ตอนพิเศษ 1-12 ฮาแบค

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

เจ้าของร้านเปิดประตูเล็กด้านในร้านออก หากมองผ่านๆ ก็ไม่มีทางรู้ว่ามีประตูอยู่ตรงนั้นด้วย บรรดาผ้าไหมสำหรับลูกค้าระดับสูงวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ภายใน 

 

 

“ขออนุญาตถามได้หรือไม่ขอรับว่าผู้ใดเป็นคนใส่…?” 

 

 

ความคาดหวังแฝงอยู่ประโยคที่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง 

 

 

“เลิกพูดไร้สาระน่า เอาอันที่สองจากริมสุดนู่นออกมาสิ” 

 

 

ฮาแบคขัดคำถามเจ้าของร้านด้วยประโยคเดียว ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้ผ้าไหมลูกท้อ เขารู้สึกชอบสีนั้นเพราะเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน 

 

 

“ตาถึงอย่างที่คิดไว้จริงๆ เลยนะขอรับ” 

 

 

ผ้าไหมม้วนอยู่ถูกกางออกพร้อมคำชมตามปกติ คำกล่าวว่ามันคือผ้าไหมอันล้ำค่า ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงเลย ทั้งความมันวาว การถักทอและสีสันอันงดงามนั่น นับเป็นสินค้าชั้นหนึ่งไม่ผิดแน่นอน 

 

 

เขาจะมอบแก่สตรีผู้ใดกันนะ นางมองแผ่นหลังของบุรุษตรงหน้ายามลูบผ้าไหมผืนนั้น พร้อมนึกถึงเครื่องประทินผิวที่ทำเมื่อครู่ คงจะให้สองขวดนั้นพร้อมกับผ้าไหมสินะ แต่ทันใดนั้นฮาแบคก็กวักมือมาทางสตรีที่เริ่มทำหน้าสลด 

 

 

“เป็นอย่างไรขอรับ” 

 

 

“เอ่อ สวยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นผ้าไหมผืนไหนสวยขนาดนี้มาก่อนเลย” 

 

 

“งั้นเอาผืนนี้ แล้วก็ผืนสีขาวตรงนู้น” 

 

 

“ขอรับท่านใต้เท้า” 

 

 

ผืนถัดไปคือผ้าไหมสีขาวดุจหิมะ แต่มันไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวอย่างเดียวเท่านั้น ร่างบางเบิกตากลมโตเมื่อเห็นผ้าไหมเปลี่ยนสีทีละนิดตามทิศทางที่ใส่ด้ายเงินเข้าไป 

 

 

“คิดว่าอย่างไรขอรับ” 

 

 

แม้จะเอ่ยถาม แต่ดูท่าคนฟังจะไม่ได้ยินเสียแล้ว ทว่าความจริงก็ไม่จำเป็นต้องตอบเป็นคำพูดอยู่แล้ว แค่เห็นดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากเผยออ้าเล็กน้อย และปลายนิ้วแตะอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะผ้าเปื้อนก็เพียงพอแล้ว 

 

 

“ผืนนี้ด้วย แล้วช่วยตามภรรยาของท่านมาหน่อยสิ” 

 

 

แต่ประตูเล็กๆ กลับเปิดออกทันทีที่ฮาแบคพูดจบ 

 

 

“พอได้ยินข่าว ข้าก็รีบวิ่งมาเลยเจ้าค่ะ ไหนๆ คุณหนูผู้นี้หรือเจ้าคะ ตายจริง สวยด้วยนะเนี่ย” 

 

 

ภรรยาเจ้าของร้านเข้ามาพร้อมเสียงดังเจื้อยแจ้ว มือข้างหนึ่งก็ถือไม้บรรทัดไม้ไผ่ขนาดใหญ่อยู่ด้วย 

 

 

“ใช่ อย่างไรก็ช่วยเร่งมือให้เสร็จเร็วขึ้นหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

“กล่าวอันใดกันเจ้าคะ ข้าจะพักงานอื่นไว้ก่อนและทำให้ท่านใต้เท้าทั้งคืนเลย อย่าได้เป็นกังวล คุณหนูช่วยกางแขนออกหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

นางยืนกางแขนตามคำสั่งด้วยจิตใจล่องลอย เมื่อผู้เป็นภรรยาวัดขนาดตัวและส่งเสียงบอก เจ้าของร้านขายผ้าก็คอยจดตามอยู่ข้างๆ  

 

 

“นายท่าน?” 

 

 

วัดตัวข้าทำไมหรือ เอ่ยถามเช่นนั้นผ่านทางสายตา 

 

 

“ข้าต้องให้ของตอบแทนเหมาะสมกับความช่วยเหลือไม่ใช่หรือขอรับ และนี่คือของตอบแทน” 

 

 

“แต่ผ้าไหมมันสูงค่าเกินไปนะเจ้าคะ” 

 

 

“มันคือความตั้งใจของข้าขอรับ” 

 

 

เขาสนใจคุณหนูอยู่ไม่ใช่หรือ เสียงของคนครัวจากบทสนทนาช่วงสายๆ ดังขึ้นในหัวทันที นางพยายามกดความคาดหวังไร้สาระพลางเบนสายตาหนีไปทางอื่น แม้จะอยากพูดต่อว่าไม่อยากรับมันไว้ แต่ก็ไม่มีความมั่นใจในการปกปิดคำโกหกเลย 

 

 

“เรียบร้อยแล้ว ตัวเล็กทีเดียว เดี๋ยวข้าจะเริ่มทำทันทีเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

“หากเสร็จเรียบร้อยแล้วจะส่งคนไปจ่ายเงิน แล้วข้าจะมารับของเอง” 

 

 

“เจ้าค่ะใต้เท้า” 

 

 

ฮาแบคออกมาจากร้านขายผ้าพร้อมจับมือสตรีข้างกายอีกครั้ง ท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำไหล จนแม้แต่นางเองก็ไม่คิดว่ามันแปลก บางทีอาจเป็นเพราะความสนใจทั้งหมดมุ่งตรงอยู่กับมือที่จับประสาน 

 

 

“เดี๋ยวกินของว่างที่นี่ จากนั้นก็ไปซื้อสมุนไพรแล้วค่อยกลับจวนนะขอรับ” 

 

 

สถานที่ที่เขาหยุดแวะคือร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าๆ ธรรมดาเกินคาด ถึงจะเป็นร้านที่ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์สุขุมเย็นชาเสียเลย แต่เจ้าของร้านที่ดูเป็นมิตรก็เข้ามาต้อนรับด้วยความยินดีอย่างยิ่ง 

 

 

“นั่งตรงนี้เลยเจ้าค่ะนายน้อย ที่รัก ที่รัก! นายน้อยมา! เฮ้อ ไปไหนของเขาอีกล่ะเนี่ย” 

 

 

เมื่อต้อนรับลูกค้าตามลำพังไม่ไหว นางจึงเรียกหาสามีเสียงดัง ร่างบางนั่งลงตรงข้ามพลางกวาดสายตามองร้านเล็กๆ ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันกลับมามองบุรุษตรงหน้า 

 

 

“นายท่านเป็นคนน่าทึ่งมากเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

“ข้า?” 

 

 

“เจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่เป็นบุตรชายของตระกูลสูงศักดิ์ แต่ก็ยังสนิทกับพวกพ่อค้าแม่ค้า แถมยังทานก๋วยเตี๋ยวในร้านเล็กๆ อีกด้วย ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ใช่อาหารดีๆ ก็จะไม่เอาเข้าปาก” 

 

 

“มันเป็นอาหารที่ดีนะขอรับ สามีภรรยาคู่นี้จะตื่นตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้นมาต้มน้ำซุปและปิดร้านหลังจากของหมดทุกวัน” 

 

 

ดูเหมือนเกณฑ์อาหารที่ดีสำหรับอีกฝ่ายจะไม่ใช่ราคาของมัน เหมือนกับคนครัวของจวนที่มีเกณฑ์ของ ‘คน’ ไม่ใช่จากพื้นเพและชนชั้น นางไม่อาจหาคำมาตอบกลับได้ แต่ขณะนั้นชามสองใบถูกนำมาวางตรงหน้าพอดี 

 

 

“ทานเยอะๆ นะเจ้าคะ ถ้าไม่พอก็ขอเพิ่มได้เลย คุณหนูสวยมากทีเดียวเชียว” 

 

 

คำชมเกินกว่าความจริงทำให้ใบหน้าหวานใต้ผ้าคลุมกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ฮาแบคคิดว่ามันเหมือนกับสีผ้าไหมผืนเมื่อครู่พลางยื่นมือออกไปแกะผ้าคลุม 

 

 

“ทานเถอะขอรับ” 

 

 

หลังจากคีบใส่ปากหนึ่งคำก็เอียงคอสงสัย แต่พอคำที่สองก็รู้สึกเหมือนโต๊ะสั่นเล็กน้อย พอเขาก้มมองข้างล่างจึงเห็นเท้าเล็กๆ สองข้างยกสลับกันและกระทืบพื้นอย่างร่าเริง คงจะอร่อยสินะ ฮาแบคแอบยิ้มและจัดการส่วนของตนจนเกลี้ยง 

 

 

“อร่อยมาก เอ้า” 

 

 

เมื่อหยิบถุงเงินออกมาจ่ายเงิน สตรีเจ้าของร้านก็โบกมือปฏิเสธทันที 

 

 

“ไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดเงินนายน้อยหรอก” 

 

 

“เอางั้นหรือ? เช่นนั้นข้าเอาเงินนี่ไปให้ร้านฝั่งตรงข้ามดีกว่า” 

 

 

ร้านฝั่งตรงข้ามเป็นร้านคู่แข่งไม้เบื่อไม้เมายาวนานของร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ ฮาแบคยื่นเงินให้เจ้าของร้านที่เปลี่ยนท่าทีเป็นลุกลน ก่อนจะยื่นมือมาหาสตรีข้างกาย คราวนี้นางจับมือเขากลับอย่างเป็นธรรมชาติ 

 

 

 

 

 

“คือว่า นายท่าน” 

 

 

ระหว่างทางกลับจวนหลังจับมือเดินวนรอบตลาดหนึ่งรอบ นางจ้องมองเงาทอดยาวพร้อมเกริ่นขึ้นอย่างเงียบๆ  

 

 

“ว่าอย่างไร” 

 

 

“ทำไมคนอื่นๆ ถึงไม่เรียกนายท่านว่าท่านหมอ แต่เรียกว่าใต้เท้า ไม่ก็นายน้อยกันทุกคนเลยหรือเจ้าคะ” 

 

 

“เพราะข้าไม่ชอบให้เรียกแบบนั้นขอรับ” 

 

 

ร่างบางหยุดยืน ฮาแบคจึงหยุดตาม เงาทอดยาวของทั้งสองหันเข้าหากันและกันใต้แสงอาทิตย์อัสดง 

 

 

“ท่านไม่ใช่หมอหรือเจ้าคะ” 

 

 

“นั่นก็ไม่ใช่คำกล่าวที่ผิดซะทีเดียวหรอกขอรับ ต้องรีบกลับไปต้มยาให้แม่นางแล้ว เรารีบเดินกันเถิด” 

 

 

แม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายทำเป็นเปลี่ยนเรื่องพูด แต่นางก็ไม่ได้คัดค้านและเดินตามแต่โดยดี เมื่อมาถึงหน้าจวนของพวกเราก็รู้สึกเสียดายที่ต้องปล่อยมือออก จวนของพวกเรา… ตกใจมากกับการเผอเรอคิดว่าจวนอันสูงส่งเช่นนี้เป็นที่ของตน นางหยุดชะงักและไม่กล้าก้าวข้ามประตู 

 

 

“ไม่เข้ามาหรือขอรับ” 

 

 

คนเดินนำจึงหันมามองข้างหลัง แสงตะวันยามตกดินกระทบลงบนใบหน้างดงามสะท้อนแสงราวกับอัญมณีอันล้ำ เพียงเท่านี้พอ แม้จะไม่ไกล แต่ก็เป็นระยะห่างที่ไม่อาจข้ามผ่านโดยไม่ลังเล 

 

 

 

 

 

* * *