหลิงนี่ล่ะ ข้าว่าอย่างน้อยๆ ค่ายกลของเจ้าก็คงจะสังหารพวกมันตายได้มากมายเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนคร้านที่จะฟังหลิงหย่ง..แม้ค่ายกลของหลิงหยุนจะมีอานุภาพไม่ธรรมดา แต่ยอดฝีมือระดับที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้นั้น หากมีเวลาสักครู่ก็คงสามารถทำลายค่ายกลของเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน..
อย่างมากก็แค่ทำให้ยอดฝีมือระดับนี้ต้องทำงานหนักขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น..
อย่างเฉินจิ้งเฉวียนเป็นต้น..ลูกเหล็กพวกนี้ไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลยด้วยซ้ำไป และหลังจากเห็นการทำงานของค่ายกลเพียงไม่นาน ก็สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว..
ไม่เพียงหลิงหย่งที่คิดเช่นนั้นแต่ดูเหมือนคนอื่นๆในตระกูลหลิงก็คิดเช่นเดียวกันด้วย และเวลานี้ทุกคนต่างก็คิดว่าที่หลิงหยุนสร้างค่ายกลขึ้นภายในตระกูลหลิง ก็เพื่อใช้เป็นสนามประลอง..
หลิงหยุนมองหน้าทุกคนพร้อมกับหัวเราะออกมา“ไม่ได้.. การประลองจะจัดขึ้นที่บ้านตระกูลหลิงไม่ได้!”
“นั่นเพราะหากเลือกที่จะประลองที่นี่เฉินจิ้งเฉวียนจะยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และจะยิ่งหาทางป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งที่นี่คือบ้านบรรพบุรุษตระกูลหลิง จึงไม่ควรให้ผู้คนข้างนอกมาเพ่นพ่าน หรือเข่นฆ่ากันจนเลือดสาด..”
“อีกอย่าง..ข้าเองก็ได้เลือกสถานที่สำหรับการประลองกับตระกูลเฉินไว้แล้ว ทุกคนไม่ต้องกังวลใจในเรื่องนี้!”
การประลองครั้งนี้เป็นการชี้ชะตากรรมของสองตระกูลและหลิงหยุนเองก็ได้เห็นสีหน้าท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของเฉินจิ้งเฉวียนในวันนั้น เขาจึงต้องระมัดระวังในการเลือกสนามประลองอย่างมาก..
และตามกฏแล้ว..จะต้องมีการแจ้งสถานที่ประลองให้อีกฝ่ายทราบสามวันล่วงหน้าก่อนจะถึงวันประลอง หลิงหยุนเชื่อว่าหลังจากนี้อีกหกวัน เขาจะสามารถจัดการเรื่องสนามประลองได้เรียบร้อย และต่อให้ตระกูลเฉินส่งคนไปสำรวจ เขาก็ไม่ได้นึกหวั่นแม้แต่น้อย..
จินเหยียวยืนมองลูกเหล็กขนาดใหญ่มากมายที่อยู่รอบๆสวนจากนั้นจึงได้รำพึงรำพันออกมาเบาๆกับตัวเอง
“หากตระกูลหลิงมีความพร้อมถึงเพียงนี้..เชื่อว่าอีกหนึ่งปีคงต้องผงาดขึ้น และสามารถจัดการกับศัตรูในอดีตได้อย่างแน่นอน!”
หากในครั้งนั้นตระกูลหลิงแข็งแกร่งเช่นนี้..หยินชิงเฉวียนกับพ่อของหลิงหยุน คงไม่ถูกบีบบังคับให้แยกจากกันเช่นนี้!
หลิงหยุนได้ยินจึงก้าวเท้าเข้าไปหาจินเหยียวพร้อมกับปลอบประโลมนาง “ท่านน้าจินเหยียว.. เรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนก็ผ่านไปนานแล้ว พวกเราอย่ารื้อฟื้นอีกเลย ข้ารับปากจะหาศัตรูที่แท้จริงให้พบ และจัดการแก้แค้นพวกมันทีละคน!”
จินเหยียวพยักหน้านางแม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับตอบไปว่า “ดี.. พวกเราจะต้องแก้แค้นพวกมันทุกคน!”
“หากคุณหนูสามารถหนีออกมาจากแดนต้องห้ามของพรรคมารได้เมื่อใดนางต้องจัดการสังหารศัตรูของนางทุกคนแน่!”
ระหว่างที่พูดออกมาด้วยความเคียดแค้นนั้นกลิ่นอายสังหารก็กระจายออกจากร่างของนาง แม้แต่เหล่าทายาทตระกูลหลิงเองยังถึงกับขนหัวลุกไปตามๆกัน..
แต่หลิงหยุนกลับเอื้อมมือไปกุมมือจินเหยียวไว้พร้อมบอกกับนางว่า “ท่านน้าจินเหยียว.. เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านแม่ลงมือเอง ความแค้นของพ่อแม่.. ข้าหลิงหยุนจะเป็นผู้สะสางให้เอง!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปสั่งเหล่ากุ่ย“เหล่ากุ่ย.. ท่านไปจัดการอธิบายรายละเอียดของค่ายกลทั้งสามนี้ให้กับเหล่าหน่วยกล้าตายตระกูลหลิงฟังด้วย!”
“ท่านผู้นำตระกูลอย่าได้กังวลใจ..ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเอง!”
หลิงหยุนพยักหน้าและสั่งต่อว่า “พรุ่งนี้ท่านช่วยนำหน่วยกล้าตายตระกูลหลิงมาพบข้าที..”
ในเมื่อหลิงหยุนขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงแล้วแต่สองสามวันนี้เขาเองก็มั่วแต่ยุ่ง จึงยังไม่มีเวลาได้พบปะกับเหล่าหน่วยกล้าตายตระกูลหลิงเลย..
เหล่ากุ่ยตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้น“ท่านผู้นำตระกูล.. หน่วยกล้าตายของเราเคารพศรัทธาท่านผู้นำมาก พวกเขารอที่จะรับใช้ผู้นำตระกูลนานแล้ว!”
หลังจากนัดแนะกับเหล่ากุ่ยแล้วหลิงหยุนจึงหันไปทางหลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านปู่.. พรุ่งนี้ข้าคงต้องขอแรงท่านปู่!”
แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องการที่ทำการล้างไขกระดูกให้กับหน่วยกล้าตายทั้งสามสิบหกคนของตระกูลหลิง..
………
หลังจากจัดการวางค่ายกลเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนหลิงหยุนก็ได้นำจินเหยียวกับโม่วู๋เตาไปยังสวนชั้นที่หกซึ่งปลูกหลิวเทวะวิญญาณไว้..
เมื่อไปถึงหลิงหยุนก็ได้เรียกราชาหินก้อนมหึมาออกมาวางไว้ที่พื้นโม่วู๋เตาจ้องมองหยกจักรพรรดิก้อนมหึมานั้นด้วยแววตาเป็นประกาย และตกตะลึง..
หลิงหยุนไม่สนใจท่าทางของโม่วู๋เตาเขาเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาถือไว้ในมือ จากนั้นจึงจัดการใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ตัดราชาหินออกมาชิ้นหนึ่ง และจัดการตกแต่งให้เป็นทรงกลมเหมือนลูกบอลที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสามสิบห้าเซ็นติเมตร ท่ามกลางแสงไฟ.. หยกสีเขียวกำลังส่องประกายระยิบระยับเจิดจ้าอย่างสวยงาม..
โม่วู๋เตาอดรนทนไม่ได้และร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “หลิงหยุน.. นี่เจ้าคิดจะทำอะไรงั้นรึ”
หลิงหยุนถือหยกทรงกลมไว้ในมือขวาส่วนมือซ้ายก็ใช้ปลายกระบี่จิ้มลงไปบนพื้น “ข้ากำลังจะสร้างดวงตาค่ายกลหลุมพลัง!”
โม่วู๋เตาฟังแล้วถึงกับร้องอุทานออกมา“นี่เจ้าใช้หยกจักรพรรดิทำดวงตาค่ายกลงั้นรึ เจ้าใช้เงินทองสุรุ่ยสุร่ายถึงเพียงนี้เชียวรึ?!”
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและไม่สนใจเสียงพร่ำบ่นของโม่วู๋เตา.. novel-lucky
ค่ายกลไม่ว่าที่ใดก็ล้วนมีวิธีการสร้างที่คล้ายคลึงกันทั้งสิ้นแต่วัตถุที่ใช้ในการสร้างค่ายกลนั้น จะเป็นเครื่องบอกระดับประสิทธิภาพ และอานุภาพของค่ายกลนั้นๆ!
และหยกก็นับเป็นวัตถุที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าลูกเหล็กเสียอีก..แต่จะใช้หยกแทนลูกเหล็กทั้งหมดก็ไม่ได้ หลิงหยุนจึงเลือกที่จะใช้หยกสร้างดวงตาค่ายกลแทน
หลังจากที่แกะสลักหยกจนเป็นทรงกลมแล้วหลิงหยุนก็เรียกยันต์หลุมพลังระดับหกออกมาติดไว้ที่พื้นผิวของหยกโดยรอบ..
ยันต์หลุมพลังนั้นนอกเหนือจากจะใช้เพิ่มพลังชีวิตให้กับผู้ใช้ยันต์แล้ว หากถือไว้โดยไม่ยังไม่ได้ใช้งาน มันก็จะสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตภายนอกเข้าไปไว้ในแผ่นยันต์ได้อีกด้วย..
เวลานี้รอบๆหยกทรงกลมนั้นมียันต์หลุมพลังปกคลุมอยู่มากมายจากนั้นหลิงหยุนจึงจัดการขุดหลุมลึกราวหนึ่งเมตร และหย่อนหยกทรงกลมนี้ลงไปไว้ในหลุม ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้เดินวิชาใต้พิภพ และภาพที่เห็นนั้นก็ทำให้โม่วู๋เตาถึงกับตกอกตกใจ..
โม่วู๋เตาเห็นดินที่หลิงหยุนเพิ่งขุดขึ้นมานั้นค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปในหลุมได้เอง โม่วู๋เตาตกใจยิ่งกว่าได้พบเจอภูติผีวิญญาณเสียอีก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาพบเห็นอยู่เป็นปกติ..
จินเหยียวเองก็ตกใจมากเช่นกันตั้งแต่ที่เห็นหลิงหยุนเคลื่อนย้ายลูกหิน และเวลานี้ก็ได้เห็นดินเคลื่อนที่ได้เองเช่นนี้..
วิชาใต้พิภพนั้นนับเป็นวิชาบ่มเพาะชั้นสูงวิชาหนึ่งและเป็นวิชาที่ใช้เคลื่อนย้ายปฐพี..
แต่ถึงกระนั้นผู้ที่จะฝึกวิชาใต้พิภพจนสามารถเคลื่อนย้ายปฐพีได้เช่นหลิงหยุนนั้นก็ต้องมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นกัน..
โม่วู๋เตาร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น“หลิงหยุน.. ยังมีอะไรบ้างที่ข้ายังไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น”
หลิงหยุนได้แต่หัวเราะออกมา“ฮ่า.. ฮ่า.. นี่เป็นวิชาที่ชื่อว่าใต้พิภพ ไว้ข้าจะค่อยๆสอนให้เจ้า!”
และทันทีที่หลิงหยุนสร้างดวงตาค่ายกลให้กับค่ายกลหลุมพลังแล้วค่ายกลหลุมพลังก็สามารถดูดเอาพลังชีวิตเข้าไปได้มากกว่าเดิมนับร้อยเท่า และระยะทางก็ขยายออกไปไกลถึงสามสิบกิโลเมตร เรียกได้ว่าเกือบจะครอบคลุมทั่วทั้งตัวเมืองปักกิ่งเลยทีเดียว..
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างพอใจ“เยี่ยม! เวลานี้คฤหาสน์ตระกูลหลิงก็ไม่ต่างจากถ้ำสุขาวดีเลยทีเดียว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้พยักเพยิดหน้าไปทางลูกเหล็กขนาดใหญ่พร้อมกับร้องบอกโม่วู๋เตาว่า “ต่อไปเจ้าต้องฝึกกับลูกเหล็กเหล่านั้น..”
โม่วู๋เตาเห็นเข้าจึงรีบส่ายหน้าทันทีเพราะลูกเหล็กนั่นหนักกว่าสามร้อยกิโลกรัม “ห๊ะ! จะให้ข้าใช้ลูกเหล็กนั่นฝึกอะไรกัน?”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ“ยังจะต้องถามอีกงั้นรึ ก็ใช้ฝึกความแข็งแกร่งของเจ้าน่ะสิ! โยนเล่นคล้ายกับเล่นบาสเก็ตบอลไงเล่า?”
โม่วู๋เตาถึงกับร้องโวยวายพร้อมกับส่ายหัวไปมา“เจ้าฝันไปเถอะ.. ข้าไม่ฝึกเด็ดขาด!”
“เจ้าจะฝึกหรือไม่ฝึก”
หลิงหยุนร้องตะโกนถามพร้อมกับเตะกระบี่โลหิตแดนใต้ที่ปักอยู่บนพื้นผ่านหน้าโม่วู๋เตาเฉียดปลายจมูกไปเล็กน้อย โม่วู่เตาถึงกับตกใจ และรีบร้องตะโกนออกไปทันที
“ข้าฝึก..ข้าฝึกแล้ว! เจ้าจะให้ข้าฝึกอะไร ข้ายอมฝึกหมด!”
โม่วู๋เตาแทบอยากจะร้องไห้ออกมา..หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะไม่ยอมพักอยู่ที่บ้านตระกูลหลิงโดยเด็ดขาด สู้กลับไปนอนสบายๆอยู่ที่โรงแรมห้าดาวจะดีกว่า!
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินนำทั้งสองคนไปยังค่ายกลนวสังหารและทำเช่นเดิมคือจัดการแกะสลักหยกจักรพรรดิเป็นลูกบอลขนาดเดียวกับเมื่อครู่ และจัดการติดยันต์เกราะ และยันต์เทวะเหินไว้รอบๆ ก่อนจะฝังลงหลุมแทนดวงตาค่ายกลของเดิม..
และเวลานี้..ค่ายกลนวสังการของหลิงหยุนก็มีประสิทธิภาพในการโจมตีที่รุนแรงยิ่งขึ้น หากมีผู้บุกรุกเข้ามา ลูกเหล็กก็จะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า และมีพลังจู่โจมที่รุนแรงมากขึ้นด้วย ยากนักที่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนจะสามารถทำลายได้ง่ายๆ
“ตระกูลเฉินท้าประลองกับเจ้าเท่ากับรนหาที่ตายแท้ๆ” โม่วู๋เตาถึงกับพึมพำออกมา..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบโม่วู่เตาไปว่า“ข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วว่า.. ตระกูลเฉินรนหาที่ตายตั้งแต่แรก เจ้ากลับไม่เชื่อข้า..!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปทางจินเหยียวพร้อมกับบอกนางให้มั่นใจ“ท่านน้าจินเหยียว เรื่องแก้แค้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าเลย ท่านอย่าได้กังวลใจในเรื่องนี้อีก..”
จินเหยียวจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข“หากคุณหนูรู้ว่าลูกชายของนางเก่งกาจถึงเพียงนี้ นางคงจะมีความสุขอย่างที่ข้ารู้สึกอยู่ตอนนี้..”
“ท่านน้าจินเหยียว..ท่านพร้อมที่จะถอนหนอนกู่จากร่างซือกงถูหรือยัง”