ความเมตตาบางอย่างไม่สามารถตอบแทนด้วยคำพูดเพียงแค่ขอบคุณเท่านั้น

       หลิน ชูจิ่ว เปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอที่โรงเตี้ยมและจากไป ความเร็วของเธอนั้นเร็วมากราวกับว่ามีสุนัขกำลังไล่ตามเธออยู่

       หลิน ชูจิ่วกลัวที่จะเดินอย่างช้า ๆ และพบกับผู้ป่วยรายอื่นๆ เธอยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เธอต้องการจะทำ และเธอก็ไม่ใช่พระแม่มารี

       แม้ว่าหลิน ชูจิ่ว จะเดินเร็วแค่ไหน เธอก็ยังคงพบป้าที่ขาแพลงอยู่บนถนน ระบบการแพทย์เรียกร้องให้เธอช่วยป้าคนนั้น ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงช่วยป้าพันแผลที่ขาของนางอย่างช่วยไม่ได้

       หลังจากป้าคนนั้นขอบคุณเธอซ้ำๆ แล้ว หลิน ชูจิ่วก็ยิ้มและจากไป……

       วันนี้เธอจะรอดไหม!

       ครั้งล่าสุดที่เธอออกไปข้างนอก เธอกลับไม่ได้พบกับผู้ป่วยคนไหน ดังนั้นทำไมวันนี้เธอจึงโชคร้ายเช่นนี้ ทำไมเธอถึงต้องพบกับผู้ป่วยอยู่เรื่อยๆ?

       เป็นเพราะเธออยู่แต่ในรถม้าหรือ?

       หรือมันจะเป็นนั้น เพราะก่อนหน้าที่เธอนั่งอยู่ในรถม้า ระบบการแพทย์ไม่ได้ส่งการเตือนเรื่องน้องชายของโจว เหอต่อเธอ จนกระทั่งเธอก้าวออกมานอกรถม้า หมายความว่ารถม้ามีวัสดุพิเศษบางอย่างที่สามารถปิดกั้นสัญญาณของระบบการแพทย์ได้ใช่ไหม?

       ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ดี เธอจะได้อยู่แต่ในรถม้า ไม่กล้าออกไปข้างนอกอีกแล้ว

       ดี ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปและลองดู

“หวางเฟย ข้างหน้าคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังขอรับ” เมื่อหทารคุ้มกันเห็น หลิน ชูจิ่วดูเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจกับโลกบัจจุปัน เขาจึงเตือนนางขึ้น

“ โอ้…” เมื่อมองไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ที่อยู่ไม่ไกล สายตาของ หลิน ชูจิ่ว ก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เธอเองก็เติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เป็นในยุคที่แตกต่างออกไป

       อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอเข้าใกล้ หลิน ชูจิ่วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ ถ้าฟังให้ดีเธอจะสามารถได้ยินมากกว่าเสียงเดียว  

       ไม่มีใครเป็นผู้ดูแลหรือ?

       หัวคิ้วของหลิน ชูจิ่วขมวดขึ้นเล็กน้อย  ทหารคุ้มกันมองดู หลิน ชูจิ่วอย่างเงียบ ๆ เขารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นเช่นนี้ในหัวใจของเขา

       นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครอยู่ใกล้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง และพวกเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ

       เด็ก ๆ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง จะร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน จึงไม่มีใครกล้ามาอาศัยอยู่

       ทหารคุ้มกันเฝ้ารอให้หลิน ชูจิ่วกลับเข้าไปในรถม้า อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิน ชูจิ่ว จะไม่เพียงแต่เดินต่อไป แต่ยังก้าวเข้าสู่ภายในอีกด้วย …

       ทันทีที่ หลิน ชูจิ่ว ก้าวเข้ามาข้างใน ทันใดนั้นเธอก็ร้องตะโกนขึ้นและแตะหัวของเธอ“ อ่า……เจ็บ!”

“ หวางเฟย เกิดอะไรขึ้นขอรับ?” ทหารคุ้มกันถามขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของหลิน ชูจิ่ว แต่หลิน ชูจิ่ว ไม่มีเวลาให้ความสนใจกับทหารคุ้มกันในเวลานี้ เพราะ……

       ในหัวของเธอ การแจ้งเตือนของระบบการแพทย์ได้โผล่ออกมาเรื่อยๆ มันไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย

“อ่า ช่วยด้วย!” หลิน ชูจิ่ว อยากจะร้องขอความช่วยเหลือ เธอต้องการให้ระบบการแพทย์ปล่อยเธอไป

       การแจ้งเตือนที่รุนแรงเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ทรมานเธอจริง ๆ แต่เธอก็ไม่สามารถควบคุมมันได้

       แน่นอน ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปจะสามารถมีมนุษยธรรมได้อย่างไร  

“ หวางเฟย ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ” ทหารคุ้มกันถามด้วยความกังวล แต่เขาไม่กล้าแตะต้องหลิน ชูจิ่ว

“ ข้าตายไม่ได้……” หลิน ชูจิ่วกัดฟันของเธอและหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง

       หลังจากหนึ่งก้านธูปผ่านไป ในที่สุดระบบการแพทย์ก็หยุดแจ้งเตื่อนในหัวของเธอ แต่ให้รายชื่อผู้ป่วยจำนวนมากที่จำเป็นต้องได้รับการรักษามาแทน

       ผู้ป่วย …

       ใช่ ทันทีที่หลิน ชูจิ่ว ก้าวเข้ามาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ระบบการแพทย์คงจะได้รับสัญญาณความทุกข์มากมาย พวกมันทั้งหมดมาจากเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง  

“ เข้าไปข้างในแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น” หลิน ชูจิ่วชี้นิ้วของเธอไปที่ที่มีเสียงร้องไห้อันทรงพลังดังออกมา

“ขอรับ” ทหารคุ้มกันรู้ว่าหลิน ชูจิ่วถูกจับตามองโดยองครักษ์เงาที่มากับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงเข้าไปข้างในได้อย่างไร้กังวล

       ด้านในมีเพียงห้องโถงอยู่ห้องเดียวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง และมีอีกสองห้องจากทางด้านซ้ายและด้านขวา เมื่อทหารคุ้มกันเปิดประตูเข้ามา กลิ่นเหม็นในอากาศก็ลอยเข้ามา มันเกือบจะฆ่าเขาในทันที

       เมื่อหทารคุ้มกันปรับตัวเข้ากับกลิ่นได้ ในที่สุดเขาก็ระงับลมหายใจของเขาและเข้าไปข้างใน แต่แล้วเขาก็เห็น …