ตอนที่ 161 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 161 ด้านของพ่อแม่ (7)

             อี้เป่ยซีรู้สึกว่าชีวิตของเธอในช่วงนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นเกินไปแล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่มีเรื่องน้อยใหญ่เกิดขึ้นทุกวัน ความราบรื่นแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง มันเหมือนความสงบก่อนพายุฝน หลังจากเธอเล่าความคิดของตัวเองให้ลั่วจื่อหานฟังจบแล้ว เขาก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย อี้เป่ยซีเข้าสู่ความฝันด้วยความเหนื่อยล้าแล้ว

            ลั่วจื่อหานมองดูเธอที่หลับใหล เดินไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศหนาวลงเล็กน้อย ทำให้ลั่วจื่อหานที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอจามไปทีหนึ่ง เขม่าบุหรี่ร่วงลงพื้น เมื่อลมพัดมันก็กระจัดกระจายไป

            เขานวดคลึงหน้าผาก ดับบุหรี่ที่สูบไปแล้วครึ่งหนึ่ง เดินย่องกลับขึ้นเตียง กอดอี้เป่ยซีที่กำลังนอนหลับ และผล็อยหลับไป

            อี้เป่ยซีเดินไปยังห้องเรียนตามลำพัง แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เธอเห็นเงาที่คุ้นเคยเบื้องหน้า ความหงุดหงิดวูบผ่านเข้ามา

            ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้กันนะ เธอควรจะไปที่ห้องคำปรึกษาหรือเปล่า เธอป่วยเพราะความหวาดระแวงหรือเปล่านะ

            “เป่ยซี” มู่ลี่ไป๋โผล่มาตรงหน้าของอีเป่ยซีอย่างกะทันหันจากมุมหนึ่ง หนังสือในมืออี้เป่ยซีตกพื้นกระจัดกระจาย กระดาษบันทึกแผ่นเล็กถูกลมพัดปลิวไปทั่วทุกทิศ เธอกับมู่ลี่ไป๋ช่วยกันเก็บของของเธอมือเป็นพัลวัน

            “เป็นอะไรไป?”

            มู่ลี่ไป๋ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็เปลี่ยนหัวข้อ “เปล่า แค่เห็นเธอแล้วมาทักทาย”

            อี้เป่ยซีเห็นท่าทางเขาเหมือนอยากพูดอะไรแต่ลังเล เข้าใจในทันทีว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาไม่อยากพูด เธอก็จะไม่ถาม “อ๋อ งั้นฉันไปเรียนแล้วนะ”

            เธอเดินไปไม่กี่ก้าวก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ หันกลับไป “จริงสิ ฉันนึกเรื่องที่สำคัญมากขึ้นมาได้เรื่องนึง ยังไม่เคยบอกนาย พอฉันย้ายคณะแล้ว เยี่ยฉินก็เป็นที่ปรึกษาของฉัน”

            มู่ลี่ไป๋ตอบว่า ‘อืม’ โดยไร้อารมณ์ใดๆ ราวกับว่าเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ไม่ดึงดูดความสนใจของเขาแม้แต่นิดเดียว

            “ตอนนี้เธอลาออกแล้ว”

            เขาเงยหน้าขึ้นทันที ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึงด้านหน้าของอี้เป่ยซีแล้ว “แล้วทำไมเขาถึงลาออกเธอรู้ไหม? แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

            ฉันว่าแล้วเชียวถ้าไม่มีอะไรก็คงไม่กลับมาหาฉัน อี้เป่ยซีเผยยิ้มแห่งความสำเร็จ รอยยิ้มนั้นทำให้มู่ลี่ไป๋ไม่สามารถหลบซ่อนได้ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งเล็กน้อย “ไม่มีอะไร เธอไปเรียนเถอะ”

            อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างว่าง่าย หันหลังแล้วเดินไปยังห้องเรียนอย่างรวดเร็ว มู่ลี่ไป๋มองดูแผ่นหลังของอี้เป่ยซี ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว

            ตอนนี้ก็มองออกแล้ว ทำไมถึงไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ให้จบล่ะ เขารู้ว่าตอนนี้คนอื่นก็ดูออกแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเขามาหาเธอ

            ยังทำใจไม่ได้งั้นเหรอ? ใช่แล้ว ทั้งๆ ที่มันผ่านไปแล้ว ทำไมจะต้องลงแรงตามหาเธอด้วย ต่อให้หาเจอแล้วยังไงเหรอ เพื่อมองดูเธอพลอดรักกับคนอื่น เพื่อมองดูเธอมองตัวเองด้วยสายตาเย็นชางั้นเหรอ?

            มู่ลี่ไป๋ นายนี่มันต่ำต้อยจริงๆ ผืนป่าอันกว้างใหญ่แต่นายไม่ต้องการ นายไม่ต้องการอะไรเลย แค่อยากอยู่ใต้ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง ใต้ต้นไม้ที่ไม่ควรค่าแก่การชื่นชอบใดๆ นายจะทำอะไรได้ มองดูใบไม้เหี่ยวๆ งั้นเหรอ?

            ก็แค่ดู ก็แค่อยากดูเท่านั้นจริงๆ

            เขายอมรับว่ามู่ลี่ไป๋อย่างเขาก็ต่ำต้อยแบบนี้ เขาชอบเธอ แม้ว่าเธอจะทำเรื่องมากมายขนาดนั้นก็ยังชอบเธอ ต่อให้เธอไม่ชอบเขาก็ยังชอบเธอ ต่อให้ได้มองเธอจากที่ไกลๆ แบบนี้ เขาก็ยังชอบเธอ

            เท้าของมู่ลี่ไป๋ที่ต้องการก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงักอีกครั้ง เขายิ้มเยาะเย้ยตัวเอง หันหลังให้อี้เป่ยซีแล้วออกจากมหาวิทยาลัยไป

            ช่างมันเถอะ ต่อให้เธอเห็นก็คงจะระอาใจมากสินะ

            นายกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก

            “ฮัลโหล แม่ ผมจะกลับไปคืนนี้ ครับ ผมรู้แล้ว ผมจะทำครับ” เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วอยู่นาน ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง

            อี้เป่ยซีหันกลับไปมอง ตอนนี้มองไม่เห็นเงาของมู่ลี่ไป๋แล้ว ทำไมถึงไม่มั่นคงแบบนี้ เขาพูดแค่คำเดียวเธอก็จะบอกเรื่องที่เธอรู้ทั้งหมดให้เขาฟังแล้ว เธอส่ายหัว แบบนี้สมน้ำหน้าแล้วที่นายไม่มีแฟน

            การเรียนในหนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างปลอดภัยและมั่นคงมากอีกครั้ง ท่าทีของเพื่อนร่วมชั้นที่มีต่อเธอนั้นก็เหมือนกับเวลาอื่น อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ห่อเหี่ยวมากกดอยู่บนหน้าอกของเธอ เธอถอนหายใจยืดยาว แล้วจึงสะพายกระเป๋าออกจากมหาวิทยาลัยไป

            เดินเข้าประตูอะพาร์ตเม้นต์ ก็เห็นลั่วจื่อหานจมอยู่ในความคิดที่หน้าคอมพิวเตอร์ คิ้วผูกกันเป็นปมราวกับว่าทำอย่างไรก็แก้มันไม่ออก

            “เป็นอะไรไป?”

            “ไม่มีอะไร” ลั่วจื่อหานยื่นมือไปหาเธอ อี้เป่ยซีนั่งลงบนตักของเขาเงียบๆ เธอโอบรอบคอของลั่วจื่อหาน

            “ดูเหมือนนายมีเรื่องในใจนะ”

            อี้เป่ยซีพิงศีรษะอยู่บนหน้าอกของเขา เมื่อได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นจึงรู้สึกสงบลงมาบ้าง ลั่วจื่อหานนวดคลึงหัวของเธอ สายตามองออกไปข้างนอกตลอดเวลา

            ผ่านไปเนิ่นนาน เขายกมือของอี้เป่ยซีขึ้นมา ลูบไล้แหวนบนนิ้วนาง แววตามีความสับสนเล็กน้อย แต่กลับส่องประกายด้วยความตั้งใจแน่วแน่

            “เป็นอะไรไป?”

            “เปล่า สงสัยจะไปเจอผู้ใหญ่แล้วก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อย”

            “พอนายพูดแบบนี้ ฉันก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ทำไงดี?”

            ลั่วจื่อหานหัวเราะ “ฉันเป็นคนไปเจอไม่ใช่เธอสักหน่อย เธอจะตื่นเต้นทำไม”

            อี้เป่ยซีลังเลครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปาก “ฉันไม่ต้องไปเจอพ่อแม่ของนายจริงเหรอ?”

            “อืม ไม่จำเป็น ความคิดเห็นของพวกเขาไม่จำเป็นต้องเอามาคิด อีกอย่าง เธอก็เจอคุณปู่ของฉันแล้วไม่ใช่เหรอ แค่นี้ก็พอแล้ว”

            “อ่อ” เธอพยักหน้า ซุกตัวในอกของลั่วจื่อหานต่อ “ปีนี้อุณหภูมิลดลงเร็วมาก ข้างนอกหนาวมากเลย”

            “อืม” ลั่วจื่อขมวดคิ้ว ตอบเธอ

            “วันนี้ฉันเจอมู่ลี่ไป๋ที่มหา’ลัยด้วย”

            “เขาไปที่มหา’ลัยพวกเธอทำไม?”

            อี้เป่ยซีขยับตัวในอ้อมอกของเขาเล็กน้อย เพื่อหาตำแหน่งที่สบายกว่าเดิม “น่าจะเป็นเพราะเรื่องของเยี่ยฉินล่ะมั้ง เยี่ยฉินลาออกแล้ว เขาคงหาเธอไม่เจอแล้วล่ะมั้ง ก็เลยมาถามหาที่มหา’ลัยพวกเรา”

            “แบบนี้หรอกเหรอ”

            “นายไม่เป็นห่วงเลยสักนิดเหรอ?”

            “เรื่องของพวกเขาสองคน ฉันเป็นห่วงแล้วมีประโยชน์อะไร” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เธอได้บอกเขาหรือเปล่าว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน?”

            อี้เป่ยซีส่ายหน้า “เขาเหวี่ยงน่ะ ฉันอยากจะบอกเขาว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหนด้วยความยินดีอยู่แล้วเชียว เห็นได้ชัดว่าฉันกับเยี่ยฉินไร้ค่าแค่ไหน อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเขายังทำใจไม่ได้ แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมเดินหน้าต่อ”

            “เป่ยซี”

            “หืม?”

            “ตอนที่อยู่กับฉัน ห้ามพูดถึงผู้ชายคนอื่น ฉันไม่ชอบหรอกนะ”

            “เอ่อ ใครก็พูดไม่ได้เหรอ?”

            “อืม…ก็ไม่ใช่ว่าใครก็พูดไม่ได้” เขาดึงเธอออกมาจากอ้อมอก มองตาของเธอโดยตรง ยิ้มด้วยความชั่วร้าย “ถ้าเป็นลูกของพวกเราพูดได้”

        “ฉันไม่อยาก…”

————