ตอนที่ 162 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 162 ด้านของพ่อแม่ (8)

             หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป อี้เป่ยซีก็ไม่เห็นมู่ลี่ไป๋อีกและไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีก เมื่อได้เห็นเขาอีกครั้งก็อยู่บนข่าวซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว พูดประมาณว่าเรื่องมงคลของบ้านม่อใกล้เข้ามาแล้ว กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับบ้านหวัง ประกอบกับรูปถ่ายสีสันสดใสใบหนึ่ง หญิงสาวที่อยู่ถัดจากมู่ลี่ไป๋ยิ้มอย่างอ่อนโยน

            ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคู่รักที่ดูดีจริงๆ แต่ในใจของอี้เป่ยซีกลับไม่มีความสุข แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นไปได้ว่าเมื่อพวกเขาสองคนเดินมาถึงจุดนั้นแล้ว ใครก็เดินหน้าต่อไม่ได้ ทำได้เพียงย้อนกลับไป เอาความกล้าหาญในอดีตมาเป็นความทรงจำ แล้วเดินไปในทางที่ตัวเองควรเดิน ห้อมล้อมตัวเองด้วยชีวิตที่ควรจะเป็น

            แต่ว่านะ เยี่ยฉินกับมู่ลี่ไป๋จะไม่เสียใจสักนิดเชียวเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้ทั้งสองคนยอมแพ้ทั้งแบบนี้

            ยังไม่ทันจะคิดเรื่องนี้ให้กระจ่าง อี้เป่ยซีก็ได้รับสายของลั่วจื่อหาน

            “ฮัลโหล ว่ายังไง?”

            “ฉันปล่อยให้พี่จางผ่านไปแล้ว คืนนี้มีธุระนิดหน่อยไม่กลับนะ”

            นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วจื่อหานไม่กลับมานอน เมื่อก่อนเวลาที่งานยุ่งมากๆ เขาก็จะต้องกลับบ้าน ในขณะที่เธอกำลังนอนหลับก็จะแอบไปทำงานในห้องหนังสือ อี้เป่ยซีรู้สึกแปลกใจ จึงถามต่อ

            “เป็นอะไรไป?”

            “กำลังดื่มเหล้ากับมู่ลี่ไป๋ เธอไม่ต้องเป็นห่วง”

            “อย่าดื่มเยอะล่ะ ระวังสุขภาพด้วย”

            “โอเค”

            “งั้นฉันไม่รบกวนพวกนายแล้ว ไว้เจอกัน”

            “แล้วเจอกัน”

            ลั่วจื่อหานเก็บโทรศัพท์มือถือ มองดูผู้ชายตรงหน้าที่รินเหล้าให้ตัวเองไม่หยุด ใบหน้าไร้ซึ้งอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะอุณหภูมิกับลมหายใจในร่างกาย เขาคงจะสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วมันคืออะไร

            มู่ลี่ไป๋มองเขา เผยยิ้มซีดเซียว แววตายังคงว่างเปล่า “นายมาแล้วเหรอ ดื่มสิ”

            ลั่วจื่อหานจับมือของเขาที่กำลังรินเหล้า “ไม่ต้องถึงขนาดนี้มั้ง”

            “เมื่อก่อนฉันก็พูดกับนายตลอดว่าไม่ต้องถึงขนาดนี้ ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าคนที่พูดน่ะไม่เจ็บหรอก มันต้องถึงขนาดไหนมีแต่คนที่เจ็บเท่านั้นที่รู้”

            “ไม่ใช่ว่าถึงขนาดไหนหรอก แค่มันยังไม่พอ ดื่มไปทีละขวดๆ แบบนี้มันก็เมาได้ แล้วก็ลืมเรื่องที่ยืดเยื้อที่อึดอัดพวกนั้นได้ ฉันก็จะได้กลับไปเป็นมู่ลี่ไป๋คนเดิม ยังไม่พอ ฉันยังดื่มไม่พอ ทำไมยิ่งดื่มยิ่งคิดถึงเขา ทำไมยิ่งดื่มยิ่งชัดเจน ทำไมถึงยิ่งทุกข์ใจขึ้นทุกที”

            ลั่วจื่อหานจุดบุหรี่ ไม่ได้ตอบคำถามของเขา

            “ฉันชอบเขามาตั้งนาน เขาก็ชอบฉัน ตอนนี้สังคมก็เปิดกว้างขนาดนี้แล้ว ทำไมสุดท้ายแล้วยังแม่งเดินไปด้วยกันไม่ได้ ฉันติดค้างอะไรเยี่ยฉินกันแน่!”

            “ติดค้างอะไร ฉันคืนให้เขาก็พอแล้ว แค่อย่าจากไปไหน อย่าจากฉันไปไกล ฉันจะไม่ไปก้าวก่ายเขา แค่ให้ฉันได้มอง แค่ได้มองเขาก็ไม่เต็มใจงั้นเหรอ? ฉันถูกรังเกียจจนกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร”

            “มีแค่เขาที่รังเกียจฉัน นายดูคนข้างกายสิ มีคนไหนบ้างที่ไม่พยายามจนสุดความสามารถเพื่อจะได้มาอยู่เคียงข้างฉัน นายว่าผู้หญิงคนนั้นมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรเหยียบย่ำฉันแบบนี้!”

            ลั่วจื่อหานเปิดขวดเหล้า รินให้ตัวเองจนเต็ม ยกดื่มรวดเดียวหมด

            “ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า บอกได้เลยว่าพี่น้องก็เหมือนแขนขา ผู้หญิงน่ะเหมือนเสื้อผ้า ฉันไม่ต้องการเสื้อผ้าอย่างเขาหรอก เขาจะทำให้เขาเห็น ทำให้เขาทนไม่ได้ เขานั่นแหละที่ปีนขึ้นมาไม่ได้ตั้งแต่แรก” พูดพลางก็โยนขวดเปล่าในมือลงไปที่พื้น แล้วเปิดอีกขวดให้ตัวเอง ไม่ลืมที่จะรินใส่แก้ว เงยหน้าขึ้นเทเข้าปาก เหล้ากับน้ำตาผสมเข้าด้วยกัน ไหลลงอาบแก้ม

            “ลั่วจื่อหาน ฉันขออวยพรให้นายกับอี้เป่ยซีมีความสุขนะ ฉันดูพวกนายสองคนตลอดเวลา พวกนายมันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ ขอให้พวกนายอยู่ร่วมกันเป็นร้อยปี อยู่กันจนแก่เฒ่า ฉันขอดื่มให้” เหล้าทั้งขวดไหลลงสู่ท้อง ดวงตาของลั่วจื่อหานเป็นประกาย และดื่มไปมากเช่นกัน

            “ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”

            “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ พวกนายได้อยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว ตอนนี้ฉัน…ไม่อยากไปคิดอะไรมากอีกแล้ว ได้เห็นนายมีในสิ่งที่ฉันไม่มี ก็นับว่าเป็นการชดเชยแล้วล่ะมั้ง”

            “อืม”

            “ฉันนึกว่านายจะกระตุ้นให้ฉันไปไล่ตามซะอีก ที่แท้ก็มีแค่คำว่าอืม”

            ลั่วจื่อหานเงยหน้ามองเขา “ถ้ามันมีประโยชน์ล่ะก็ พวกนายก็ไม่เดินมาถึงทุกวันนี้หรอก”

            “ฉันชอบเขา ชอบเขามากๆ จริงๆ”

            “มู่ลี่ไป๋ชอบเยี่ยฉิน ชอบมากๆ เขาก็รู้แหละ ก็เลยเดินจากไปอย่างเด็ดขาด ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วก็จากไปอย่างธรรมชาติ”

            “อาจจะ” ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก ลั่วจื่อหานดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาตลอดเวลา ในใจก็มีความกังวลของตัวเองเหมือนกัน จนกระทั่งตีสามของตอนเช้า มู่ลี่ไป๋ก็เมาจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ลั่วจื่อหานโทรศัพท์ให้คนสนิทของตัวเองพาเขากลับบ้าน ส่วนตัวเองก็นั่งรถจากมา

            เมื่อกลับถึงอะพาร์ตเม้นต์ เดิมทีลั่วจื่อหานต้องการจะพักผ่อนในห้องรับแขกทั้งคืน ขณะที่เดินผ่านห้องนอน ก็ยังเปิดประตูห้องนอนโดยไม่รู้ตัวแล้ว เห็นคนที่ตัวเองรักนอนอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ความว่างเปล่าทั้งหมดก็ถูกเธอเติมจนเต็ม รู้สึกว่าเรื่องที่เจอในช่วงนี้ก็ไม่หนักหนาเท่าไร ราวกับได้รับพลังงานมหาศาลกับความกล้าหาญที่ทำให้ไม่เกรงกลัวอะไรเลย

            เขาเดินย่องไปยังข้างเตียง ค่อยๆ นอนลงแล้วกอดเธอไว้

            ระหว่างที่อี้เป่ยซีครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นก็ได้กลิ่นเหล้าแสบจมูก เธอรวบรวมพลังจึงจะลืมตาขึ้นมาได้ “ลั่วจื่อหาน” ในน้ำเสียงยังมีความสะลึมสะลือ

            ลั่วจื่อหานขานรับแต่ไม่ได้ลืมตา จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกเย็นๆ ที่หลังคอซึ่งปลุกให้เธอตื่นทันใด เธอรีบลุกขึ้นต้องการจะเปิดไฟที่หัวเตียง แต่ถูกมือที่ทรงพลังคู่หนึ่งห้ามไว้

            “อย่าเปิดไฟ”

            “ลั่วจื่อหาน นายเป็นอะไรไป นายร้องไห้ทำไม” อี้เป่ยซีเคยเห็นลั่วจื่อหานมาหลายด้าน ทั้งกล้าหาญ เศร้าโศก รุนแรง และเย็นชา แต่ว่ารู้จักกันมานานก็ไม่เคยเห็นด้านที่เขาอ่อนแอขนาดนี้ เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของลั่วจื่อหานด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย หัวใจของเธอก็เจ็บปวดจนสั่น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้ลูกผู้ชายดุจเทพคนนี้ต้องหลั่งน้ำตา

            “ไม่มีอะไร” ลั่วจื่อหานกอดเธอแน่น “นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆ”

            เธอราวกับเข้าใจเหตุผลที่ลั่วจื่อหานหลั่งน้ำตาแล้ว ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะแดงก่ำ มีบางอย่างเปียกชื้นร่วงลงมาจากดวงตาทีละน้อยๆ เธอกอดลั่วจื่อหานแน่น “แน่นอนว่าไม่ใช่ความฝัน ฉันอยู่นี่ นายกังวลอะไร”

            ลั่วจื่อหานหัวเราะ

            “ฉันช่วยนายทำความสะอาดเถอะ ฉันจะให้พี่จางเตรียมชาแก้สร่างก่อน แล้วเอามาให้นาย?”

            “ได้” อี้เป่ยซีพบว่ามือที่อยู่บนเอวตัวเองยิ่งบีบแน่น

            “ปล่อยมือก่อนเถอะ แบบนี้ฉันจะไปเอาชาให้นายได้ยังไง”

            “ได้” แขนของลั่วจื่อหานยิ่งออกแรงกว่าเดิม อี้เป่ยซีจนปัญญา พยายามห่มผ้าให้เขา

            “พรุ่งนี้คนที่ปวดหัวคือนายนะ ฉันล่ะขี้คร้านจะสนใจ”

        “ได้” ลั่วจื่อหานพูดพลางเหมือนกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง ซุกไซ้อยู่ที่คอของอี้เป่ยซี

————