ตอนพิเศษ 1-15 ฮาแบค

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

หนาว… ความหนาวเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วกับฤดูนี้ คงจะเพราะที่ผ่านมาได้อาศัยพักพิงอยู่ในที่อบอุ่นมากๆ จนลืมเสียสนิท ซอลอันนั่งกอดเข่าเอนหลังพิงมุมคุก รู้สึกเหมือนว่าเวลาผ่านไปนานพอสมควรหลังจากถูกจับตัวมา แต่ในคุกไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามาแม้แต่น้อยจึงไม่รู้เลยว่านานเพียงใดแล้ว

 

 

“หญ้าพันงูขาว ทำให้เลือดไหลเวียนและถอนพิษ”

 

 

นางจ้องมองอากาศมืดสนิทพลางนึกถึงสมุนไพรที่เขามอบหมายให้เป็นอย่างสุดท้าย ต้องตากให้แห้งสนิทและบดเป็นผง หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ก็คงเริ่มทำเลย รู้สึกไม่สบายใจเพราะกลัวเขาจะคิดว่านางไม่ทำงาน และหนีไปทันทีหลังได้ยินว่าให้กลับ

 

 

เก่งมากขอรับ คำชมเชยที่ไม่มากเกินและไม่น้อยเกินวนเวียนอยู่ข้างหู

 

 

“ออกมา นี่เป็นการส่งตัว”

 

 

เอี๊ยด แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องใบหน้าพร้อมกับคำพูดที่ทำให้รู้สึกถึงลางไม่ดี

 

 

หลังจากนั่งบนพื้นเย็นๆ มาตลอด ซอลอันจึงลุกยืนด้วยความโซเซแต่ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ตอนนี้ไม่มีคนช่วยแล้วสินะ ตระหนักถึงความจริงยิ่งกว่าตอนถูกมัดด้วยเชือกและตอนได้ข้าวปั้นเย็นเหมือนน้ำแข็งสองก้อนเสียอีก

 

 

“จะให้ไปที่ใดหรือเจ้าคะ”

 

 

ได้โปรด ขอแค่ไม่ใช่ที่นั่นก็พอ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับไม่ยินดียินร้าย

 

 

“รู้ตัวไว้ด้วยว่าเจ้าโชคดีเพียงใด เพราะสามีของเจ้าขอแค่ให้พากลับหากตามหาตัวเจอเท่านั้น”

 

 

“ช่างจิตใจดีจริงๆ ถ้าเป็นข้านะ เจ้าโดนแน่”

 

 

ทหารที่พานางขึ้นเกวียนบ่นพึมพำอย่างรุนแรง เมื่อเข้าสู่ถนนใหญ่ที่มีผู้คนผ่านไปผ่านมามากมาย ซอลอันก็ก้มหน้าลงทันที นางไม่ได้อาย แค่กลัวว่าจะมีใครจำได้ว่าตนเคยยืนอยู่ข้างๆ บุรุษผู้นั้น กังวลว่าเขาจะถูกติฉินนินทา

 

 

เกวียนส่งตัวนักโทษวิ่งได้สักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงทางเข้าเมืองหลวง ข้าจะไปส่งจนถึงนอกเมืองหลวงเอง สัญญาที่บัดนี้กลายเป็นโมฆะแว่วผ่านซอลอัน

 

 

“เดี๋ยว หยุดก่อน”

 

 

ตอนแรกนึกว่าหูแว่ว นางเครียดสะสมมานานจนคิดว่าได้ยินผิด แต่มันไม่ใช่ หากเป็นเสียงแว่วจริงๆ พวกทหารเฝ้าประตูกับพวกทหารเกวียนคงไม่มีทางโค้งคำนับกันโดยพร้อมเพรียงกันเช่นนี้

 

 

“ท่านมหาเสนาบดี มีเรื่องอะไรหรือขอรับ”

 

 

“ข้าออกมาตรวจ นักโทษหรือ”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ นางตีสามีจนสลบและหนีไปในคืนเข้าหอวันแรก เพิ่งตามจับตัวได้ขอรับ”

 

 

“แปลกดี ขอข้าดูหน้าหน่อยได้หรือไม่”

 

 

“ได้แน่นอนขอรับ”

 

 

ร่างสูงผงกศีรษะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ กระทั่งท่าทางการเดินของเขาก็ยังสุภาพอ่อนน้อม ชุดขุนนางสีน้ำเงินสะดุดตาไม่มีรอยยับแม้แต่นิดเดียว ทว่าซอลอันเห็นรอยหมึกชัดเจนบนแขนเสื้อยามอีกฝ่ายยกมือขึ้น

 

 

“โหราน้ำเต้า ฝิ่น พิษลักษณ์ โหราเดือยไก่ ให้ทานเมื่อต้องการจะจบชีวิตจริงๆ นะขอรับ”

 

 

บุรุษที่ถูกเรียกอย่างแปลกหูว่าท่านมหาเสนาบดีพึมพำอย่างแผ่วเบาและรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็มีบางอย่างร่วงลงมาบนมัดฟาง ซอลอันรีบซ่อนมันใต้กระโปรงและยิ้มเล็กน้อย สายตาของคนตรงหน้าเหมือนจะสั่นไหวชั่วครู่ แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะเขาถอยหลังและหันกลับไปหาทหารเฝ้าประตูทันที

 

 

“ส่งตัวได้”

 

 

คงเพราะเป็นมหาเสนาบดี น้ำเสียงจึงไม่ได้นุ่มนวลราวกับสายน้ำอีกต่อไป แต่กลับเยือกเย็นและสงบนิ่ง

 

 

“ย๊า!”

 

 

ล้อเริ่มหมุนต่อพร้อมส่งเสียงกุกกัก ซอลอันพยายามไม่มองเขา ช่างใจดีจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ เพราะยินยอมให้ตนที่ไม่เคยได้เลือกอะไรเองเลยตั้งแต่เกิดมา ตัดสินใจเลือกทางเดินสุดท้ายของตนเองได้

 

 

เส้นทางที่ซอลอันใช้เดินทางมาเมืองหลวงเพียงลำพังช่างยาวไกลเพราะนางอ้อมนู่นอ้อมนี่เพื่อหลีกเลี่ยงการตามล่า แต่เส้นทางกลับใช้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น ยามหนาวเหน็บจนทนไม่ไหว นางก็จะกำขวดยาที่ซ่อนใต้กระโปรงแน่น มันไม่ได้มีความอุ่นใดๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

 

 

“พิษลักษณ์ หากกินเข้าไปทำให้เกิดอาการชา หากใช้เกินขนาดจะทำให้เป็นอัมพาตจนถึงกล้ามเนื้อหัวใจ…”

 

 

โหราน้ำเต้า ฝิ่น พิษลักษณ์ โหราเดือยไก่ สรรพคุณของสมุนไพรทั้งหมดเป็นพิษอันตรายถึงชีวิต พอนำมารวมกันแล้วยิ่งส่งผลให้เสียชีวิตได้แน่นอน ของขวัญชิ้นสุดท้ายจากเขาสำคัญต่อซอลอันเป็นอย่างมาก นางรู้สึกขอบคุณเขาอีกครั้งง

 

 

น่าจะลองถามชื่อดู… ใบหน้าอีกฝ่ายดูผิดหวังเล็กน้อยตอนเอ่ยถามว่าไม่มีอะไรเลยสงสัยหรือ มันยังคงติดตานาง พร้อมทั้งรู้สึกเสียดายและเจ็บปวดด้วยเช่นกัน

 

 

“ลงมา”

 

 

ทหารผู้ทำหน้าที่ส่งตัวเปิดประตูและพูดจากระโชกโฮกฮาก หัวเมืองอันคุ้นเคย สำนักงานราชการที่คุ้นตา และผู้คนคุ้นหน้าที่กำลังรอตนอยู่ ซอลอันกำหมัดแน่นและนึกถึงขวดยาที่ซ่อนอยู่ในอก

 

 

“โธ่ ซอลอัน! ลำบากมากเลยใช่หรือไม่ หือ? แม่นอนไม่หลับเลยนะ…”

 

 

แม่ผู้มีหน้าตาไม่คล้ายนางเลยสักนิดเข้ามากอดพร้อมทำท่าจะร้องไห้

 

 

ก็ต้องนอนไม่หลับสิ หลังจากขายสตรีที่ตัวเองไม่อยากเห็นหน้าในราคาแพง ก็คงกลัวว่าต้องคืนเงินนั่นสินะ ซอลอันเยาะเย้ยในใจโดยไม่ขยับเขยื้อนราวกับเป็นเพียงตุ๊กตา

 

 

“น้องหญิง เดี๋ยวซอลอันจะหนาวนะ รีบพาเข้าไปเถอะ ท่านผู้ว่าการ ข้าซาบซึ้งใจมากขอรับ ช่วยตามหาตัวจนเจอแบบนี้ ความกังวลของพวกเราหายทันทีเลยขอรับ”

 

 

เสื้อผ้าของผู้เป็นพ่อที่กล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยดูมีราคาเป็นพิเศษ คงจะดีใจมากที่หลุดพ้นจากวิกฤตกับการต้องขายเสื้อผ้าพวกนั้นเพื่อนำเงินไปคืน

 

 

ซอลอันคือบุตรสาวนอกสมรส เธอเป็นเพียงแค่ลูกที่เกิดหลังจากพ่อผู้เสเพลได้เสียกับแม่ม่ายหมู่บ้านข้างๆ เท่านั้น เรียกด้วยคำสวยหรูก็คือบุตรสาวนอกสมรสนั่นแหละ นับจากวันนั้นที่แม่ผู้ให้กำเนิดบอกว่านางเป็นเด็กสาวไร้ประโยชน์และโยนทิ้งไว้หน้าบ้านผู้เป็นพ่อ ซอลอันก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากทาสเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดเรื่อยมา

 

 

นางสามารถอดทนได้ทุกอย่างตั้งแต่ตื่นเช้ามืด จุดไฟแล้วหาฟืน ทำงานหาเงินเพื่อซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว แต่ไม่อาจทนได้เรื่องเดียวคือการแต่งงานกับชายแก่ที่ไม่เคยรู้จักกันเลย และนางก็ตัดสินใจไม่ทนอีกต่อไป

 

 

ซอลอันเดินโซเซตามพ่อแม่ไปโดยไม่ล้ม สถานที่ที่พวกเขาเข้าไปคือบ้านที่เคยใหญ่และหรูหราที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลาหนึ่ง หากนับจากขนาดแล้ว ที่นี่ใหญ่กว่าจวนของผู้มีพระคุณในเมืองหลวงพอสมควร แต่นอกเสียจากขนาดและความหรูหราแล้ว มันไม่มีความรู้สึกบ่งบอกว่าเป็น ‘บ้านของผู้สูงศักดิ์’ เลย

 

 

“น้องหญิง ทำไมถึงผอมซูบขนาดนี้เล่า”

 

 

บุรุษที่เพียงเห็นหน้าก็รู้สึกขนลุกต้อนรับซอลอันด้วยใบหน้าแสร้งเป็นคนดี ความจริงที่ว่าภรรยาคนก่อนๆ ของเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่แน่ชัด แม้แต่เด็กอายุสามขวบก็ยังรู้และไม่ใช่เพียงแค่คนเดียว แต่มีถึงสามคน ซึ่งนางอาจจะกลายเป็นคนที่สี่เร็วๆ นี้ก็ได้ ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่ เพราะซอลอันสามารถตายด้วยตนเองได้แล้ว

 

 

“ขออภัยที่ทำให้เป็นห่วงเจ้าค่ะ”

 

 

ร่างบางโค้งตัวพร้อมกล่าวขอโทษ ท่าทีที่ว่าง่ายทำให้สามีและพ่อแม่คิดว่านางยอมแพ้ในการหลบหนี

 

 

“พวกเราคงต้องขอตัวก่อน ฝากดูแลซอลอันของพวกเราด้วย”

 

 

“ท่านพ่อตา ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนหรือ”

 

 

สีหน้าของพ่อยามเอ่ยอย่างสุภาพว่าอยากรีบออกจากที่นี่ และสีกน้าของสามีที่เชิญชวนให้อยู่ข้าวเย็นด้วยกันตามมารยาทเหมือนจะมีความคิดเดียวกัน หลังจากพ่อแม่โบกมือปฏิเสธและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในห้องจึงเหลือเพียงซอลอันกับสามีแค่สองคน ถอดหน้ากากได้แล้วสินะ จากนั้นความทรงจำอันน่ากลัวในค่ำคืนแรกก็พุ่งเข้าใส่นาง

 

 

“เจ้าบังอาจหนีข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ใบหน้าของสามีที่เคยยิ้มเพื่อแสร้งเป็นคนดีต่อหน้าผู้อื่นดูคล้ายกับปีศาจ เนื่องจากเขาตัวใหญ่กว่านางถึงสามเท่า ดังนั้นเพียงแค่ด่าทอสั้นๆ และถลึงตาก็นับเป็นการข่มขู่แล้ว หากเป็นเหมือนเมื่อก่อน นางก็คงจะตัวแข็งทื่อและไม่กล้าขยับตัว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มุมปากของซอลอันที่ทำหน้าตาเฉยเมยค่อยๆ ยกขึ้น

 

 

“ท่านคงจะคิดว่าทรัพย์สินเงินทองทำได้ทุกอย่างสินะ”

 

 

“นังนี่บ้าไปแล้วหรือไง”

 

 

อีกฝ่ายทำหน้าบูดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม เขาส่งเสียงคำรามพร้อมเดินมาข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าว ซอลอันจึงคิดว่าตอนนี้แหละคือเวลาที่นางอยากจบชีวิตจริงๆ

 

 

นางแตะขวดยาตรงหน้าอกอย่างทะนุถนอม ก่อนจะดึงฝาจุกออกอย่างไม่ลังเลแล้วกรอกใส่ปากจนไม่เหลือสักหยด รู้สึกดีใจและคิดถึงกลิ่นสมุนไพรที่คละคลุ้งออกมา

 

 

“ทรัพย์สินเงินทองไร้ค่านั่น ไปเอาคืนจากพ่อแม่ของข้าแล้วกัน”

 

 

คำพูดสุดท้ายพรั่งพรูออกมาพร้อมเลือดสีแดงเข้ม ความร้อนแผดเผาไปทั่วทุกที่ที่ยารสขมไหลผ่าน

 

 

ทว่าความเจ็บปวดนั้นไม่ยาวนานนัก ใบหน้าซีดเซียวของสามี ไม่ใช่สิ ของปีศาจที่ถอยกรูดไปด้านหลังค่อยๆ เลือน จากนั้นภาพบุรุษผู้มีรอยยิ้มงดงามก็ปรากฏขึ้นภายใต้ทัศนวิสัยอันมืดมิด

 

 

 

 

* * *