ตอนที่ 265-1 ซูหว่านมาเยือนบ้าน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยุ่งเรื่องงานสมรสของลูกผู้พี่หร่วนเหิงเสร็จแล้ว ชั่วพริบตาก็ถึงวันสมรสของคุณชายสี่สวีฉั่ง งานแต่งงานของเขาเสิ่นเวยย่อมไม่ต้องเป็นกังวล แต่วันแต่งงานเสิ่นเวยยังคงต้องไปช่วยต้อนรับแขก

 

 

เช้าตรู่ เสิ่นเวยกับสวีโย่วก็สวมชุดที่เหมาะสมพาสาวใช้เด็กรับใช้ไปจวนจิ้นอ๋องไปเคารพท่านจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาในห้องหลักก่อน จิ้นอ๋องมองเขาสองคนปราดหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้าเรียบเฉย กล่าวเพียง ‘อืม’ หนึ่งคราเท่านั้น พระชายาจิ้นอ๋องเห็นสองคนนี้ก็รู้สึกขัดหูขัดตา โดยเฉพาะทั้งสองที่แม้จะไม่ได้สวมชุดตามขั้นลำดับ แต่บนร่างก็สวมเครื่องแต่งกายตามระเบียบของจวิ้นอ๋องและจวิ้นจู่! หน้าตาทั้งสองก็โดดเด่นอยู่แล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นเจ้าภาพเสียเอง

 

 

แต่วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของลูกชายคนเล็ก ต่อให้ในใจพระชายาจิ้นอ๋องจะหงุดหงิดแต่ก็ไม่อาจแสดงสีหน้าออกมาได้ ยังต้องแสดงท่าทีใจกว้างอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ออกมา “วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของฉั่งเอ๋อร์ พวกเจ้าที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้วันนี้ก็ต้องเหนื่อยมากหน่อย ช่วยรับแขก ผ่านวันนี้ไปก็ให้ฉั่งเอ๋อร์ยกน้ำชาขอบคุณพวกเจ้า”

 

 

เสิ่นเวยกล่าว “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ขอบคุณไม่ขอบคุณอะไร น้องชายตัวเองแต่งงาน พวกข้าที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้ช่วยจัดการงานเดิมก็เป็นสิ่งสมควรอยู่แล้ว”

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับกล่าว ‘อืม’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพียงเท่านั้น ทำให้เสิ่นเวยทอดถอนใจทั้งเขาและจิ้นอ๋องสมกับที่เป็นพ่อลูกจริงๆ!

 

 

เจ้าบ่าวสวีฉั่งสวมชุดมงคลสีแดงสดโอ้อวดตนกับสวีโย่วอย่างอารมณ์ดี “พี่ใหญ่ น้องสวมชุดนี้ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าตอนที่ท่านไปรับตัวพี่สะใภ้ใหญ่ใช่หรือไม่”

 

 

สวีโย่วชายตามองเขาปราดหนึ่ง กล่าว ‘อืม’ อีกครั้ง ทว่าเสิ่นเวยกลับเบ้ปาก สวีฉั่งไหนเลยจะเทียบกับคุณชายใหญ่ของนางได้ ไม่ต้องพูดถึงเรือนร่างที่สูงสง่านั่น เพียงแค่ใบหน้านั่นก็ตามไม่ทันเขาอย่างสิ้นเชิง คุณชายใหญ่ของนางสวมชุดแต่งงานหล่อเหลาประหนึ่งเทวดาตกลงมาจากสวรรค์

 

 

สวีฉั่งเองก็ไม่ถือสาที่พี่ชายเขาพูดน้อย หัวเราะหึๆ ลากพี่ชายเขามาอีกฝั่ง กล่าวอย่างลับๆ ล่อๆ “พี่ใหญ่ ครั้งก่อนที่ท่านพูดไว้ห้ามผิดสัญญา วันนี้น้องแต่งงานแล้ว หญิงงามท่านต้องเตรียมไว้ให้ข้าด้วย”

 

 

หึ เด็กคนนี้ยังคิดถึงแต่หญิงงามของเขาอยู่เลย วันมงคลใหญ่ก็ยังไม่ลืม

 

 

ใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องดำลงในชั่วขณะ กล่าวตำหนิ “ฉั่งเอ๋อร์ พูดจาเหลวไหลอะไร ยังไม่รีบลงไปเตรียมรับตัวเจ้าสาวอีก อย่าทำให้เสียฤกษ์”

 

 

ท่านจิ้งอ๋องเองก็โมโหเล็กน้อย “ฉั่งเอ๋อร์ แต่งงานแล้วก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ห้ามเจ้าทำตัวเลอะเทอะเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก”

 

 

“ทราบแล้ว เสด็จพ่อเสด็จแม่” สวีฉั่งปากตอบรับ แต่ดวงตากลับจ้องมองสวีโย่ว วางท่าทางหากเขาไม่รับปากตนก็จะไม่ไป

 

 

สวีโย่วทำได้เพียงพยักหน้า “วางใจ พี่พูดคำไหนเป็นคำนั้น”

 

 

สวีฉั่งจึงแสยะปากยิ้มลงไปเตรียมรับตัวเจ้าสาว ปล่อยให้พระชายาจิ้นอ๋องโมโหจนศีรษะเต้นตุบๆ

 

 

ตอนเช้าสินเดิมแห่เข้ามา แม้ว่าเสิ่นเวยไม่ได้สนใจแต่เสียงถกเถียงของแขกและคนรับใช้ทั้งหลายก็ลอยเข้ามาในหูของนาง ฉินอิงอิงที่เป็นคุณหนูของจวนเสนาบดีฉิน ซ้ำยังแต่งงานกับคุณชายของจวนผิงจิ้นอ๋อง สินเดิมย่อมน้อยไม่ได้ หามหนึ่งร้อยยี่สิบคานเต็มๆ อีกทั้งที่หามอยู่ข้างหน้าสองคานยังเป็นสินเดิมที่ซูเฟยเหนียงเหนียงพระราชทานให้จากในวัง มีเกียรติอย่างถึงที่สุด

 

 

ทุกคนมองสินเดิมแต่ละคานๆ เข้ามาในประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋อง แห่ตามทางเส้นใหญ่ประตูกลางเข้าไปในลานบ้านคุณชายสี่ด้วยความสนอกสนใจ ชี้ไม้ชี้มือวิพากษ์วิจารณ์ เนื้อหาที่วิจารณ์หนีไม่พ้นการเปรียบเทียบสินเดิมของเจ้าสาวกับสินเดิมของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่แต่งงานกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้ว่าจะเทียบไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าสักเท่าไร ทอดถอนใจที่จวนจิ้นอ๋องมีวาสนาดีจริงๆ ภรรยาที่แต่งเข้ามาแต่ละคนล้วนมีสินเดิมมากมายมหาศาล

 

 

ทว่าเถาฮวาที่วิ่งออกไปดูความครึกครื้นเที่ยวหนึ่งกลับเบะปาก กล่าวด้วยความไม่ยินยอม “เหอะ สินเดิมของนางเทียบคุณหนูไม่ได้เลย หนึ่งคานของนางหามกันสองคน เบาหวิว ของคุณหนูต้องใช้ตั้งสี่คนจึงจะหามได้ มิหนำซ้ำ**บยังใหญ่ยิ่งกว่า”

 

 

เสิ่นเวยหลุดหัวเราะ ลูบใบหน้าเล็กๆ ของเถาฮวา กล่าวหยอกล้อ “เอ๋ เถาฮวาของข้าแยกแยะความเป็นจริงของสินเดิมออกแล้ว พัฒนาแล้ว”

 

 

เถาฮวากระทืบเท้า มองเสิ่นเวยด้วยความไม่พอใจ “ข้าแยกแยะเป็นนานแล้ว พี่หลีฮวากับพี่เย่ว์กุ้ยต่างก็สอนข้าแล้ว มีคนที่ไม่ได้ร่ำรวยทำเพื่อศักดิ์ศรีให้ดูดี สินเดิมหนึ่งคานแบ่งหามเป็นสองคาน อันที่จริงข้างในวางได้ไม่เต็ม เมื่อครู่ข้าแอบเปิดดูแล้ว **บยังเหลือที่เยอะเท่านี้กว่าจะเต็ม” เถาฮวาใช้มือเทียบ

 

 

เสิ่นเวยมองไปที่เย่ว์กุ้ย เย่ว์กุ้ยพยักหน้าให้นาง วันนี้เสิ่นเวยพาเถาฮวามาร่วมพิธี อดคุมนางไว้ข้างกายไม่ได้ เป็นห่วงว่าจะมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือยั่วยุให้นางก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก จึงให้เย่ว์กุ้ยอยู่ข้างกายนาง

 

 

ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงมองใบหน้าที่ตั้งใจจริงของเถาฮวา กล่าวเสียงอ่อนโยน “อืม เถาฮวาพัฒนาไม่น้อยแล้ว แต่พวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว ไม่อาจป่าวประกาศออกไปได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา”

 

 

เถาฮวาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู เถาฮวาไม่พูด”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มชื่นชมนางอีกครั้ง เถาฮวาก็มีความสุขแล้ว

 

 

บอกว่าช่วยรับแขก อันที่จริงคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอให้เสิ่นเวยต้อนรับด้วยตัวเองมีไม่เยอะจริงๆ นางนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ แม่นมมั่วข้างกายนางนำสาวใช้เล็กไปรับแขกที่ประตูใหญ่แทนนาง สาวเล็กที่ต้องการให้นางออกหน้าก็วิ่งเข้ามาแจ้งอีกครั้ง กว่าครึ่งเช้าผ่านไปแล้ว คนที่จำเป็นต้องให้เสิ่นเวยออกมาต้อนรับเองก็มีเพียงองค์หญิงใหญ่ผู้เดียว

 

 

เทียบกับความสบายของเสิ่นเวย ฮูหยินซื่อจื่ออู๋ซื่อยุ่งอย่างมาก แม้ว่านางเองก็ส่งแม่นมอู๋ข้างกายออกไปรับแขกแทนนาง แต่การจัดการทั้งหมดในจวนล้วนต้องให้นางดูแลด้วยตัวเอง เหล่าพ่อบ้านยังคงเข้ามารายงานอยู่บ่อยครั้ง นางยุ่งจนไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำ

 

 

อันที่จริงคนที่ว่างที่สุดยังไม่ใช่เสิ่นเวย แต่เป็นฮูหยินสามหูซื่อ นางถูกสาวใช้พยุงออกมาโผล่หน้าโผล่ตาจากนั้นก็กลับเรือนตัวเองไปพักผ่อนแล้ว

 

 

แขกทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง แขกผู้ชายมีคนพาไปที่เรือนหน้า เหล่าญาติผู้หญิงก็รวมตัวกันอยู่ที่เรือนหลัง ในสวนดอกไม้นั่งไม่พอ ยังมีศาลาริมน้ำ คนที่ไม่อยากนั่งพูดคุยก็สามารถไปชมงิ้วได้

 

 

จวนจิ้นอ๋องเชิญคณะงิ้วที่มีชื่อในเมืองหลวงมา นอกจากนี้ยังเชิญนักแสดงงิ้วนางรำมีชื่อมาอีกจำนวนหนึ่ง

 

 

เสิ่นเวยดูงิ้วเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่ แม้นางจะไม่ชอบงิ้ว แต่ความอดทนก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หางตาองค์หญิงใหญ่กวาดมองเสิ่นเวยที่อมยิ้มบางๆ ข้างมุมปาก พยักหน้าในใจ อืม เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ ภรรยาผู้นี้ของโย่วเอ๋อร์กลับแต่งไม่ผิดคน

 

 

สำหรับคนอื่นที่บอกว่าภรรยาโย่วเอ๋อร์ร้ายกาจ องค์หญิงใหญ่กลับไม่ได้ใส่ใจ แม้แต่ผู้ชายของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ เกิดเรื่องแล้วก็ไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ สตรีเช่นนี้นางไม่ถูกชะตา

 

 

ตัวองค์หญิงใหญ่เองก็เป็นคนแข็งแกร่ง หากนางไม่แข็งแกร่ง ต่อให้จะมีการดูแลจากฝ่าบาท ด้วยความที่เป็นองค์หญิงหม้ายลูกสองเช่นนางก็ยากอย่างยิ่งที่จะยืนอยู่ในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถมีอำนาจที่ทุกคนล้วนไม่อาจมองข้ามได้เช่นทุกวันนี้ ดังนนั้นองค์หญิงใหญ่จึงถูกชะตาเสิ่นเวยอย่างถึงที่สุด

 

 

“สตรีอายุน้อยเหล่านี้เช่นพวกเจ้าไม่ค่อยชอบดูการแสดงเหล่านี้มิใช่หรือ” องค์หญิงใหญ่มองเสิ่นเวยอย่างเป็นมิตร ท่าทางเข้าอกเข้าใจ

 

 

เสิ่นเวยเองก็จริงใจอย่างยิ่ง “หลานเองก็เพียงแค่เห็นว่าสนุกสนาน ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเช่นกัน” เพียงแค่เข้าใจเนื้อหาของเรื่องส่วนใหญ่ รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร ส่วนท่วงทำนองที่เอื้อนเอ่ยนั้น นางแทบจะไม่เข้าใจ

 

 

องค์หญิงใหญ่ยิ้ม กล่าว “ดูไปเยอะๆ แล้วก็จะเข้าใจเอง แต่ว่าสตรีอายุน้อยเหล่านี้เช่นพวกเจ้าก็มีไม่กี่คนที่ชอบดู”

 

 

เสิ่นเวยลูบจมูก ยิ้มแต่ไม่พูด

 

 

องค์หญิงใหญ่เปลี่ยนเรื่อง “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ โย่วเอ๋อร์เป็นคนเย็นชา นิสัยก็ดื้อรั้น หากเขาทำเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าโมโหเจ้าก็มาบอกข้า อาจะสั่งสอนเขาแทนเจ้าเอง”

 

 

ผู้ใหญ่ในครอบครัวพูดตามมารยาท เสิ่นเวยย่อมไม่โง่คิดเป็นจริง นางปิดปากหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณเสด็จอาที่เอ็นดูหลาน คุณชายใหญ่ปฏิบัติต่อหลานดีนัก เสด็จอาวางใจ คุณชายใหญ่สุขภาพไม่ค่อยดี หลานยอมให้เขามากหน่อยจะเป็นอะไรไป” ขณะที่พูดยังกะพริบตาปริบๆ

 

 

“เจ้าเองก็หยอกเย้าคนเก่ง” องค์หญิงใหญ่ถูกนางหยอกล้อ ตบมือของเสิ่นเวย กล่าว “อารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คำติฉินนินทาเหล่านั้นข้างนอก อย่าได้ไปสนใจ!” ท่าทางชื่นชมอย่างถึงที่สุด

 

 

คนทั้งสองสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ทำให้คนรอบข้างพากันชายตามอง บุคคลที่สามารถนั่งอยู่ข้างพวกนางได้ ล้วนแต่เป็นคนมีฐานะ นอกจากราชนิกุลแล้วก็เป็นฮูหยินที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นสูงสุดและขั้นหนึ่ง

 

 

องค์หญิงเป็นใคร นั่นคือน้องสาวที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดเชื่อใจที่สุดของฝ่าบาท นางพูดหนึ่งประโยคมีผลยิ่งกว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่พูดสิบประโยค ซ้ำยังเคยกุมอำนาจการทหารมาก่อน แม้ว่าจะเป็นตอนนี้ในกองทัพก็มีผลกระทบอย่างมาก เอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่ บุรุษในกองทัพมีใครบ้างที่ไม่ชื่นชมว่าเป็นวีรสตรี

 

 

สามารถได้รับความสนใจจากองค์หญิงใหญ่ได้ล้วนแต่มีเกียรติอันใหญ่หลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ทุกคนต่างก็อิจฉาริษยาเสิ่นเวยที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงใหญ่