ตอนที่ 1127 เตรียมทำศึก โดย Ink Stone_Fantasy
โรแลนด์วางรายงานลง เขาอดนึกถึงข้อมูลที่คาบราดาบีเผยออกมาไม่ได้
ศัตรูจากอาณาจักรซีสกาย
หรือเป็นเพราะปีศาจได้รับแรงกดดันจากอีกด้านหนึ่งมากไป ก็เลยทำให้พวกไม่สามารถทุ่มกำลังรบในที่ราบลุ่มบริบูรณ์อย่างเต็มที่ได้?
ทีมที่ปรึกษาเองก็มีแนวโน้มว่าจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะไม่ว่าพวกมันจะแอบวางแผนใช้ลูกไม้อะไร สุดท้ายสิ่งที่จะเป็นการตัดสินชัยชนะในสงครามก็ยังเป็นการปะทะกันซึ่งๆ หน้า
ถึงแม้ผู้พิฆาตเวทมนตร์จะบุกมาเล่นงานลีฟถึงในสถานีปลายทางในป่าจนลีฟรับมือไม่ทัน แต่นั่นก็เป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความสามารถและร่องรอยของมัน ถึงแม้มันจะอยู่นอกขอบเขตการมองเห็นของดวงตาแห่งเวทมนตร์ และไอจากพลังเวทมนตร์ก็ยังรุนแรงจนซิลเวียสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ ‘ดวงดาวสีแดง’ ดวงนั้นยังคงอยู่ในซากเมืองทาคิลา ทันทีที่มันมีความเคลื่อนไหว ซิลเวียก็จะรับรู้ได้ทันที
พูดง่ายๆ ก็คือปีศาจที่ยึดทาคิลาอยู่ในตอนนี้ได้เผยไพ่ตายออกมาหมดแล้ว ส่วนเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นยังคงเพิ่มเบี้ยใหม่ๆ เข้าไป
เมื่อมีเสบียงและเงินที่เพียงพอ สำนักบริหารก็ทำงานการขยายขนาดกองทัพอีกครั้ง และการเกณฑ์ทหารครั้งนี้ก็ขยายขอบเขตไปทั่วทั้งอาณาจักร หลังจากการบริหารงานของเกรย์คาสเซิลถูกรวมเป็นหนึ่งเดียว ความสามารถในการระดมพลก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่บารอฟคำนวณเอาไว้คร่าวๆ แต่ละที่จะสามารถเกณฑ์ทหารมาได้มากกว่า 5,000 คน ซึ่งนี่เป็นจำนวนที่เท่ากับกองทัพที่หนึ่งเมื่อสองปีก่อน
คนที่ดูมีความกระตือรือร้นมากที่สุดเห็นจะเป็นคาลวิน เคนท์ที่ดูแลพื้นที่ทางเหนือ
เอาไว้เมื่อไรที่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานเมืองระดับเขตฝึกฝนขึ้นมามีความชำนาญจนสามารถดูแลพื้นที่ของตัวเองได้แล้ว จำนวนคนที่เกณฑ์มาได้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ทางด้านอาวุธ ปืนยาวระบบลูกเลื่อนกำลังเข้ามาแทนที่ปืนยาวลูกโม่ ผลพวงจากการที่จำนวนคนงานที่มีความช่ำชองในการผลิตมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ทำให้ปืนยาวที่จะทำการเปลี่ยนให้ทหารใหม่นี้มีความใกล้เคียงกับอาวุธที่อยู่ในมือของหน่วยแม่นปืน จะต่างกันก็เพียงไม่มีกล้องเล็งเท่านั้น
ถึงแม้ปืนยาวลูกโม่จะสามารถยิงได้เร็ว แต่ด้วยโครงสร้างของตัวมันทำให้มันมีความเร็วเริ่มต้นที่ต่ำ ระยะยิงสั้น ความแม่นยำน้อย ถ้าใช้จัดการกับพวกขุนนางอัศวินยังพอได้อยู่ แต่ถ้าเอาไปสู้กับปีศาจคุ้มคลั่งที่สามารถปาหอกได้ไกล 100 – 200 เมตรนั้นดูจะค่อนข้างเสียเปรียบไปหน่อย ซึ่งปืนยาวระบบลูกเลื่อนจะเข้ามาชดเชยในจุดนี้และทำให้ทหารมีความได้เปรียบได้เรื่องระยะทาง
ส่วนปืนยิงระเบิด RPG ที่เอาไว้สู้กับปีศาจระดับสูงและปีศาจแมงมุมเองก็เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตเป็นจำนวนมากแล้ว อาวุธที่มีโครงสร้างเรียบง่าย ใช้วัสดุราคาถูกแบบนี้ไม่มีปัญหาใดๆ ในเรื่องเทคโนโลยีการผลิต ในอีกแง่หนึ่งมันถือว่าผลิตได้ง่ายกว่ากระสุนปืนด้วยซ้ำ เมื่อดูจากความเร็วในการผลิตตอนนี้แล้ว มันสามารถผลิตได้ทันใช้ในศึกตัดสินในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้แน่นอน
ถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะไม่มีการฝึกฝนการใช้อาวุธชนิดนี้ แต่การควบคุมได้ง่ายนั้นก็คือจุดเด่นของปืนยิงระเบิด RPG ไม่เหมือนทหารหน่วยปืนใหญ่ที่ต้องได้รับการฝึกฝนถึงจะสามารถใช้ปืนใหญ่ได้ ตามประวัติศาสตร์แล้ว อาวุธชนิดนี้ก็ถูกเอาไปใช้ในสนามรบเลย โดยให้ทหารไปฝึกฝนและเก็บประสบการณ์กันเองให้สนามรบเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้gรแลนด์จึงไม่กังวลปัญหาเรื่องนี้นัก
ในทางกลับกัน ปีศาจที่อยู่ในทาคิลากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรนัก อกาธากับฟิลลิสวิเคราะห์ว่าศัตรูมีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 5,000 ตัวโดยดูจากเส้นทางส่งหมอกแดง สำหรับสมาพันธ์เมื่อ 400 ปีก่อนแล้ว บางทีนี่อาจจะมากพอให้เรียกได้ว่าเป็นศึกใหญ่ แต่สำหรับกองทัพที่หนึ่ง ปีศาจจำนวนเท่านี้ไม่ได้ถือว่าน่ากลัวเท่าไร
เนื่องจากศัตรูจำเป็นต้องใช้หมอกแดงในการดำรงชีวิต พวกมันจึงยากที่จะปิดบังหรือหลอกเรื่องความสามารถของพวกมันได้
ซึ่งนี่ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ทีมที่ปรึกษาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์
บอกตามตรง โรแลนด์เองก็เชื่อในการวิเคราะห์นี้เหมือนกัน การจะไปมัวจินตนาการว่าศัตรูอ่อนแอหรือแข็งแกร่งนั้นไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือไม่ไปบัญชาการส่งเดช ปล่อยให้คนที่เชี่ยวชาญกว่าเป็นคนรับผิดชอบแนวหน้าในสนามรบแทน
คงจะเป็นเพราะตัวเองนั้นไม่ใช่คนที่จะเป็นแม่ทัพได้จริงๆ ถึงได้เกิดความรู้สึกกังวลแบบนี้ขึ้นในใจ เขาคิดเยาะเย้ยตัวเอง
ในเมื่อมองไม่เห็นปัญหา อย่างนั้นก็อย่าเดาดีกว่า เอาไว้ถึงวันที่ทำศึกตัดสิน ทุกอย่างมันก็จะปรากฏออกมาเอง โรแลนด์ถอนใจออกมา ในขณะที่กำลังจะนวดศีรษะที่เมื่อยล้าของตัวเอง มือคู่หนึ่งก็มากดอยู่ตรงขมับแล้ว แรงที่กดลงมากำลังดี ไม่หนักไปไม่เบาไป
เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก
ไม่จำเป็นต้องสั่งการ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นี่คือความรู้ใจที่เกิดขึ้นจากการอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาสี่ปี แล้วก็เป็นสิ่งยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำศึกอยู่เพียงคนเดียว
เมื่อก่อนเขามักจะคิดเพ้อฝันว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองได้กลายเป็นผู้ปกครองที่เอาแต่กินนอนเที่ยวทั้งวัน แต่พอมาถึงจุดนี้จริงๆ เวลาทำงานในแต่ละวันกลับไม่ได้ลดลงเลย ทุกวันเขาต้องทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมง แม้แต่การนอนก็กลายเป็นงานอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยบ่นเรื่องงาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่เคยหยุดทำมัน
นั่นเป็นเพราะเขากำลังก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำเป้าหมายให้กลายเป็นจริง
และนั่นก็เป็นความฝันของหลายๆ คนด้วยเหมือนกัน
หลังหลับตาผ่อนคลายอยู่ครู่ โรแลนด์ก็เลื่อนสายตาไปยังรายงานอีกฉบับที่อยู่บนโต๊ะ
การค้นพบเกี่ยวกับแมงป่องยักษ์หุ้มเกราะและซากโบราณสถานลึกลับ
ถึงแม้เรื่องนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่เศษวัตถุโบราณที่แนบมาพร้อมกับจดหมายก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
รายงานฉบับนี้เรียกได้ว่าทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก เมื่อดูจากภาพที่อยู่บนผนังในวิหารต้องสาป การที่จะมีร่องรอยอารยธรรมโบราณอยู่ในแหลมเอนด์เลสนั้นไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลก ที่น่าแปลกก็คือการที่ค้นพบมันได้เร็วขนาดนี้
กำแพงแผ่นศิลาที่อยู่ในถ้ำใต้ทะเลนั้นทำให้เขานึกไปถึงซากศพของมนุษย์ไม้ขีดที่กองพะเนินเป็นเหมือนภูเขา ถ้าอีกฝ่ายเป็นอารยธรรมเมื่อพันปีก่อนจริงๆ มันก็น่าจะกลายเป็นฝุ่นไปหมดแล้ว และในฐานะที่เป็นผู้พ่ายแพ้ก็ยิ่งไม่น่าจะมีใครมาทำป้ายหลุมศพให้ อย่างนั้นทำไมถึงมีวัตถุที่เหมือนแผ่นศิลาเยอะขนาดนี้ นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ
ตัวอย่างแผ่นศิลาที่ได้รับมาในตอนนี้ เขาได้ส่งให้เซลีนไปตรวขสอบเรื่องความปลอดภัยแล้ว เพราะว่าศัตรูที่สำคัญที่สุดของพวกมันก็คือเผ่ากัมมันตรังสี ในเรื่องความปลอดจึงไม่อาจประมาทได้
นอกจากนี้ ตัวคนที่เป็นคนค้นพบก็ยังน่าสนใจอย่างมาก อีกฝ่ายไม่ได้เป็นพ่อค้าชาวฟยอร์ดหรือว่านักสำรวจ หากแต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมของแปลก
เขายังไม่ลืมเรื่องของคนที่สละชีวิตเพื่อการบินที่มาร์จอรีเล่าให้ฟัง
ด้วยเหตุหลังได้รับแจ้งเรื่องนี้มา โรแลนด์จึงสั่งการให้ทหารที่ประจำอยู่ที่ท่าเรือเรฟเวลรี่พาตัวสองคนนี้มาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ทันที
เขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้จริง
ส่วนเรื่องแมงป่องยักษ์หุ้มเกราะกลับเป็นส่วนที่ไม่สำคัญที่สุดในรายงาน มันมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นแค่สัตว์อสูรพันธุ์ผสมตัวหนึ่ง มันถึงได้มีเติบโตจนมีขนาดใหญ่อย่างนี้ ในเมื่อเขาได้รับตำแหน่งชีคมาจากการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว การเอามันไปบูชายัญแก่สามเทพจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริง ดังนั้นมอบหมายให้กองทัพที่หนึ่งที่อยู่ในพื้นที่เป็นจัดการก็พอ
ทันใดนั้นเอง นอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงประตูเกิดออก
“ผลการทดสอบออกมาแล้วเหรอ? เอามาให้ข้าดู…” โรแลนด์เงยหน้าขึ้นมา แต่คำพูดครึ่งหลังกลับติดอยู่ในลำคอ เดิมเขาคิดว่าคนที่มาคือองครักษ์ที่เอาผลการทดสอบจากเซลีนมาให้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่มากลับเป็นทิลลี วิมเบิลดัน ยิ่งไปกว่านั้นคิ้วของเธอยังขมวดขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูแล้วไม่ค่อยดีซักเท่าไร
“เอ่อ…” ทันใดนั้นเอง โรแลนด์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอมาทำไม “ข้ามีเครื่องดื่มยุ่งเหยิงที่ทำออกมาใหม่อยู่สองสามขวด เจ้าอยากลองดูไหม…”
“ฝ่าบาท…แผนนี้เคยใช้ไปแล้วเพคะ” ไนติงเกลกระซิบข้างหูเขา
“ไม่ลอง!” ทิลลีเดินขึ้นมาที่หน้าโต๊ะทำงาน สองมือตบไปบนโต๊ะอย่างแรง ร่างกายเธอโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อยเหมือนพยายามจะใช้ท่าทางดุร้ายมาชดเชยส่วนสูงที่มีไม่พอของเธอ “ท่านบอกว่าอีกครึ่งเดือนจะให้เครื่องบินต้นแบบที่บินได้กับข้า ตอนนี้มันผ่านมานานเท่าไรแล้ว?” เธอเขย่งเท้าขึ้นมาแล้วถามช้าๆ ชัดๆ ว่า”ท่านพี่ เครื่องบินที่ข้าต้องการล่ะ?”
………………………………………………………………..