ตอนที่ 644
จำไม่ได้
“…จะว่าไงดีล่ะ สมกับเป็นงานประลองใหญ่จริงๆ”ฟงเป่าและหนี่หลิงหนานที่พึ่งกลับมาถึงเมืองหลวงก่อนงานวิจารณ์กระบี่จะจัดขึ้นไม่กี่วันพบว่ายามนี้ในเมืองหลวงนั้นมีคนของสำนักต่างๆเดินทางมามากมาย พอขี่ม้าผ่านตัวเมืองก็จะเห็นกลุ่มคนใส่เครื่องแบบสีเหมือนกันเต็มไปหมด
“แต่เหมือนคนจะน้อยกว่างานประลองของสำนักเกราะทองอีกนะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางมองไปรอบๆด้วยท่าทีประหลาดใจ นางได้ยินมาเสมอว่างานวิจารณ์กระบี่ถือเป็นงานใหญ่ที่จริงจังเสียยิ่งกว่างานประลองของสำนักเกราะทองเสียอีก แต่คนที่เข้ามาชมงานประลองกลับน้อยเสียเหลือเกิน
“นั่นเพราะงานวิจารณ์กระบี่เป็นการประลองลับยังไงล่ะเจ้าคะ คนที่ได้เข้าร่วมและเข้าชมมีแค่คนจากสำนักต่างๆกับขุนนางใหญ่ๆเท่านั้น ที่คนไม่มาชมกันก็เพราะไม่ได้เปิดรับให้คนนอกเข้าร่วมชมเจ้าค่ะ”เด็กสาวอายุราวๆ 9 ถึง 10 ขวบตอบขณะนั่งซ้อนท้ายม้าของหนี่หลิงหนานมาด้วย นางคือหานซินปิงบุตรสาวของหานหลิวเจ้าสำนักกิ่งจันทร์นั่นเอง แม้จะยังเป็นเด็กแต่ก่อนไปเข้าสำนักพิณอินหานซินปิงก็อยู่ตำแหน่งบุตรสาวเจ้าสำนักมาก่อน เรื่องงานวิจารณ์กระบี่นั้นนางรู้ดีกว่าพวกฟงเป่าหลายเท่าเชียวล่ะ
“ถึงจะน่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ร่วมประลอง แต่งานประลองต้องน่าสนใจมากแน่ๆ โชคดีจริงๆที่พวกเรากลับมาทัน”หนี่หลิงหนานว่าพลางขี่ม้ากลับสำนักไปด้วยท่าทีร่าเริง
กึก..
ระหว่างทางกลับสำนัก อยู่ๆฟงเป่าก็บังคับม้าให้หยุดเดินก่อนจะมองไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่มีกลุ่มคนของสำนักบางสำนักยืนอยู่ พริบตานั้นดวงตาของฟงเป่าก็เบิกกว้างก่อนจะมองไปทางคนของสำนักนั้นด้วยท่าทีตึงเครียด
“………..”ลมหายใจของฟงเป่าผิดจังหวะอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่พลังวิญญาณและพลังอสูรในร่างก็ยังปั่นป่วนจนหมิงมิ่งที่อยู่ในเสื้อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“ท่านเจ้าสำนัก”ขณะฟงเป่ากำลังหยุดมองอยู่นั้น ร่างของชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม เครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มปักลายด้วยด้ายสีฟ้าเป็นรูปกระบี่บนชั้นเมฆแบบนั้นฟงเป่าไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิตแน่ๆ คนพวกนี้คือคนของสำนักวิญญาณกระบี่สำนักอันดับ 2 ของอาณาจักรซาน ส่วนชายที่ถูกเรียกว่าเจ้าสำนักนั่นคือ หยูเจินเหอ หัวหน้าตระกูลหยูคู่แค้นของฟงเป่านั่นเอง
“ท่านลุง พวกเราไม่ได้ออกจากสำนักมาสักพักแล้ว เราไปหาร้านอาหารดีๆกันเถอะขอรับ”ชายอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมตามหลังหยูเจินเหอเดินเข้ามาพูดคุยกับหยูเจินเหอด้วยท่าทีสนิทสนม แถมยังเรียกอีกฝ่ายว่าท่านลุงอีกต่างหากทำให้ฟงเป่าหันไปมองมันแทบจะทันที และก็ได้พบว่าที่แท้มันคือหยูเซินพี่ชายของหยูต้านเจียนคนที่มาหลงรักคู่หมั้นของฟงเป่านั่นเอง แถมหยูเซินผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในคนที่บุกเข้าไปในบ้านตระกูลฟงอีกต่างหาก
“………..”ฟงเป่าเกร็งนิ้วมือนิ่งระหว่างที่พวกคนจากสำนักวิญญาณกระบี่เดินผ่านตนเอง แต่ลำพังหยูเซินก็มีระดับเสินเซียนขั้นที่ 7 แล้วฟงเป่ายามนี้ยังสู้มันไม่ได้ แต่ยิ่งมองพวกมันพลังของฟงเป่าก็ยิ่งปั่นป่วน ความรู้สึกแค้นเคืองที่กดเอาไว้นานแทบจะทะลักออกมาเสียให้ได้
“เอาเป็นร้านนั้นก็แล้วกัน”หยูเจินเหอเดินผ่านม้าของฟงเป่าไปช้าๆ แถมยังชี้ไปที่ร้านอาหารด้านหลังฟงเป่าด้วยท่าทีสบายใจไม่มีท่าทีสนใจฟงเป่าเลยแม้แต่น้อย
“……….”ฟงเป่าแม้จะทรายอยู่แล้วว่าหยูเจินเหอไม่ได้มาร่วมการสังหารตระกูลฟง แต่หยูเซินนั้นเป็นผู้นำคนเข้ามาบุกด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ แต่มันเองก็ไม่มีท่าทีสนใจฟงเป่าเลย แถมยังเดินผ่านไปเสียหน้าตาเฉยราวกับไม่รู้จักฟงเป่าเสียอย่างนั้น พริบตานั้นความรู้สึกเจ็บจี๊ดก็แล่นเข้ามาในอกของฟงเป่า เจ้าสารเลวนั่นสังหารท่านลุง ท่านป้าของฟงเป่าแล้วยังมาเดินลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้อีก แถมแม้แต่หน้าของฟงเป่ามันยังไม่คิดจะจำเสียด้วยซ้ำ…
“ฟงเป่า เจ้าเป็นอะไรไป”ระหว่างกำลังจดจ้องอยู่กับคนของสำนักวิญญาณกระบี่ หนี่หลิงหนานที่เห็นฟงเป่าไม่ตามมาก็บังคับม้าให้เดินไปหาฟงเป่าช้าๆด้วยท่าทีสงสัย
“ไม่มีอะไรขอรับ”ฟงเป่าตอบพลางบังคับม้าให้เดินไปหาหนี่หลิงหนานด้วยท่าทีเจ็บใจ ทุกวันที่ฟงเป่าซ่อนตัวในเขตอสูรไม่มีวันลืมใบหน้าของพวกมัน แต่พวกมันกลับไม่เคยนึกเสียใจเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ฟงเป่ายังทำอะไรพวกมันไม่ได้
.
.
งานวิจารณ์กระบี่ถูกจัดขึ้นที่ค่ายทหารทางเหนือของเมืองหลวงอาณาจักรซาน โดยผู้ที่สามารถเข้าไปได้นอกจากราชวงศ์และเหล่าทหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้วก็มีเพียงผู้เข้าร่วมประลองจากสำนักต่างๆเท่านั้น ทำให้ในวันเริ่มงานกลุ่มคนจากหลากหลายสำนักก็พากันเดินทางไปยังค่ายทหารทางเหนือกันอย่างพร้อมเพรียง
“ท่าทางข่าวลือจะเป็นความจริง สำนักหมู่ดาวโดนเล่นงานจนไม่เหลือยอดฝีมือเลย”ทันทีที่สำนักต่างๆมานั่งที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้รอบลานประลองภายในค่ายทหารนั้น เสียงซุบซิบนินทาก็เริ่มดังขึ้นจากบรรดาเหล่าสำนักลำดับล่างๆที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข่าวของสำนักหมู่ดาวไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่จะปิดเอาไว้ได้ เพียงแต่สำนักต่างๆกลับไม่เชื่อว่าสำนักหมู่ดาวที่เป็นถึงลำดับ 5 จะเสียท่าได้ง่ายๆจนกระทั่งได้มาเห็นกับตา
“………..”ยามนี้ที่นั่งของสำนักหมู่ดาวที่ถูกจัดเอาไว้หลายสิบที่กลับมีเพียงศิษย์ 4 คนและอาวุโสเพียงคนเดียวนั่งอู่อย่างเหงาๆ ศิษย์มีฝีมือและอาวุโสระดับยอดฝีมือไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว แบบนี้จะประลองให้ครบคู่ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
“แบบนี้สำนักเราก็ได้เลื่อนอันดับแน่ๆสิ”เสียงพูดด้วยท่าทางยินดีดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนว่าสำนักต่างๆพอทราบข่าวการล่มสลายของสำนักหมู่ดาวก็มีท่าทีดีใจกันเสียส่วนใหญ่ นั่นเพราะพอไม่มีสำนักหมู่ดาว สำนักอื่นๆก็คงได้เลื่อนขึ้นมา 1 ระดับแน่ๆ ทำให้เหล่าสำนักเล็กๆที่หวังจะเลื่อนระดับในงานวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ดีใจไม่น้อย เพราะยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับเงินสนับสนุนและความน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น ในเมืองของพวกมันไม่มีใครสนใจหรอกว่าสำนักได้เลื่อนระดับเพราะอะไร แต่เมื่อลำดับขยับขึ้นก็หมายความว่าสำนักนั้นแข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง
“ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าสำนักลิ้นมังกรได้รับบาดเจ็บจากการเข้าไปในเขตอสูรด้วยนะ แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นโอกาสทองของพวกเรางั้นหรือ”เสียงพูดคุยก่อนงานเริ่มยังคงไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของสำนักโน้นสำนักนี้
“แล้วสำนักเหยี่ยวทะเลทรายล่ะ ได้ข่าวว่าแตกหักกันภายในจนต้องเปิดรับศิษย์หญิงเข้ามาเติมให้เต็มไม่ใช่หรือ ปีนี้มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ สำนักใหญ่ๆกำลังอ่อนแอกันทั้งนั้น”แน่นอนว่าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายที่อยู่ลำดับที่ 9 นั้นก็ถูกจับตามองเช่นกัน แม้ข่าวที่ว่าหลินเฟยเป็นคนสังหารเจ้าสำนักหมู่ดาวจะยังไม่แพร่ออกไป แต่เรื่องศิษย์หญิงนั้นเป็นที่รู้กันทั่วแล้ว ไม่แปลกเลยที่จะมีข่าวลือเช่นนี้ แต่ท่าทางพวกมันคงยังไม่ทราบว่าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายไม่ได้ร่วมประลองในครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นพวกมันคงดีใจจนเนื้อเต้นแน่ๆ
“แต่อันดับ 1 ยังไงก็ต้องเป็นสำนักวิถีเซียวล่ะนะ ท่านเจ้าสำนักฝีมือร้ายกาจขนาดนั้นชาตินี้คงไม่มีใครล้มท่านได้หรอก”ชายคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทีชื่นชม
“แบบนั้นก็พูดเกินไปนะขอรับ ข้าเองยังเทียบท่านไม่ได้เลยแท้”เจ้าสำนักวิถีเซียนพูดออกมาขณะกำลังเดินร่วมกับหลินเฟยเข้าไปนั่งที่นั่งของตนเอง ที่นั่งของสำนัก 10 อันดับแรกถูกเรียงเอาไว้แถวแรกสุดรอบๆลานประลอง ทำให้สำนักเหยี่ยวทะเลทรายที่อยู่อันดับ 9 และสำนักวิถีเซียนที่อยู่อันดับ 1 อยู่ห่างกันเพียงสำนักอันดับ 10 มาขั้นกลางเท่านั้น ทำให้เจ้าสำนักวิถีเซียนไม่ลังเลที่จะมาทักทายหลินเฟยก่อนเป็นคนแรก เพราะในสายตาของผู้ใช้เนตรจิตนั้นหลินเฟยคือผู้ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดแล้ว
“ท่านเจ้าสำนักวิถีเซียนกล่าวหนักเกินไปแล้ว”หลินเฟยว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ
“ข้าได้ข่าวว่าท่านสังหารเจ้าสำนักหมู่ดาวด้วยนี่ขอรับ แบบนั้นฝีมือของท่านต้องน่ากลัวมากแน่ๆ แถมท่านเจ้าสำนักวิถีเซียนชิอิงเยี่ยยังยกยอท่านเช่นนี้ เกรงว่าตำแหน่งอันดับ 1 แห่งอาณาจักรซานจะต้องเปลี่ยนคนแล้วกระมัง”เจ้าสำนักกิ่งจันทร์สำนักลำดับ 6 ว่าพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ที่นั่งของมันจริงๆแล้วอยู่ห่างจากหลินเฟยมาก แต่เพราะบุตรสาวของมันอยู่ที่สำนักของหลินเฟย ทำให้เจ้าสำนักกิ่งจันทร์มานั่งเล่นอยู่ตรงที่นั่งของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายมาได้พักใหญ่แล้ว
“ท่านกล่าวเช่นนั้นไม่เสียมารยาทต่อท่านชิอิงเยี่ยหรือ”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาไม่คิดว่าหานหลิวจะแซวชิอิงเยี่ยต่อหน้าต่อตาเช่นนี้
“ไม่หรอกขอรับ อันดับ 1 อะไรนั่นข้าไม่ยึดติดอยู่แล้ว ต่อให้ท่านไม่ปรากฏตัวขึ้นมาก็ต้องมีใครสักคนก้าวข้ามข้าได้อยู่ดี ต่อให้เสียอันดับไปข้าก็ไม่เสียใจหรอกขอรับ”ชิอิงเยี่ยว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสุภาพ
“ท่านเจ้าสำนัก องค์จักรพรรดิจะเปิดพิธีแล้วท่านกลับไปประจำตำแหน่งเถอะขอรับ”ระหว่างกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นศิษย์คนหนึ่งจากสำนักวิถีเซียนก็เดินเข้ามาพบเจ้าสำนักของตนพลางบอกให้เจ้าสำนักของตนกลับที่นั่งของตนได้แล้ว ทำให้ทั้งชิอิงเยี่ยและหานหลิวต้องขอตัวกลับที่นั่งสำนักของตนเองไปแต่โดยดี ทำให้ฟงเป่า หนี่หลิงหนาน อาทู้ และ เซี่ยจินเย่ที่ไม่กล้าเข้ามานั่งกับหลินเฟยเพราะเกรงใจพวกเจ้าสำนักคนอื่นๆเข้ามานั่งแทนที่ในทันที
“ฟงเป่า….คนพวกนั้นคือศัตรูของเจ้าใช่หรือไม่”ทันทีที่ฟงเป่าเข้ามานั่งข้างๆหลินเฟยก็ถูกยิงคำถามใส่ทันที ตั้งแต่เริ่มงานแล้วฟงเป่าเอาแต่จดจ้องไปทางสำนักวิญญาณกระบี่ตลอดเวลา ตัวหลินเฟยที่ทราบดีว่าฟงเป่ามีความแค้นกับตระกูลหยูแทบไม่ต้องเดาเสียด้วยซ้ำ
“ขอรับ….ในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่บุกเข้าไปในบ้านของข้าอยู่หลายคนเลย”ฟงเป่าว่าพลางกำหมัดแน่น ไม่ใช่แค่หยูเซิน เพราะคนของสำนักวิญญาณกระบี่หลายคนเหมือนกันที่ติดตามหยูเซินไปเล่นงานครอบครัวของฟงเป่า
“ดี การประลองในวันนี้เจ้าจงดูพวกมันเอาไว้ และจดจำกระบวนท่าของพวกมันให้หมด มันจะต้องมีประโยชน์ต่อการล้างแค้นของเจ้าในอนาคตแน่ๆ”หลินเฟยว่าพลางจับไปที่บ่าของฟงเป่าเบาๆ หลินเฟยไม่ใช่คนที่จะเข้าไปห้ามไม่ให้ฟงเป่าแก้แค้น ความผิดสังหารครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยวางกันได้ หลินเฟยเลยเลือกที่จะสนับสนุนฟงเป่าเสียมากกว่า
“ขอรับ”ฟงเป่าตอบรับพลางหลับตาลงช้าๆ อย่างที่หลินเฟยพูด การแก้แค้นของฟงเป่าจะต้องมีแน่ๆในอนาคต ตอนนี้ฟงเป่าต้องตั้งใจศึกษาวิชาของพวกตระกูลหยูเสีย หลังจากจัดการหยูเซินได้ฟงเป่าจะกลับไปที่บ้านเกิดและสะสางความแค้นให้หมดสิ้น