บัญชามังกรเดือด บทที่ 961 สำนักมีดอสูร
เมื่อเห็นสายตาที่ชั่วร้ายของเซี่ยหมิงมองมานั้น หวังตัวยวี่ก็คล้ายกับกระต่ายตัวเล็ก ๆ ที่เห็นหมาป่าน่ากลัว และอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจขึ้นมา เธอพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า “คุณคิดจะทำอะไร?”
เซี่ยหมิงพลันเอ่ยออกมาด้วยความเย้ยหยันว่า “ถ้าฉันแพ้ ฉันจะจากไปแต่โดยดี ถ้าคุณแพ้ คุณจะต้องหมั้นหมายและมาเป็นคนของฉัน”
หวังตัวยวี่พลันกัดฟันกล่าวออกมาว่า “ถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ?”
เซี่ยหมิงหัวเราะเยาะออกมา “แน่นอนว่าคุณจะไม่ต้องตกลงก็ได้ เช่นนั้น ตงไห่ทั้งหมดก็จักกลายเป็นศัตรูของตระกูลเซี่ย “
“ฉัน เซี่ยหมิงขอสาบานต่อฟ้าดินเลยว่า เพื่อตอบแทนความอัปยศอดสูในชีวิตนี้ฉันจะระดมทรัพยากรและพลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ย เพื่อมาโจมตีตงไห่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
“จนกว่าตงไห่จะถูกทำลายลงเป็นหน้ากอง!”
ทันทีที่ที่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมานั้น ใบหน้าของทุกคนในตงไห่พลันเปลี่ยนสีไปในทันที
พวกเขารู้ดีว่า ในบรรดาตระกูลที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ นอกเหนือจากตระกูลจักรพรรดิที่ราบลุ่มทางภาคกลางแล้ว ตระกูลเซี่ยทางตอนเหนือเองก็มีอำนาจมากที่สุดเช่นกัน
หากเซี่ยหมิงคิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ ละก็ หากเขาสามารถระดมกำลังพลังทั้งหมดของเขาทำลายตงไห่ได้จริง ๆ ตงไห่ย่อมต้องงถูกกำจัดออกไปโดยง่ายเป็นแน่
ในสายตาของพวกเขานั้น เซี่ยหมิงเป็นคนประเภทที่มีแค้นต้องชำระ หากไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาจักทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นตงไห่คงไม่อาจทนรับผลกระทบที่ร้ายแรงไม่ไหวแน่
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนในตงไห่ซีดเผือดลงนั้น เซี่ยหมิงพลันรู้สึกพอใจมาก
“เอาล่ะ ทุกคนการต่อสู้เป็นวิธีที่จะลดความเสียหายให้น้อยที่สุด”
“มันเป็นโอกาสที่ฉันจะมอบให้กับพวกคุณด้วย”
“คุณหนูใหญ่ จินยีโหว ราชาจั่วเจียนเอง พวกเราควรมาแก้ปัญหาด้วยการต่อสู้กันเถอะ หรือให้ฉันระดมพลังของตระกูลเซี่ยเพื่อโจมตีตงไห่ในทุก ๆ ด้านดี พวกคุณพูดออกมาเลย ”
ไม่มีทางให้เลือกเดินแล้ว เซี่ยหมิงที่เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อมาพิชิตตงไห่เช่นนี้นั้น
หวังตัวยวี่พลันกัดฟันและพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “โอเค ฉันสัญญา!”
“ถ้าคนของแกเอาชนะพวกเราที่นี่ได้ ฉันจะทำแต่งงานกับแก!”
“ถ้าหากแพ้ รับไสหัวออกไปเสีย!”
ในยามนี้ ดูเหมือนว่าทางเลือกนี้จะสามารถลดการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุดแล้ว รวมไปถึงความเสี่ยงของหวังตัวยวี่เองด้วยไม่มีใครในตงไห่เชื่อว่าเพียงลำพังของเจ้านกแร้ง จะสามารถเอาชนะคนจำนวนมากของตงไห่ได้
หากพวกเขาผลัดกันขึ้นไปสู้ ย่อมทำให้เจ้านกแร้งเหนื่อยได้ไม่ยาก พวกมันจะทำให้เจ้านกแร้งหมดแรงจนตาเอง
ดวงตาของ เซี่ยหมิงพลันเปล่งประกายออกมาในทันที “ตกลง!”
“เฒ่าแร้งฉันฝากนายด้วย”
เจ้านกแร้งพลันกระโดดขึ้นไปที่กลางห้องโถงทันที พลางแย้มยิ้มกล่าวออกมาว่า “อย่ากังวลไปนายน้อย ท่านรอเรือนหอที่หวานชื่นเถิด !”
“ใครอยากจะขึ้นมาตายก่อน?”
เมื่อเห็นชายตรงหน้านั้น เมื่อกี้ผู้ชายคนนี้ดึงลิ้นของบอดี้การ์ดออกมาอย่างโหดเหี้ยม
“ที่นี่แคบไป พวกเราไปที่สนามประลองกันเถอะ!” หวังเจี่ยนพลันยืนขึ้น
ฝูงชนพวยพุ่งออกมาเสมือนกับกระแสน้ำที่ล้อมรอบลานกว้างอย่างแน่นหนา มีพื้นที่ตรงกลางกว้างมากพอที่จะให้แสดงการประลองต่อสู้ได้
เจ้านกแร้งยืนอยู่กลางทุ่งนั้น พลันเอามือไพล่หลัง พลางเอ่ยเย้ยหยันขึ้นมาอีกครั้งว่า “ใครอยากจะตายเป็นคนแรก?”
“ข้าจะเข้าไปจัดการกับเจ้าเอง!”
“ตาเฒ่าหัวล้าน ตายซะ!”
ในยามที่คนอื่นๆ กำลังลังเลใจนั้น แต่หู่เหนียงพลันพุ่งเข้าไปในสนามประลองเป็นคนแรก ที่เธอทำเช่นนี้เป็นเพราะมีความกระตือรือร้นที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของคุณหนูใหญ่ของตน
อย่าได้มองดูนางเฉกเช่นสตรีธรรมดา แต่ก่อนที่นางยังไม่ออกจากกรมทหารนั้น เธอเคยอยู่ในพื้นที่ที่มีสงครามมาก่อน ทั้งยังเป็นหัวหน้าทีมมีชื่อเสียงมาก ทั้งยังเคยนำทีมลอบเข้าไปในดินแดนห่างไกลของกองทัพกบฏอยู่หลายครั้งและตัดหัวกบฏกลับมาได้
กริชสั้นในมือเสมือนกับดาวตก พลันแทงเข้าไปที่หลังของเจ้านกแร้งในทันที
“น่าสนใจดีหนิ คุณผู้หญิง”
รอยยิ้มที่น่ากลัวพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้านกแร้ง เขาเพียงขยับข้อเท้าเพียงเล็กน้อย ก็เบี่ยงหลบการโจมตีของหู่เหนียงได้อย่างง่ายดาย
หู่เหนียงพลันโจมตีเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า กริชสั้นในมือของเธอที่มีสีเงินวาววับ พลันบินขึ้นบินลง เพื่อมองหาสัญญาณชีพของเจ้านกแร้ง เธอแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะปลิดชีพเจ้านกแร้งลง
อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกฝนของเธอไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้านกแร้งเลย
เจ้านกแร้งที่รอดชีวิตจากคมดาบของกริชได้นั้น ดังนั้นเขาจึงพยายามหลบหลีกและไม่คิดตอบโต้กลับ
“อารมณ์ใช้ได้เลยหนิ แต่น่าเสียดายที่ฝีมือยังแข็งแกร่งไม่มากพอ”
เขาพึมพำออกมาอย่างเย็นชา และทันใดนั้น เขาพลันลงมือด้วยความเร็วไว พร้อมกับกรงเล็บเหล็กทั้งห้านิ้วพลันเผยตัวขึ้นมา และข่วนไปที่ต้นขาของหู่เหนียงในทันที
หู่เหนียงพลันลุกลี้ลุกลนและล่าถอยกลับอย่างเร่งรีบ น่าเสียดายที่มันยังช้าเกินไป เธอพลันรู้สึกหนาว ๆ ที่ต้นขาของเธอ เมื่อมองลงไป กางเกงชิ้นใหญ่พลันถูกฉีกขาดออกมา ก่อนจะเห็นรอยเล็บสีแดงทั้งห้ารอบบนผิวขาว
“ไม่เลวเลย เป็นการต่อสี่ใสสะอาดดี ” เจ้านกแร้งพลันยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“ไอ้สารเลว!” พอโดนแกล้งแบบนี้ หู่เหนียงพลันรู้สึกโมโหจนอยากจะพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง
“หู่เหนียง ให้ฉันไปเถอะ!”
จินซานพลันกระโดดตัวออกมาจากระยะไหลเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหู่เหนียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้านกแร้ง หากเธอยังคงดึงดันจะต่อสู้ต่อไป มีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายมากขึ้น
“เฒ่าหัวโล้นวันนี้แกจะต้องตาย!” หู่เหนียงเองก็ตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างฝีมือเช่นกัน พลางเอ่ยสาปแช่งออกมาอย่างดุเดือด ก่อนจะมอบสนามรบให้กับจินซาน
จินซานที่ถือมีดฟันฉลามอยู่ในมือนั้น พลันยืนห่างจากเจ้านกแร้งไปประมาณสามเมตร วิธีจับมีดของเขาดูแปลก ๆ ไปมาก พลางถือมีดเอาไว้ในมือ โดยเอาไพล่หลังมือเอาไว้และให้ปลายมีดชี้ลง
เสมือนว่าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่พวกเขาพร้อมที่จะเตรียมตัวหนี
เจ้านกแร้งที่เหลือบมองไปยังมีดในมือจินซานนั้น พางเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเยาะเย้ยว่า “ฉันได้ยินมาว่าตงไห่มีสำนักหนึ่งที่ชื่อมีดอสูร อีกทั้งลูกศิษย์บรรลุวิชานี้ ยังสามารถฆ่าศัตรูด้วยมีดได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ”
“ไอ้หนู แกมาจากสำนักมีดอสูรหรือ?”
จินซานพลันตกตะลึงเล็กน้อย ทั้งยังจดจำที่มาของเขาได้อย่างรวดเร็ว
สำนักมีดอสูรเป็นสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลตงไห่ เริ่มจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ก่อน ๆ ที่ใช้มีดในกระบวนการหาปลา ชาวบ้านย่อมมีความขัดแย้งและมีการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นบางครั้ง
ยามที่มีการต่อสู้บนเรือนั้น ย่อมแตกต่างจากการต่อสู้บนบกด้วยตัวเรือที่โคลงเคลง และมีดในมือที่พร้อมจะทำร้ายตัวเองได้ทุกเมื่อ หากไม่ระวังตน
บางครั้ง เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ต้องการต่อสู้ แต่เมื่อกระแสน้ำกระเพื่อมขึ้นมานั้น มีดในมือของคุณก็อาจจะแทงไปที่คู่ต่อสู้ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็นขึ้นมาได้
ดังนั้น สำนักมีดอสูรจึงเป็นการถือมีดเอาไว้ที่หลังมือ โดยให้ปลายมีดชี้ลง ในแง่หนึ่งเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและอีกนัยหนึ่งก็คือการให้อีกฝ่ายอยู่ในท่าทางที่สงบเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
จะเป็นอย่างไรถ้าคุณสามารถแสดงความจริงใจและทำให้ผู้อื่นประหลาดใจได้?
จากพื้นฐานของวิชานี้ทำให้สำนักมีดอสูรได้ค้นพบวิธีอื่นและคิดค้นชุดของเพลงดาบขึ้นมาได้หลากหลาย
มุมที่ยุ่งยากและการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดจนสามารถทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะป้องกันตนได้
ในฐานะผู้นำรุ่นน้องของสำนักมีดอสูรนั้น จินซานได้รับคัดเลือกจากจินยีโหวหวังเหมี่ยนในฐานะผู้ซื่อสัตย์และภักดีและกลายเป็นแกนหลังของผู้ใต้บังคับบัญชาของหวังเหมี่ยนในทันที
คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากจะบอกว่าเขาเองก็นับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งเช่นกัน
“สำนักมีดอสูรหรือ น่าสนใจไม่เบา” เมื่อเห็นท่าทางของจินซานแล้วนั้นแม้แต่ฉินเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนในระยะไกลก็อดไม่ได้ที่จะชมเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“เฮอะ!”
หูเถิงพลันพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม “เมื่อเทียบกับสือโถวของพวกเราแล้ว เขาน่าสนใจกว่าอีก”
“จินซานมักจะอ้างว่า เขาเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งในสังกัดของจินยีโหว อีกทั้งพวกเขาล้วนใช้มีดทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่พอใจในสือโถว ทั้งยังมายั่วยุสือโถวอยู่หลายครั้ง ”
“สือซินที่เป็นคนซื่อแบบนั้น ย่อมไม่อยากจะสู้กับเขา ทว่า จินซานก็เอาแต่ตื้อไม่ยอมถอย เมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทั้งสองก็ต่อสู้กันในที่สุด นายลองเดาดูสิ?”
ฉินเทียนพลันหันไปมองสือซินที่ยืนอยู่ด้านหลังหวังเจี่ยนนั้น พลางเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หูเถิงพลันพูดด้วยเสียงต่ำ: “อย่างไรก็ตาม จินซานยังมีเล่ห์เหลี่ยมบางอย่าง หากมาเทียบกับนายที่แข็งแกร่งราวกับฟ้าแล้ว”
“ดูสิ ชายชราหัวโล้นคนนี้มีการแสดงดีๆ ให้ดู!”
ขณะที่เขาพูด หูเถิงพลันร้อนรนและพูดเสียงดังว่า “จินซาน สับเขา!”
“ สับมันเป็นชิ้น ๆ เลย!”