ฮาแบคเอื้อมมือไปบนชั้น ถึงจะเป็นกล่องเล็กๆ แต่ภายในก็มีของบรรจุอยู่เต็ม นางมองเขาพร้อมคิดว่าอีกเดี๋ยวคงจะยกขึ้นไปเก็บเองคนเดียวไม่ได้แน่ๆ แล้วแอบยิ้ม
“นี่คือหญ้าพันงูขาวขอรับ มันทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น แก้ห้อเลือดและถอนพิษได้”
น้ำเสียงนุ่มนวลทำให้จิตใจสงบน่าฟังเป็นอย่างมาก บางทีอาจเพราะเขาเป็นคนสอน นางถึงจดจำได้ง่ายขึ้นเช่นนี้
“หญ้าพันงูขาว ทำให้เลือดไหลเวียน ถอนพิษ อันนี้ต้องนำไปทำอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“ตากแห้งแล้วทำให้เป็นผงขอรับ ต้องบดให้ละเอียดมากๆ”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
ฮาแบคได้รับคำสั่งพักงานเป็นวันที่เก้าแล้ว แม้จะเป็นช่วงเช้าที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อวานหรือเมื่อวานซืน แต่ความจริงก็ต่างอยู่ เพราะหากผ่านพ้นวันนี้ เขาก็จะกลับไปเป็นมหาเสนาบดีอีกครั้ง และนาง…
“คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
เสียงใสผ่าความคิดของฮาแบคเข้ามา พรุ่งนี้ต้องบอกให้ได้ พรุ่งนี้ต้องบอกจริงๆ เขาเลื่อนมาเก้าวันแล้ว ตอนนี้คงถึงเวลาต้องบอก
“แม่นาง”
ร่างบางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากน้ำเสียงเบาลงเช่นกัน บางครั้งลางสังหรณ์ก็แม่นจนน่ากลัว มันส่งผลให้ใจของนางร่วงลงถึงตาตุ่ม ราวกับมีใครบางคนออกแรงบีบ
“กลับพรุ่งนี้นะขอรับ ข้าจะไปส่งจนถึงนอกเมืองหลวงเอง”
ได้ยินและเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่กลับไม่อยากจะเข้าใจเลย
“นายท่าน?”
นางหันหน้าหาอีกฝ่ายช้าๆ พร้อมภาวนาว่าให้ตนเองได้ยินผิด ให้ตนเข้าใจผิด ทว่ามันก็ไม่ใช่ แม้ดวงตาเย็นชาจะสั่นไหว แต่น้ำเสียงของเขากลับสงบนิ่งและเยือกเย็น
“ข้าจะไม่พูดยืดยาว ข้าจะไม่อยู่จวนเพราะมีธุระต้องจัดการสักพัก และจะกลับมาตอนเย็นขอรับ”
ลมหนาววนเวียนอยู่บนเส้นทางที่อีกฝ่ายเดินออกไป ที่เขากล่าวว่าลมหนาวจะทำให้ทางเดินหายใจแห้งดูเหมือนจะเป็นเรื่องโกหก เพราะน้ำตาของนางพรั่งพรูออกมาขนาดนี้ นางทรุดตัวลงบนม้านั่งและฝังใบหน้าลงกับเข่า นั่นสิ นี่ข้าหวังอะไรจากบุตรชายของตระกูลผู้สูงศักดิ์กัน
หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ เมื่อทำใจให้สงบลงได้แล้วจึงออกมาจากห้องยา เดินเหม่อลอยมาเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีก็อยู่หน้าห้องของผู้มีพระคุณแล้ว ‘ข้าจะไม่อยู่จวนเพราะมีธุระต้องจัดการสักพัก’ ประโยคที่เขาทิ้งไว้ดังขึ้นอย่างแจ่มชัด นางหันมองรอบตัวก่อนจะแอบเปิดประตูเข้าไปข้างใน
เตียงที่จัดอย่างเป็นระเบียบและเครื่องเคลือบสีขาวคล้ายกับเจ้าของยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ชุดขุนนางพับอยู่บนตู้เตี้ยๆ ก็เช่นกัน ร่างบางกอดชุดนั้นแนบอกแล้วออกจากจวน เพราะชุดขุนนางเปื้อนหมึกช่างไม่เข้ากับบุรุษสุภาพเรียบร้อยเอาเสียเลย
“คือ ที่ซักผ้าอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
นางเดินดุ่มๆ ออกมาโดยไม่มีแผนการและไม่รู้จักทางด้วย แต่โชคดีที่ที่ซักผ้าจากคำบอกทางของสตรีผู้หนึ่งอยู่ไม่ไกล เมื่อถึงที่หมายก็จัดการจุ่มชุดขุนนางลงในน้ำเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งและตั้งใจขัดถู
“โธ่แม่หนู ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า อะนี่ ลองใช้ไอ้นี่ดูสิ”
แม้จะใช้น้ำด่างที่สตรีข้างๆ แบ่งให้อย่างใจดีแล้ว น้ำหมึกก็ซักไม่ออกอยู่ดี เหตุใดถึงซักไม่ออกนะ ต้องออกสิ อยากซักให้มันออก แต่ทำไมถึงไม่ยอมออกเลยล่ะ หยดน้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวยจนร่วงหล่นบนรอยเปื้อนที่ลบไม่ออก และขณะนั้นเอง
“อยู่นั่นไง ตรงนั้น! จับตัวมาซะ!”
ใครบางคนก็ส่งเสียงตะโกนมาจากด้านหลังพร้อมวิ่งตรงมายังที่ซักผ้า และไม่ใช่แค่คนเดียว ต้องหนีแล้ว! สัญชาตญาณร้องเตือนเช่นนั้น แต่ร่างกายเหมือนแข็งเป็นน้ำแข็งจนไม่สามารถขยับได้เลยสักนิดเดียว
“โอย ตกใจหมดเลย!”
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
ทหารประมาณสามสี่คนกรูกันเข้ามาใกล้ ท่ามกลางเหล่าสตรีส่งเสียงบ่นระงม มีนางนั่งแข็งทื่ออยู่คนเดียว เดิมทีตัวนางก็ไม่ใช่คนโกหกเก่งอยู่แล้ว ยิ่งสร้างความมั่นใจว่าต้องใช่แน่ๆ
“เงยหน้าขึ้นสิ”
บุรุษผู้หนึ่งดันให้เงยหน้าขึ้นอย่างรุนแรง ส่วนคนข้างๆ ก็เปรียบเทียบใบหน้าของนางกับภาพร่างที่กางอยู่ในมือ จากนั้นก็หยิบเชือกขึ้นมาอย่างไม่ลังเล นางยังคงคิดอะไรไม่ออกสักอย่างทั้งๆ ที่มีเชือกสีแดงที่รัดรอบตัว คิดแต่เพียงว่าต้องนำชุดนี้ไปมอบคืนให้ก่อน ต้องให้เขาใส่มันอย่างเรียบร้อย
“ถูกต้องขอรับ นักโทษจีซอลอัน จับตัวได้แล้วขอรับ!”
เกิดเรื่องอะไรขึ้นตรงนู้นน่ะ นักโทษงั้นหรือ นักโทษ? เสียงซุบซิบของสตรีมากมายกับเสียงฝีเท้าของทหารที่พยายามลากตนเริ่มห่างไกล ชุดขุนนางเปียกน้ำร่วงหล่นจากมืออ่อนแรง มันไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกทิ้งอยู่ตรงนั้นนะ ต้องหยิบมันขึ้นมา นางคิดเช่นนั้น แต่แล้วท้องฟ้าก็หมุนติ้ว
“นักโทษหมดสติไปแล้วขอรับ!”
สิ้นเสียงของทหาร ท้องฟ้าหมุนติ้วก็ดำดิ่งสู่ความมืดมิด
* * *
แม้จะยังไม่มีการแจ้งว่าชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ต้องออกห่างจากนาง เพราะดวงตาของสตรีที่ไม่รับรู้ถึงหัวใจที่เก็บซ่อนของตน รวมถึงกลิ่นกายหอมผสมกับกลิ่นสมุนไพร ด้วยเหตุนั้นฮาแบคจึงใช้ชุดเป็นข้ออ้างอันขี้ขลาดและมุ่งตรงมายังตลาด
“นายน้อย เหตุใดถึงมาคนเดียวหรือขอรับ”
“โอ๊ะ? คุณหนูไม่มาด้วยหรือเจ้าคะ”
เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างกล่าวต้อนรับด้วยความยินดีทุกมุมถนน แต่ตัวเขาไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่นัก หลังเดินทอดน่องได้สักพัก รอบๆ ตัวก็เต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง แต่พอหันหลังกลับไปมองกลับไม่มีสตรีที่ย่ำเท้าตามหลัง โดยไม่ละสายตาเพราะกลัวว่าจะพลัดหลงกับเขาอีกแล้ว
“ท่านหมอ ท่านหมอ!”
ทว่าจังหวะนั้น ท่ามกลางผู้คนมากมายก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งดูแล้วไม่น่าจะถึงสิบขวบดีส่งเสียงตะโกนพลางวิ่งกระโดดโหยงเหยง
“ตายจริง เจ้าหนูน้อย อย่าเรียกนายน้อยเช่นนั้นสิ!”
สตรีผู้หนึ่งสะดุ้งตกใจและคว้าไหล่เด็กคนนั้น ท่านหมอ ฮาแบคเกลียดคำนั้นเพราะหมอมีหน้าที่ช่วยชีวิตผู้อื่น ส่วนตนกลับใช้พืชที่มีพิษปลิดชีวิตผู้อื่น แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว
“ขอทางหน่อย”
คำกล่าวของฮาแบคทำให้ผู้คนรายล้อมรอบตัวแยกออกเป็นสองฝั่งเพื่อเปิดทาง เด็กน้อยกลัวว่าจะพลาดโอกาสนั้นจึงรีบสะบัดหญิงผู้นั้นออกและวิ่งตรงเข้ามาหา
“มีเรื่องอะไรถึงได้เรียกอย่างรีบร้อนถึงเพียงนี้เล่า”
ร่างสูงคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นเพื่อให้อยู่ตรงกับระดับสายตาของเด็กน้อยพร้อมเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน บุรุษผู้นี้เป็นทั้งชนชั้นสูง มหาเสนาบดี อีกทั้งยังเป็นพี่ชายของพระมเหสีอีกด้วย ดังนั้นผู้คนที่เห็นภาพนี้จึงตกตะลึงและรีบบอกให้เขาลุกขึ้น แต่ฮาแบคก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
“แม่ของข้าป่วยหนักมากขอรับ”
“ได้ไปหาหมอแล้วหรือยัง”
ถึงจะเอ่ยถามไปก่อนแต่ก็รู้ดีอยู่แล้ว ดูจากเสื้อผ้าบางๆ ข้อมือผอมแห้งและผมเผ้ายุ่งเหยิง ครอบครัวของเด็กคนนี้คงไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถเรียกหมอมาได้
“มีคนเคยบอกว่าท่านหมอจะมาที่นี่เป็นครั้งคราว และหากเจอท่านก็อาจจะได้ยา…”
“แต่ข้าไม่ใช่หมอนะ”
คำตอบนุ่มนวลแต่เฉียบขาด ทันใดนั้นดวงตาของเด็กน้อยก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อดูคุ้นตา ฮาแบคจ้องมองดวงตาคู่นั้นสักพักก่อนจะยัดพัดที่ถืออยู่ใส่มืออีกฝ่าย
“นำสิ่งนี้ไปหาหมอซะ ก่อนอื่นพาแม่ของเจ้าไปตรวจก่อน หากตรวจเสร็จแล้วจงมอบสิ่งนี้ให้แก่หมอผู้นั้น และบอกให้เขามาที่จวนมหาเสนาบดี ข้าจะจ่ายค่ารักษาให้เอง เข้าใจหรือไม่”
หลังจากได้รับพัดมา ใบหน้าของเด็กน้อยก็เริ่มสดใสขึ้น นั่นก็ดูคุ้นตาอีกเช่นกัน ฮาแบคมองหาสตรีผู้หนึ่งในดวงตาคู่นั้น ทั้งยังเห็นภาพสะท้อนของตนด้วยเช่นกัน เป็นความรู้สึกแบบนี้เองน่ะหรือ หลังจากเพ่งดูใบหน้าของตนใกล้ๆ หลายครั้งก็เข้าใจความตั้งใจของฮอนแล้ว
“ขอบพระคุณขอรับท่านหมอ ข้าจะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน!”