ตอนที่ 643 ตอบรับ

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 643

ตอบรับ

เปรี้ยง!!

ร่างของเจ้าสำนักภูผาปรี่เข้ามาหาหนี่หลิงหนานก่อนเป็นคนแรก แม้เจ้าสำนักภูผาจะมีพลังเหนือกว่าหนี่หลิงหนานและฟงเป่าเสียอีก แต่ท่าก้าวของมันธรรมดามาก แทบจะไม่ต่างจากการวิ่งเข้ามาหาเฉยๆเลย

“………”หนี่หลิงหนานเอี้ยวตัวหลบกำปั้นของเจ้าสำนักภูผาด้วยท่าทีงุนงง หมัดที่เจ้าสำนักภูผาต่อยออกมานั้นทื่อมาก แม้จะมีกำลังรุนแรงแต่ก็ทื่อจนมองออกตั้งแต่ยังไม่ทันปล่อยหมัด หนี่หลิงหนานที่ได้เข้าร่วมการประลองของสำนักเกราะทองรวมถึงได้สู้กับอสูรหลากหลายชนิดที่มีทั้งความเร็วและความเจ้าเล่ห์มากกว่านี้นั้นย่อมสามารถหลบได้สบาย

“หมัดสะท้านภพ!!”อยู่ๆเจ้าสำนักภูผาก็ตะโกนออกมาทำเอาหนี่หลิงหนานที่เป็นเป้าหมายของกระบวนท่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เอาจริงงั้นหรือ นี่มันกำลังตะโกนท่าโจมตีอยู่งั้นหรือ…..

“ตายซะ”เจ้าสำนักภูผาเหวี่ยงหมัดไปมาด้วยกำลังเต็มที่ ไร้ทักษะการออกหมัด ไร้ชั้นเชิง หนี่หลิงหนานแค่ก้าวถอยมาทีละนิดๆก็หลบได้สบายโดยไม่ต้องกังวลเสียด้วยซ้ำ

“……”ฟงเป่าที่มองอยู่ด้านหลังตอนแรกก็จะเข้าไปช่วยหนี่หลิงหนานอยู่หรอก แต่ยิ่งมองก็ยิ่งไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี แม้พลังจะเหนือกว่าแต่เจ้าสำนักภูผาเหวี่ยงหมัดอย่างกับเด็ก แบบนี้ต่อให้หนี่หลิงหนานพลังวิญญาณด้อยกว่านี้ก็ยังหลบได้สบายเลย แต่ที่ทำเอาฟงเป่าสงสัยคือสำนักพิณอินสู้เจ้าหมอนี่ไม่ได้จริงๆงั้นหรือ…..

เปรี้ยง!!

หนี่หลิงหนานหลบการโจมตีจนรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วก็เริ่มเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง กระบี่ของนางแทงใส่ร่างของเจ้าสำนักภูผาไปหลายครั้งสร้างรอยแผลให้หลายจุด พลังคุ้มกันของคนระดับเสินเซียนนั้นแข็งแกร่งจริงๆแม้จะไม่มีวิชาปกป้องร่างกาย แต่ก็ฟันได้ยากลำบากมาก

“เป็นไงล่ะ ร่างอมตะของข้า”พอโดนหนี่หลิงหนานฟันเข้าไปจนได้เลือด เจ้าสำนักภูผากลับพูดราวกับตนไม่เจ็บไม่คันเสียอย่างนั้น ทำเอาหนี่หลิงหนานเหนื่อยใจยิ่งกว่าเหนื่อยกายเสียอีก เจ้านี่มันก็แค่เจ้าคนขี้โม้เท่านั้นเองนี่นา

“พี่มิ่ง”หากเป็นแบบนี้ต่อไปไม่นานหนี่หลิงหนานต้องสามารถจัดการเจ้าสำนักภูผาได้แน่ แต่แบบนั้นกลัวว่าหนี่หลิงหนานจะหมดพลังใจไปก่อน สุดท้ายหนี่หลิงหนานเลยตัดสินใจจะจบการต่อสู้ให้ไวที่สุดด้วยการยืมแรงพี่หมิงมิ่งนั่นเอง

เปรี้ยง!

ทันทีที่หนี่หลิงหนานทาบฝ่ามือที่หมิงมิ่งซ่อนตัวอยู่ลงไปบนอกของเจ้าสำนักภูผา ร่างของเจ้าสำนักภูผาก็กระเด็นไปกระแทกกำแพงสำนักต่อหน้าต่อตาชาวเมืองรอบๆทำเอาชาวเมืองที่คิดว่าเจ้าสำนักภูผาคือยอดคนแห่งอาณาจักรซานพากันมองตาค้างด้วยความตกใจ แถมคนที่สามารถล้มเจ้าสำนักภูผาได้ยังเป็นสตรีอีกต่างหาก เรื่องนั้นทำให้ชาวเมืองยิ่งอึ้งกันหนักกว่าเดิมเสียอีก

“บอกเจ้าสำนักของเจ้าด้วยว่าห้ามมายุ่งกับสำนักพิณอินอีก ไม่อย่างนั้นอาจารย์ของข้าจะเป็นคนมาจัดการเอง”หนี่หลิงหนานพูดพลางยิ้มออกมาบางๆเหมือนจะบอกว่าตนเองไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดของสำนักเสียด้วยซ้ำ ทำเอาเหล่าศิษย์สำนักภูผาพากันพยักหน้าตอบรับโดยไม่กล้าต่อปากต่อคำอะไร

“ฟงเป่าพวกเราไปกันเถอะ”หนี่หลิงหนานเห็นเรื่องน่าจะจบแล้วก็ชวนฟงเป่ากลับสำนักพิณอินเพื่อทำธุระที่เหลือให้เสร็จ เพราะนอกจากรับสำนักพิณอินเข้าเป็นสำนักย่อยแล้วหนี่หลิงหนานยังต้องรับตัวบุตรสาวเจ้าสำนักกิ่งจันทร์อย่างหานซินปิงกลับสำนักอีก

.

.

“ท่านเจ้าสำนัก องค์รัชทายาทฝากจดหมายมาถามท่านว่าท่านจะเข้าร่วมงานวิจารณ์กระบี่หรือไม่ขอรับ”ขณะเดียวกันที่เมืองหลวง หลินเฟย อาทู้ และ เซี่ยจินเย่ที่กลับมาด้วยการขี่หลังมังกรนั้นมาถึงสำนักตั้งนานแล้ว และพอทราบว่าหลินเฟยหายจากอาการบาดเจ็บแล้วผานซูก็เอางานที่ค้างคามาให้หลินเฟยทันที เพราะมีงานหลายอย่างที่ผานซูไม่มีอำนาจทำเอง จำเป็นต้องให้หลินเฟยตัดสินใจทั้งสิ้น

“ไม่ใช่ว่าเราโดนถอดสิทธิ์แล้วหรือ”หลินเฟยถามด้วยท่าทีประหลาดใจ เพราะเรื่องของสำนักหมู่ดาวสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเลยโดนตัดสิทธิ์เข้าร่วมประลอง หลินเฟยก็เลยเข้าใจว่าไม่ต้องไปเสียอีก

“ถึงจะไม่ได้เข้าร่วมประลอง แต่ทุกสำนักก็เข้ามารับชมนะขอรับ แถมสำนักอื่นๆยังแสดงฝีมือกันเต็มที่ด้วย ข้าคิดว่าท่านควรจะให้พวกลูกศิษย์ไปเปิดหูเปิดตานะขอรับ”ผานซูตอบด้วยท่าทีจริงจัง เพราะงานวิจารณ์กระบี่นั้นเป็นการศึกษาที่ดีมาก นอกจากจะเป็นการประลองจัดอันดับแล้ว ยังมีการถกเถียงวรยุทธเพื่อพัฒนาระดับฝีมืออีกต่างหาก แม้ไม่ได้ลงประลอง แต่แค่ไปชมก็ได้อะไรมามากมายแล้ว

“งั้นก็ได้ ตอบรับคำเชิญขององค์รัชทายาทไปแล้วกัน”หลินเฟยตอบพลางถอนหายใจออกมา ไม่นึกเลยว่าช่วงที่ตนแอบไปจับอสูรกลับมาจะมีจดหมายมาเยอะขนาดนี้

วี๊ดดดดดด

ระหว่างกำลังตรวจงานอยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงราวกับลูกธนูที่กำลังกรีดผ่านอากาศด้วยความเร็วสูงดังขึ้นพร้อมเงาสีแดงเพลิงที่พุ่งตกลงมาบนโต๊ะของหลินเฟยเข้าพอดี

“ธนูเพลิง!!”ผานซูเห็นเช่นนั้นก็ตกใจอย่างมากนึกว่าเป็นการโจมตีจากภายนอก ขณะกำลังจะใช้วิชาควบคุมเพลิงดับไฟอยู่นั้น หลินเฟยก็ยกมือขึ้นมาห้ามเสียก่อน

“ไม่ต้องตกใจหรอก”หลินเฟยถอนหายใจออกมาพลางมองเจ้านกตัวสีแดงเพลิงที่ทำหน้าตาน่าเอ็นดูอยู่บนโต๊ะ อสูรปักษาตนนี้ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่แล้วเพราะในอาณาจักรไป๋เริ่มลดการส่งจดหมายกันไปเพราะโทรศัพท์ แต่ที่อาณาจักรซานไม่มีสัญญาณทำให้ต้องส่งจดหมายด้วยอสูรเช่นนี้เท่านั้น

“ขอบใจมาก เจ้ากลับไปได้แล้ว”หลินเฟยนำจดหมายที่ผูกไว้กับอสูรปักษาออก ก่อนจะปล่อยให้มันบินกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับศรสีแดงเช่นเดิม ท่าทางชิวซุยจะกลับถึงบ้านแล้ว แถมยังเอาเรื่องที่หลินเฟยขอไปบอกท่าตาแล้วด้วยเพราะในจดหมายเขียนรายชื่อวิชาที่หลินเฟยสามารถเอามาสอนศิษย์ได้ทั้งหมดเอาไว้ ส่วนใหญ่วิชาประจำตัวของคนตระกูลไป๋ไม่สามารถถ่ายทอดได้ แต่วิชาลมปราณมังกรที่แต่เดิมไป๋จูเหวินก็ได้รับมาจากผู้อื่นนั้นสามารถถ่ายทอดได้ รวมถึงวิชาต่อสู้ที่หลินเฟยได้รับโดยตรงจากพวกท่านตาอสูรและท่านน้าหญิงเหล่าคนรักของจูล่งอีกด้วย

“ผานซู เราพักกันก่อนเถอะ ข้าจะไปพบศิษย์ของข้าหน่อย”หลินเฟยว่าพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปที่ลานฝึกหน้าจวนเจ้าสำนัก

“ไม่ได้ ตรงนี้เจ้าต้องผูกปมเอาไว้นะ”ขณะเดินมาที่ลานฝึก หลินเฟยนึกว่าพวกนางกำลังตั้งใจฝึกฝนวิชาตามปกติเสียอีก แต่เมื่อเข้าไปใกล้หลินเฟยก็พบว่าอาทู้กำลังพยายามสวมเสื้อให้เด็กชายคนหนึ่งอย่างตั้งใจส่วนเซี่ยจินเย่นั้นก็กำลังเลือกชุดที่จะสวมให้เด็กชายชุดต่อไปด้วยท่าทีมีความสุขเสียอย่างนั้น

“พวกเจ้า….ทำอะไรกัน”หลินเฟยถามพลางมองไปทางเด็กชายที่กำลังโดนอาทู้จับแต่งตัว

“อาจารย์…..พวกข้ากำลังสอนจางจินแต่งตัวอยู่เจ้าค่ะ”อาทู้ตอบพลางถอยออกมาจากเด็กชายช้าๆ จางจินผู้นี้คือองค์ชายมังกรที่หลินเฟยยืมตัวมานั่นเอง ท่าทางมันจะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว

“งั้นหรือ…..”หลินเฟยมองไปที่จางจินครู่หนึ่ง นี่พวกนางไปหาซื้อชุดเด็กมาตอนไหนกัน

“นี่พวกนางฝืนใจเจ้าหรือเปล่า ถ้าเจ้าไม่อยากทำแบบนี้ก็บอกข้าได้นะ”หลินเฟยก้มตัวไปถามจางจินด้วยท่าทีเห็นใจ เหยื่อที่โดนพวกสาวๆจับแต่งตัวนั้นมีให้เห็นบ่อยๆเลยสินะ

“ไม่หรอกขอรับ ข้าแปลงร่างโดยมีชุดอยู่ไม่ได้ พวกพี่ๆก็เลยหาชุดมาให้ข้า”จางจินตอบพลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้หลินเฟยมองชุดของตนเอง แม้จะแต่งไม่ค่อยเรียบร้อยดีนักแต่อย่างน้อยมันก็เป็นชุดผู้ชายล่ะนะ

“ดีแล้ว ถ้าพวกนางทำให้เจ้าไม่พอใจก็มาฟ้องข้าได้เสมอเลยนะ”หลินเฟยว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีใจดี

“อาจารย์ ท่านเห็นพวกข้าเป็นคนอย่างไรกันแน่”อาทู้ทำแก้มป่องด้วยท่าทีไม่พอใจ อาจารย์คิดว่าพวกตนกำลังแกล้งจางจินหรืออย่างไร

“ข้าก็แค่พูดเผื่อเอาไว้เท่านั้นเอง พวกเจ้าไม่ทำก็ดีแล้ว”หลินเฟยหัวเราะกับท่าทีของอาทู้ก่อนจะนำจดหมายที่ชิวซุยส่งมาให้ออกมาช้าๆ

“เอาล่ะ พวกเจ้าคงจำได้สินะว่างานวิจารณ์กระบี่กำลังจะเริ่มแล้ว”หลินเฟยกระแอมกระไอเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเรื่อง

“เจ้าค่ะ แต่พวกเราไม่ได้เข้าร่วมไม่ใช่หรือเจ้าคะ”อาทู้ถามด้วยท่าทีงงๆ เพราะตนเองนี่ล่ะคือสาเหตุที่ทำให้สำนักไม่ได้เข้าร่วมงานวิจารณ์กระบี่

“ปีนี้เราจะไปดูฝีมือของสำนักอื่นๆกัน และปีหน้าเราก็จะได้ลงประลองกับพวกนั้น”หลินเฟยว่าพลางนั่งลงที่เก้าอี้หินข้างๆลานฝึกช้าๆ

“เพราะฉะนั้นข้าคงปล่อยให้เจ้าเหลือพลังวิญญาณแค่นี้ต่อไปไม่ได้”หลินเฟยพูดพลางมองไปทางอาทู้ แม้จะฟื้นพลังได้ระดับหนึ่งแล้วแต่พลังของอาทู้ยามนี้ก็ยังไม่ถึง 1 ใน 10 ของช่วงก่อนจะโดนสลายวรยุทธเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายามฝึกฝนให้หนักขึ้น”อาทู้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าหลินเฟยต้องการให้นางฝึกฝนมากกว่าเดิมเพื่อฟื้นฟูพลังนั่นเอง

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าฝึกเอง ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝากชิวซุยไปขออนุญาตจากครอบครัวของข้าแล้ว หลังจากนี้ข้าจะมอบวิชาให้เจ้า 3 อย่าง หนึ่งคือวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณนามว่าวิชาลมปราณมังกร สองคือวิชาเยียวยาด้วยพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ และ สามคือวิชาต่อสู้ด้วยกรงเล็บมีนามว่าวิชาคว้าจับเมฆา”หลินเฟยไล่รายการวิชาที่จะสอนให้อาทู้อย่างช้าๆ แต่อาทู้ที่ได้ฟังกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าวิชาที่ตนจะได้เรียนจะมากมายเช่นนี้

“แล้วก็…”หลินเฟยพูดออกมาเบาๆก่อนจะหันกลับไปมองเซี่ยจินเย่ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

“คราวนี้ข้าไม่ลืมเจ้าหรอกนะ”ได้ยินหลินเฟยพูดเช่นนั้นเซี่ยจินเย่ก็หน้าแดงด้วยความเขินอายก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่นทันที คราวก่อนนางน้อยใจเรื่องที่หลินเฟยให้วิชาฟงเป่ากับหนี่หลิงหนานมากกว่าตนเอง

“ขอบคุณเจ้าค่ะอาจารย์”เซี่ยจินเย่ว่าพลางประสานมือคารวะหลินเฟยน้อยๆ