ตอนที่ 1126 สถานการณ์การรบ โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 5 วัน
ริคส์ได้เจอกับซิมบาดี้อีกครั้ง
ภายในหน่วยพยาบาลในค่ายกองทัพที่หนึ่ง
นอกจากนี้คนที่มาเยี่ยมเขายังมีสาวน้อยชาวโมเกนที่ร่าเริงคนนั้นอีกคนหนึ่ง
“เป็นยังไงบ้าง?” มอลลี่เอาหญ้าทะเลช่อหนึ่งวางไว้ข้างหน้าต่าง “ที่นี่ไม่มีดอกไม้สวยๆ ข้าก็เลยเอามันมาแทน แต่ว่ามันก็เป็นสีเขียวนะ ยังไงก็ดูสวยกว่าทรายสีเหลืองใช่ไหมล่ะ?”
“เอ่อ…ขอบคุณนะ” ริคส์รีบลุกขึ้นมานั่ง “ข้ารู้สึก…ดีกว่าตอนแรกเยอะแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดี สภาพเจ้าตอนที่ถูกช่วยขึ้นจากน้ำน่ากลัวมาก หน้าเป็นสีม่วง ตัวก็กระตุก แถมยังสำลักน้ำทะเลออกมาไม่หยุด” เธอพูดยิ้มๆ “หลังจากนั้นตอนที่ถูกส่งมาในค่ายก็มีไข้สูงอีก ข้ากับซิมบาดี้มาเยี่ยมเจ้าสองครั้ง แต่ตอนนั้นเจ้าเหมือนจะยังไม่ได้สติ”
ริคส์ยิ้มแห้งๆ “ร่างกายข้าอ่อนแอจริงๆ”
“แต่เจ้าก็อดทนจนผ่านมันมาได้ แถมยังก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองด้วย” ซิมบาดี้พูดยิ้มๆ “คุณนักสำรวจ ความจริงแล้วความต้องการในการเอาชีวิตรอดของเจ้ายังมากกว่าข้าเสียอีก ตอนที่ใกล้จะถึงผิวน้ำ ข้าเกือบจะหมดแรงแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้ากอดข้าเอาไว้แน่น เกรงว่าข้าคงไม่มีแรงเหลือพอที่จะดึงเจ้าขึ้นมาจากน้ำได้” เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นมา” ดูนี่สิ ตรงนี้ยังมีรอยช้ำอยู่เลย”
“ขอโทษนะ” ริคส์พูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าจำเรื่องตอนที่อยู่ในถ้ำใต้น้ำไม่ได้เลย”
“ตอนนั้นเจ้าจะต้องคิดหาวิธีที่ทำให้ตัวเองไม่ปล่อยมือถึงจะหมดสติไปแล้วใช่ไหม?” มอลลี่ทอดถอนใจออกมา
“น่าจะ…” เขาพยักหน้า “ก่อนที่จะหมดสติไป ภายในหัวข้ามีความคิดอะไรหลายๆ อย่างผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งสิ่งประดิษฐ์ของข้า สมาคมของแปลก แล้วก็ยังมีภรรยาสองคนที่กำลังรอข้ากลับไป…”
ทุกคนเงียบไปทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซิมบาดี้จึงลองถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ภรรยาสองคนไง” ริคส์เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ ข้าลืมบอกไป ธรรมเนียมบนเกาะในฟยอร์ดนั้นจะแตกต่างกันออกไป เกาะที่ข้าอยู่นั้นไม่มีการจำกัดจำนวนภรรยาเอาไว้ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเจ้าอยากจะมีกี่คน เรื่องนี้พวกเจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลกอะไร”
“ตอนนี้ข้าคิดว่า…ข้าน่าจะทิ้งเจ้าเอาไว้ในถ้ำใต้น้ำนั่นจะดีกว่า” มุมปากซิมบาดี้กระตุกขึ้นมา
“เห็นด้วย” มอลลี่เองก็พูดเสริมขึ้นมาอย่างจริงจัง
“เฮ้ พวกเจ้าอย่าทำแบบนี้ได้เปล่า…” ริคส์เห็นทีท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนประเด็น “แล้วซากโบราณสถานนั่น ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อเข้าประเด็น ซิมบาดี้ก็จริงจังขึ้นมาทันที “ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งปิดล้อมพื้นที่ตรงนั้นเอาไว้แล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปโดยพลการ ตรงหน้าผาก็มีการตั้งหอสังเกตการณ์เอาไว้ น่าจะเอาไว้เพื่อป้องกันแมงป่องยักษ์ ข้าได้รับการไหว้วานจากพวกเขาให้เข้าไปในถ้ำใต้น้ำอีกครั้งตอนน้ำลด เพื่อเอากระเป๋าใส่หินกลับมา” เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ “แต่ว่าของพวกนั้นข้าให้กองทัพที่หนึ่งไปแล้ว…ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่ เจ้าทำถูกแล้ว” หลังฟังอีกฝ่ายเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นจบ ริคส์ก็ส่ายหัวเล็กน้อย “ในเมื่อกองทัพที่หนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เจ้าก็ไม่มีทางปิดบังพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถครอบครองโบราณสถานที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ อย่างเดียวที่ข้ารู้สึกเสียดายก็คือชุดดำน้ำสองชุดที่ถูกทำลายไป ต่อให้ข่าวการทดสอบชุดดำน้ำประสบความสำเร็จแพร่กระจายออกไป แต่ความน่าเชื่อถือของมันก็คงมีไม่มากเท่าไร แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะเนอะ…เพราะเจ้าทำไปเพื่อช่วยข้านี่นา”
ซิมบาดี้พูดไม่ออกไปทันที เขาย่อมต้องรู้ว่าริคส์ทุ่มเทให้กับชุดดำน้ำไปเท่าไร ชุดดำน้ำชุดหนึ่งต้องใช้เวลาครึ่งปีในการสร้างขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายถึงชุดที่สร้างสำเร็จสองชุดสุดท้ายด้วย แล้วก่อนหน้านั้นเขาต้องล้มเหลวไปแล้วกี่ครั้ง สูญเสียวัตถุดิบและเงินทองไปแล้วเท่าไร
นี่คือเป็นความเสียหายที่รุนแรงอย่างมาก
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงถามเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “หลังจากนี้…เจ้าวางแผนจะทำยังไงต่อ?”
“กลับไปฟยอร์ดก่อน จากนั้นค่อยกลับมาใหม่” ริคส์ตอบอย่างไม่ลังเล
ซิมบาดี้กับมอลลี่ตกตะลึง
“ทำไม พวกเจ้าคิดว่าข้าจะหมดกำลังใจเพราะเรื่องนี้เหรอ?” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของทั้งสองคน ริคส์จึงยิ้มขึ้นมา “ถ้าไม่มีประสบการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ข้าก็คงจะล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้วจริงๆ” เขายื่นมือออกมาก่อนจะกำไว้แน่น เหมือนกับกำลังรับรู้ถึงอะไรบางอย่างอยู่ “แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่านั่นไม่ใช่ขีดจำกัดของข้า ใช้เวลาครึ่งปีในการสร้างชุดกันน้ำแล้วยังไง เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้อะไรเลย เวลาครึ่งปีไม่ได้ถือว่ายาวนานเลย! อย่างน้อยข้าก็รู้ว่ามันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!”
“ริคส์…”
“สบายใจได้ อย่างมากสองปี ข้าจะต้องเอาชุดดำน้ำชุดใหม่กลับมาได้แน่” ริคส์พูดช้าๆ ชัดๆ “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าช่วยลงไปดำน้ำกับข้าด้วยล่ะ”
ดูเหมือนตัวเองไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย ซิมบาดี้คิดในใจ ในขณะที่เขากำลังรับปากอีกฝ่าย ประตูห้องพลันถูกเปิดออก ชายที่แต่งกายชุดทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ริคส์? ซิมบาดี้?” เขามองทั้งสองคน
“ขอรับ ไม่ทราบว่า…มีเรื่องอะไรเหรอขอรับ?” ซิมบาดี้รับทำความเคารพ
“เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้าค้นพบ เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีคำสั่งใหม่ออกมา” นายทหารพยักหน้า “ฝ่าบาททรงต้องการพบพวกเจ้า”
“ท่านจะบอกว่า ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล?”
“ชะ ชีค?”
ทั้งสองคนแสดงความตกใจออกมาพร้อมกับ พวกเขาต่างมองเห็นสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อในตาของอีกฝ่าย ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 วัน ข่าวที่ว่าสามารถเดินทางไปกลับระหว่างท่าเรือเรฟเวลรี่กับเมืองหลวงแห่งใหม่ของเกรย์คาสเซิลแล้ว อีกทั้งการเรียกเข้าเฝ้าขององค์ราชาก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางจะคิดถึงได้ ปกติแล้วหากองค์ราชาต้องการสอบถามอะไร แค่ส่งคนมาถามก็เพียงพอแล้ว การที่ถึงกับเรียกพวกเขาไปเข้าเฝ้า หรือว่าโบราณสถานที่พวกเขาค้นพบนั้นจะมีอะไรพิเศษอยู่?
“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทโรแลนด์ยังทรงส่งเรือเพื่อมารับพวกเจ้าเป็นการเฉพาะด้วย อีกประมาณสองวันหลังจากนี้น่าจะมาถึงท่าเรือเรฟเวลรี่แล้วล่ะ” นายทหารพูดยิ้มๆ “ระหว่างนี้พวกเจ้าก็พักอยู่ในค่ายทหารนี่แหละ”
…..
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
โรแลนด์นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานพร้อมกับพลิดดูรายงานที่ส่งกลับมาจากแนวหน้าในสนามรบ
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ปฏิบัติการคบเพลิงก็เรียกได้ว่าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังเข้าสู่เดือนห้า ปีศาจก็แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย รางเหล็กค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองทาคิลา เมื่อดูจากแนวโน้มในตอนนี้ อย่างมากกลางเดือนหก ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็จะอยู่ในขอบเขตการโจมตีของกองทัพที่หนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าเร็วกว่ากำหนดการที่วางเอาไว้ในตอนแรกอยู่สิบกว่าวัน
เห็นๆ อยู่ว่าการบุกเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ภายในใจโรแลนด์กลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเท่าไร
อีกฝ่ายคือปีศาจ เป็นศัตรูคู่แค้นของมนุษย์ อีกทั้งยังเอาชนะมนุษย์ได้ในสงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งแรก ทำเอามนุษย์ต้องอพยพมาถึงมุมๆ หนึ่งของดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ตอนนี้ที่ราบลุ่มบริบูรณ์คือโล่ป้องกันสุดท้ายของมนุษย์ ขอเพียงพวกมันตั้งเสาโอเบลิสก์ได้ หมอกแดงก็จะปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป และปีศาจก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
เขาหวาดตามองไปบนแผนที่และรายงานไม่หยุด ด้วยความว่าจะหาร่องรอยอะไรบางอย่างเจอ แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร
หลังถูกลอบโจมตีในตอนกลางคืน การป้องกันของสถานีรถไฟก็ยิ่งมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น การจะทำลายค่ายทหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้นี่เป็นสถานที่ที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดศึกปะทะกัน แต่มันก็เป็นสถานที่ที่กองทัพที่หนึ่งมีความได้เปรียบมากที่สุด ถ้าศัตรูเลือกที่จะทำศึกซึ่งๆ หน้า นั่นกลับจะเป็นเรื่องดีสำหรับกองทัพที่หนึ่ง
รางเหล็กที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตรนั้นเป็นจุดที่สองที่ปีศาจโจมตี ความจริงแล้วนี่เป็นสถานที่ที่ในรายงานแจ้งว่าเกิดการปะทะกับปีศาจบ่อยครั้ง ตอนนี้มีการปะทะรวมแล้วมากกว่า 42 ครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะรายงานเหล่านี้ เขาคงจะนึกว่าศัตรูถอนกำลังออกจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไปแล้ว แต่เมื่อมีปืนกลของรถไฟหุ้มเกราะคอยคุ้มครองและแม่มดคอยซ่อมแซมรางรถไฟอย่างรวดเร็ว การจะทำลายการขนส่งเสบียงและอาวุธนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พูดอีกอย่างก็คือปฏิบัติการคบเพลิงนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ หลังแบล็คริเวอร์หมายเลขสามลงไปประจำการแล้ว เกรงว่าแม้แต่รายงานอสูรสยองมาคอยก่อกวนก็คงจะไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร
ส่วนสถานที่สุดท้ายที่มีโอกาสจะถูกโจมตีก็คือสถานีปลายทางในป่า ซึ่งตามหลักแล้วมีความสำคัญน้อยที่สุด ขอเพียงลีฟไม่ไปสู้กับปีศาจ ปีศาจก็แทบจะทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะว่าตรงนั้นอยู่ห่างจากเส้นทางส่งหมอกแดงอย่างมาก หน่วยจู่โจมเล็กๆ ของศัตรูไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้กับการทำงานตรงสถานีได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณรอบๆ สถานีก็ถูกเผาไปแล้วครั้งหนึ่ง การจะใช้แผนเดิมนั้นเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากแนวรบขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ไลต์นิ่งเองก็สามารถไปสอดแนมดูสถานการณ์ตรงซากเมืองทาคิลาได้แล้ว จนถึงตอนนี้ ปีศาจยังไม่มีทีท่าว่าจะส่งกำลังเข้ามาเพิ่ม เมื่อมองลงไปจากท้องฟ้า แม้แต่สายส่งหมอกแดงที่อยู่ด้านหลังก็น้อยลงไปมาก
หลักฐานทุกอย่างกำลังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังจะได้รับชัยชนะในศึกทางเหนือ แล้วก็มีโอกาสที่จะขับไล่ปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะปรากฏ
…………………………………………………….