ตอนพิเศษ 1-14 ฮาแบค

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

เด็กน้อยยังคงไม่เลิกเรียกว่าท่านหมอตะโกนออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำก่อนจะวิ่งกลับไป หลังแผ่นหลังเล็กหายไปท่ามกลางฝูงชน ฮาแบคจึงยกเข่าจากออกพื้นและลุกขึ้น ความคิดหลายๆ อย่างทำให้เขาเดินช้าลง กระทั่งใช้กว่าพักใหญ่กว่าจะมาถึงร้านขายผ้า

 

 

“ข้าว่าจะส่งคนไปแจ้งอยู่พอดี ว่าแต่รู้ได้อย่างไรขอรับ”

 

 

วันนี้เจ้าของร้านก็ต้อนรับด้วยความยินดีเหมือนเคย ทั้งยังดูสับสนเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเขา แต่คิดเอาเองว่าคงจะอยากให้สตรีผู้นั้นใส่ชุดสวยๆ ที่มีขนาดพอดีแทนชุดหลวมๆ โดยเร็ว ทว่าฮาแบคกลับไม่รู้สึกดีใจเลยที่ได้ยินว่าเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

“ขอดูหน่อยสิ”

 

 

“เชิญทางนี้เลยขอรับ คุณหนูคงจะไม่ได้มาด้วยสินะ”

 

 

จากนี้คงจะไม่ได้มาด้วยกันแล้วล่ะ เอ่ยตอบในใจพร้อมก้าวเข้าร้าน

 

 

“เชิญชมได้เลยเจ้าค่ะนายน้อย ข้าเย็บแต่ชุดนี้ไม่ได้หลับได้นอนทีเดียว”

 

 

ชุดผ้าไหมอันงดงามเหมาะกับสตรี กระโปรงสีลูกท้อคล้ายยามหน้าแดงกับเสื้อสีขาวเป็นประกายเรืองรองเมื่อต้องแสง ภาพแผ่นหลังของผู้สวมชุดนี้กลับไปยังที่ที่เคยอยู่ปรากฏขึ้นชัดเจนจนเจ็บหัวใจ

 

 

“ฝีมือดีเลยนะ”

 

 

ความขมขื่นติดอยู่บนปลายนิ้วที่ใช้ลูบแขนเสื้ออันงดงามพร้อมเอ่ยชมพอเป็นพิธี

 

 

“ด้วยความยินดีเจ้าค่ะ ข้าจะไม่รับค่าตัดชุดจากนายน้อย ขอเพียงแค่ค่าผ้าไหมก็พอ”

 

 

“ไม่เป็นไร ก็ต้องคิดค่าตัดให้เหมาะสมสิ คราวหน้าข้าจะได้มาใช้บริการอีก”

 

 

“คราวหน้าไม่คิดอีกก็ได้เจ้าค่ะ ตอนนั้นพวกเรานึกว่าลูกคนสุดท้องจะต้องตายจากกันเสียแล้ว หากไม่ได้นายน้อย เขาก็อาจจะตายไปแล้วจริงๆ แล้วจะให้ข้ารับค่าจ้างจากนายน้อยได้อย่างไรเจ้าคะ”

 

 

ภรรยาเจ้าของร้านส่ายหัวไปมา จากนั้นก็ยกเรื่องเมื่อหลายปีก่อนยามลูกชายคนเล็กซึ่งยังเด็กอยู่ เผลอกินพืชที่เป็นพิษเข้าไปขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าของร้านขายผ้าอุ้มเด็กคนนั้นมาหาเขาตอนกลางดึกในสภาพหยุดหายใจไปแล้ว มีเลือดไหลออกจากปากและจมูก

 

 

ตอนนั้นฮาแบคไม่มีเวลาต้มยาจึงเคี้ยวในปากตัวเองแล้วป้อนให้กระทั่งยื้อชีวิตได้ ดังนั้นการปฏิเสธไม่รับค่าจ้างจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย

 

 

“หากไม่รับค่าจ้าง ต่อไปข้าคงต้องไปจ้างร้านอื่นเสียแล้ว”

 

 

“เฮ้อ นายน้อยนี่จริงๆ เลยเจ้าค่ะ”

 

 

ท้ายที่สุดคำพูดคล้ายข่มขู่ของฮาแบคก็ทำให้เจ้าของร้านหน้าเหยเกและยอมรับเหรียญเงินที่ยื่นให้แต่โดยดี

 

 

“ส่วนอันนี้ข้าใช้เศษผ้าที่เหลือมาทำขอรับ ท่านนำไปมอบให้คุณหนูเถิด”

 

 

เจ้าของร้านกล่าวเช่นนั้น สิ่งของที่ว่าคือถุงใส่เครื่องหอมขนาดเล็กสีเดียวกับกระโปรง กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่แรงจนเกินไปคล้ายคลึงกับกลิ่นของสตรีที่เคยทำให้เขาหยุดชะงักอยู่หน้าประตู เสื้อผ้าถูกพับและห่ออย่างเรียบร้อยพร้อมกับถุงใส่เครื่องหอม

 

 

ถ้ามอบสิ่งนี้ให้นางจะดีใจหรือไม่ คงต้องเศร้าเป็นแน่ แต่แทนที่จะส่งตัวแบบนักโทษ การให้สวมเสื้อผ้าใหม่ๆ และนั่งรถม้ากลับน่าจะดีกว่ามาก

 

 

ฮาแบคปลอบใจตนเองเช่นนั้น ทว่าเมื่อกลับมาถึงจวนกลับไม่เห็นเงาของนางเลย

 

 

“สตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด”

 

 

เขาพยายามกดลางสังหรณ์ไม่ดีและเอ่ยถามคนรับใช้ แต่กลับไม่มีใครรู้ แถมยังไม่มีใครเห็นด้วย ร่างสูงเดินออกจากห้องอีกฝ่ายอย่างรีบร้อนและมุ่งตรงไปห้องยา แต่สิ่งที่ต้อนรับเขาก็มีแค่ประตูห้องยาที่เปิดแง้มเล็กน้อยกับอากาศหนาวเหน็บเท่านั้น หญ้าพันงูขาวที่สั่งให้ตากแห้งและบดเป็นผงก็ยังคงวางเด่นอยู่บนม้านั่งโดยไม่มีร่องรอยการแตะต้องใดๆ

 

 

นางหายตัวไป แต่ต้องไม่ได้กลับไปเองแน่ๆ เพราะนางไม่มีทางวางสมุนไพรที่เขามอบหมายให้ทิ้งเช่นนี้

 

 

ต้องใจเย็น ใจเย็นๆ แม้จะพูดในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ลำคอกลับแห้งผาก มือกำหมัดแน่นก็สั่นเครือ หลังจากหาทั่วทั้งจวน ฮาแบคก็พบว่ามีบางอย่างในห้องนอนตนหายไป

 

 

“ผู้ใดแตะต้องชุดขุนนางของข้า?”

 

 

“ผู้ใดจะเข้าห้องนายน้อยเล่าขอรับ แถมยังแตะต้องชุดขุนนางอีก มีแต่คนกล้าเท่านั้น…”

 

 

คนใช้ส่ายหัวและปฏิเสธทันควันแต่แล้วก็หยุดชะงัก ซึ่งเขาเองก็รู้สาเหตุเช่นกันจึงไม่ซักถามอะไรต่อ มีแค่คนเดียวเท่านั้น คนที่เข้าห้องมาปลุกเขาตอนนอน คนที่เห็นรอยหมึกเปื้อนบนชุด

 

 

ฮาแบควิ่งออกมานอกจวนและตรงไปยังริมลำธาร ภาวนาขอให้อีกฝ่ายปิดบังหน้าตาก่อนออกมา ได้โปรด ทว่าเงาทอดยาวตรงที่ซักผ้ากลับมีเพียงแค่ชุดขุนนางชุดหนึ่งในสภาพยับยู่ยี่และถูกเหยียบย่ำราวกับผ้าขี้ริ้ว แทนภาพสตรีรูปร่างเล็กและผอมแห้งเป็นพิเศษ

 

 

“โธ่เอ๊ย”

 

 

หยิบชุดของตนขึ้นมาพลางสบถเบาๆ คิดจะส่งนางกลับอยู่แล้ว เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาต้องทำในฐานะของผู้นั่งตำแหน่งสูงสุดใต้จักรพรรดิ แต่บางครั้งน้ำหนักของอำนาจก็หันมารัดเจ้าของตำแหน่งจนหายใจไม่ออกเสียเอง ซึ่งนั่นคือตัวเขาในตอนนี้ ฮาแบคกลับมาที่จวนแทนที่จะออกตามหาเงาของสตรีที่เคยเดินตามหลังจนทั้งวัน แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่เขากลับไม่รู้เวลาและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยเลย จากบรรดาสมุนไพรจำนวนนับไม่ถ้วนที่รู้จัก ไม่มีตัวไหนเลยที่ทำให้หัวใจร้อนรนสงบลงได้

 

 

 

 

“แม่เข้าไปได้หรือไม่”

 

 

นั่งนิ่งอยู่อย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ เมื่อเสียงของมารดาดังขึ้นจากด้านนอก ฮาแบคก็ลุกพรวดขึ้นจนชุดขุนนางเปียกๆ ที่อยู่บนตักร่วงหล่นแทบเท้า

 

 

“ขอรับท่านแม่”

 

 

นายหญิงตระกูลจองเดินผ่านประตูเข้ามาเงียบๆ สายตาพินิจมองชุดขุนนางสภาพดูไม่ได้ ก่อนจะหันมาจ้องมองใบหน้าลูกชาย นางมองเห็นความไม่สบอารมณ์กระจัดกระจายยิ่งกว่าสภาพชุดขุนนางชุดนั้นจากใบหน้าเย็นชา หากคนไม่รู้จักมาเห็นก็มักจะคิดว่าเขาเป็นแบบนั้นตลอดเวลา แต่ฮาแบคคือบุตรชายที่นางอุ้มท้องและเลี้ยงมาด้วยมือตัวเอง

 

 

“คงจะไม่มีโทษอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่หาพบก็ขอให้ส่งกลับทันทีเท่านั้น”

 

 

เป็นประโยคไร้ประธานเหมือนเคย แต่ฮาแบคก็พอจะเข้าใจและตอบกลับอย่างสงบนิ่ง

 

 

“ข้าไม่สนใจหรอกขอรับ เพราะถึงอย่างไรก็ตั้งใจจะส่งกลับพรุ่งนี้อยู่แล้ว”

 

 

“งั้นถ้าส่งตัวกลับเรียบร้อยแล้ว”

 

 

นายหญิงตระกูลจองก้มตัวหยิบชุดที่ตกพื้นขึ้นมา

 

 

“ผู้ใดจะดูแลสมุนไพรของเจ้าล่ะ”

 

 

“ข้าทำเองได้ขอรับ”

 

 

“แล้วความรู้สึกของเจ้าเล่า”

 

 

สายน้ำไหลลงมาจากชุดขุนนางที่อีกฝ่ายพับเป็นทบๆ จนเฉอะแฉะพื้นไม่เหมาะกับห้องสะอาดสะอ้านเอาเสียเลย

 

 

“หัวใจของเจ้าเอนเอียงตั้งแต่ตอนส่งกุญแจห้องยาให้นางแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

“นางแต่งงานแล้วนะขอรับ ข้าจะทำเรื่องผิดกฎหมายและทำให้ชื่อของท่านพ่อแปดเปื้อนได้อย่างไรกัน”

 

 

“จิ๊ๆ ”

 

 

นี่ข้าคลอดลูกชายเรียบร้อยขนาดนี้ออกมาได้อย่างไรกัน นายหญิงตระกูลจองเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจใส่บุรุษที่ยังยืนนิ่งพลางวางชุดเปียกๆ ลงบนตู้

 

 

“รู้หรือไม่ว่าท่านพ่อที่เจ้าไม่อยากทำให้เสียชื่อเสียงน่ะ เคยทำกระไรลงไปบ้างยามมีความรัก”

 

 

คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ฮาแบคไม่สามารถหาคำตอบได้ และมองแม่ของตนด้วยสายตาเปี่ยมความสงสัย

 

 

“เขาขโมยตัวสตรีหนีออกจากห้องบรรทมของฝ่าบาทอย่างกล้าหาญ”

 

 

“ว่าไงนะขอรับ”

 

 

น้ำเสียงของฮาแบคแสดงถึงความสับสน ขโมยตัวสตรีหนีออกจากห้องบรรทม? และหากนั่นหมายถึงสตรีอื่นที่ไม่ใช่แม่ของเขา เขาก็จะยกให้เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่ย่ำแย่มาก

 

 

“นั่นแหละพ่อของเจ้า และหากรู้ว่าลูกชายตนปล่อยให้สตรีที่พึงใจให้หลุดลอย เพียงเพราะไม่มีความกล้ามากพอ นั่นคงจะทำให้เขาอับอายเสียมากกว่า”

 

 

หลังจากเอ่ยคล้ายตำหนิจบ นายหญิงตระกูลจองก็หันหลังกลับช้าๆ ความเป็นมหาเสนาบดีของแทซากุกกับความเป็นบุตรชายคนรองของตระกูลซอกำลังทะเลาะกันไม่หยุด ขณะจ้องมองแผ่นหลังของมารดา ชายกระโปรงของนางปลิวสะบัดเพราะลมหนาวพัดเข้ามา และค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ และก่อนประตูจะปิดสนิทนั่นเอง

 

 

“ท่านแม่”

 

 

บุตรชายคนรองของตระกูลซอก็เอ่ยปากขึ้น แต่ไม่มีคำตอบรับกลับมา ชายกระโปรงของอีกฝ่ายหายลับไปจากสายตาและทิ้งไว้เพียงกระดาษพับเป็นทบๆ แผ่นหนึ่งอยู่หน้าประตูเท่านั้น เนื้อหาข้างในสั้นและกระชับ

 

 

[พรุ่งนี้ ยามเฉิน[1]]

 

 

ฮาแบคกำมันไว้ในมือและจมเข้าสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง สองชั่วโมง สี่ชั่วโมง เขานั่งโดยไม่ขยับมาเกือบหกชั่วโมงแล้ว แต่จู่ๆ ก็ลุกพรวดเดินตรงไปยังห้องยา มือใหญ่เลือกสมุนไพรทีละอันมาต้มอย่างเอาจริงเอาจังโดยไม่ลังเล

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

[1] ยามเฉิน เวลาเจ็ดโมง-เก้าโมงเช้า