ตอนที่ 265-2 ซูหว่านมาเยือนบ้าน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“เสด็จอา น้องสะใภ้” ในตอนนี้เอง ฮูหยินซื่อจื่อจวนกงอ๋องฟั่นซื่อนำหญิงงามชดช้อยอ่อนหวานผู้หนึ่งเดินเข้ามา หญิงผู้นั้นทำความเคารพช้าๆ “คารวะองค์หญิงใหญ่เพคะ คารวะจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เพคะ” เสียงราวกับนกขมิ้นร้องเบาๆ ไพเราะอย่างถึงที่สุด

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ย” เสิ่นเวยโค้งตัวกล่าวกับนาง

 

 

แม้ว่าซื่อจื่อจวนกงอ๋องสวี่เลี่ยจะอายุมากกว่าสวีโย่ว แต่เสิ่นเวยก็เป็นจวิ้นจู่ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ฟั่นซื่อเป็นเพียงแค่ฮูหยินซื่อจื่อ ต่อให้เสิ่นเวยจะนั่งนิ่งไม่ขยับก็ไม่ถือว่าเสียมารยาท

 

 

แม้ในใจฟั่นซื่อจะไม่พอใจ แต่กลับยกยิ้มทั่วใบหน้ากล่าวกับเสิ่นเวยอย่างตื่นเต้น “น้องสะใภ้รู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้คือใคร”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มส่ายหน้า “ถูกพี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยพามาได้จะต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่งใช่หรือไม่ เป็นหญิงผู้สูงส่งฝั่งมารดาของพี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยหรือ”

 

 

เห็นใบหน้าฟั่นซื่อมีความอึดอัดแวบผ่าน แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นบุคคลที่มีไหวพริบ หัวเราะฮ่าๆ กล่าว “คนผู้นี้คือแม่นางซูหร่วน” จ้องมองเสิ่นเวยตาไม่กะพริบ ไม่ปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ บนใบหน้าของนางหลุดไป

 

 

เร็วอย่างยิ่งนางก็ต้องผิดหวัง เสิ่นเวยสงบอย่างถึงที่สุด ดวงตาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว กล่าวอย่างไม่สนใจ “อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นหญิงรู้ใจของท่านเลี่ยซื่อจื่อนี่เอง พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยเป็นสตรีมีคุณธรรมจริงๆ ไม่เสียชื่อที่เป็นแบบอย่างในราชนิกุลของพวกเรา”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าฟั่นซื่อแข็งทื่อ “คราวนี้น้องสะใภ้พูดผิดแล้ว แม่นางซูหร่วนผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับท่านซื่อจื่อของพวกเราแม้แต่นิดเดียว จะว่าไปแล้ว ก็ยังมีความสัมพันธ์กับผิงจวิ้นอ๋องของพวกเจ้าอยู่เล็กน้อย” พูดพลางปิดปากหัวเราะ หัวเราะไปพลางมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไปพลาง เหอะ ปากพูดเสียน่าฟัง ข้าจะคอยดูว่าอีกสักครู่เจ้าจะร้องไห้อย่างไร

 

 

“อ้อ มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับผิงจวิ้นอ๋องของพวกข้าด้วยหรือ ไม่เคยได้ยินท่านจวิ้นอ๋องเอ่ยถึงเลย น่าแปลกใจจริงๆ” เสิ่นเวยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ย แม่นางซูหร่วนผู้นี้มาจากจวนไหนหรือ นอกจากที่ว่าการแล้วผิงจวิ้นอ๋องของพวกข้าก็อยู่แต่ในจวน ไม่ชอบไปเยี่ยมเยียนจวนผู้อื่น ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยจำผิดหรอกกระมัง”

 

 

“ไม่ผิด ไม่ผิด นี่เป็นเรื่องดี” ฟั่นซื่อยิ้มแย้มเบิกบาน หันหน้ามองหญิงงามผู้นั้น “แม่นางซู จยาฮุ่ยจวิ้นจู่อยู่ตรงหน้าแล้ว เจ้ามีอะไรก็พูดไปตามตรงเถิด จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ของพวกเราสงสารหญิงงามที่สุด” ดวงตาเต็มไปด้วยความตั้งตารอดูเรื่องสนุก

 

 

อย่าว่าแต่นาง ญาติผู้หญิงที่ดูงิ้วอยู่ต่างก็มองมาทางเสิ่นเวย ดวงตาเต็มไปด้วยความสนใจ ยังมีคนที่แอบซ่อนความสามารถในการนินทาไว้ไม่อยู่ องค์หญิงใหญ่เกร็งปากแน่น แต่กลับไม่ได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว นางอยากดูว่าเสิ่นเวยจะตอบสนองอย่างไร

 

 

ซูหร่วนผู้นั้นคำนับเสิ่นเวยอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง เรือนร่างนั้นราวกับต้นหลิวท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ดวงตาของคนทั้งหมดต่างก็ตะลึงงัน ในใจพากันคาดเดาว่าหญิงผู้นี้คือหญิงรู้ใจของผิงจวิ้นอ๋องหรือไร

 

 

เห็นเพียงแม่นางซูหร่วนเปิดริมฝีปากแดงเบาๆ กล่าว “ตัวข้าซูหร่วน ปีก่อนได้รับความช่วยเหลือจากท่านผิงจวิ้นอ๋อง ข้าไร้สิ่งตอบแทน ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านผิงจวิ้นอ๋อง จยาฮุ่ยจวิ้นจู่โปรดทำให้สมปรารถนา” พูดพลางคำนับอย่างนุ่มนวลอีกครา ดวงตาที่พร่าเลือนมองเสิ่นเวยด้วยความเฝ้ารอ

 

 

เมื่อซูหร่วนพูดออกไป ล่างเวทีก็เงียบสงัดในชั่วขณะ ความรู้สึกของญาติผู้หญิงทุกคนซับซ้อนอย่างยิ่ง ด้านหนึ่งพวกนางก็เป็นภรรยาเอกรังเกียจคนเช่นซูหร่วนอย่างถึงที่สุด อีกด้านหนึ่งในใจพวกนางก็มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเงียบๆ

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะเหลือบตาขึ้นมองซูหร่วนปราดหนึ่ง กระตุกมุมปาก กล่าวกับองค์หญิงใหญ่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ที่แท้แล้วก็จะมาขอเป็นอนุภรรยาคุณชายใหญ่ของพวกข้านี่เอง” จากนั้นจึงเอียงศีรษะพูดเองเออเองด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง หรือว่าคุณชายใหญ่ของพวกข้าดูเหมือนคนหัวอ่อนเพียงนั้นเชียวหรือ”

 

 

ในดวงตาองค์หญิงใหญ่มีรอยยิ้มแวบผ่าน ตบมือของเสิ่นเวยแล้วกล่าว “ก็แค่ตัวตลกตัวหนึ่ง หลานไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ โย่วเอ๋อร์เป็นคนลำดับความสำคัญได้ จงวางใจ!”

 

 

ซูหร่วนที่ถูกแช่แข็งอยู่ข้างๆ กำหมัดแน่น ไม่ยอม นางไม่ยอม นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงสูดหายใจเข้าลึก เชิดใบหน้าเล็กๆ ที่น่าสงสารขึ้น “ข้ารู้ตัวว่าฐานะต้อยต่ำ มิบังอาจขอร้องฐานะใดๆ ขอเพียงแค่ได้เป็นสาวใช้ยกชารินน้ำข้างกายผิงจวิ้นอ๋องก็เพียงพอแล้ว หวังว่าจวิ้นจู่จะทำให้สมปรารถนา” ท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวลนั้น เสมือนกับว่าเสิ่นเวยไม่รับปากจะเป็นการทำผิดมหาศาล

 

 

ฟั่นซื่อข้างๆ ในดวงตามีความสุขแวบผ่าน เอ่ยปากกล่าว “แม่นางซูหร่วนมีไมตรีจิตลึกซึ้ง น้องสะใภ้ เห็นแก่ไมตรีจิตของแม่นางซู เจ้าก็รับปากเถิด”

 

 

เสิ่นเวยหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งครา ยุคโบราณนี้นิยมทำเช่นนี้กันหรือ เหตุใดหนึ่งคนสองคนล้วนแต่ใช้ข้ออ้างทดแทนบุญคุณมาวางแผนช่วงชิงความร่ำรวย ซ้ำยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ด้านหนึ่งเป็นนางโลม ด้านหนึ่งก็สร้างซุ้มประตูให้ตัวเอง อวดอ้างราวกับตนเองมีไมตรีจิตยิ่งนักสูงศักดิ์ยิ่งนัก

 

 

“แม่นางซูหร่วนใช่หรือไม่ เจ้าหลอกลวงท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าแล้วหรือ คิดอยากจะเข้าประตูใหญ่จวนผิงจวิ้นอ๋องไม่ใช่ว่าไม่ได้ แม่นมมั่ว ถามคำถามแม่นางซูแทนตัวข้าจวิ้นจู่ที” เสียงที่เกียจคร้านของเสิ่นเวยดังขึ้น

 

 

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมมั่วก้าวออกมาด้วยความเคารพทันที “จวิ้นจู่วางใจ บ่าวจะต้องช่วยท่านถามแม่นางซูให้เป็นอย่างดี”

 

 

ซูหร่วนผู้นั้นเองก็กล่าวด้วยความเชื่อฟังอย่างถึงที่สุด “แม่นมผู้นี้ท่านถามได้เลย หากข้าตอบได้จะตอบอย่างไม่มีปิดบังแน่นอน”

 

 

แม่นมมั่วเชิดหน้าขึ้น มองซูหร่วนแล้วกล่าว “ข้อแรก เรียนถามแม่นางซูยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่”

 

 

เพียงแค่คำถามแรกก็ทำให้ซูหร่วนตาแดงแล้ว มองเสิ่นเวยด้วยสีหน้าสลดใจ “หากจวิ้นจู่ไม่ยินยอมพูดมาตรงๆ ก็ได้แล้ว ไยจะต้องย่ำยีข้าเช่นนี้ด้วย”

 

 

เสิ่นเวยหรี่ตาเล็กน้อยรับการปรนนิบัติจากสาวใช้ ไม่เหลียวแลนางแม้แต่นิดเดียว

 

 

ทว่าแม่นมมั่วกลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางซูพูดผิดแล้ว นี่เป็นการย่ำยีอย่างไร หากเจ้าไม่แม้แต่บริสุทธิ์ ยังคิดจะรับใช้ข้างกายนายท่าน นี่เป็นกฎระเบียบตระกูลใดกัน เจ้าลองถามเหล่าฮูหยินทุกท่านในห้องนี้ดู มีกฎเช่นนี้อยู่หรือไม่ อย่างไรเสียผิงจวิ้นอ๋องของพวกข้าก็เป็นท่านจวิ้นอ๋อง คู่ควรให้สตรีร่ายรำขับร้องที่เสียบริสุทธิ์แล้วมารับใช้หรือไร หากเรื่องนี้ดังออกไป ศักดิ์ศรีท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าจะวางไว้ตรงไหน แม่นางซูเจ้าเอาแต่พูดว่าทดแทนบุญคุณ หมายความว่าจะทดแทนบุญคุณเช่นนี้หรือ”

 

 

เสิ่นเวยชื่นชมในใจหนึ่งครา สมกับที่เป็นแม่นมที่ออกมาจากวังจริงๆ จี้จุดสำคัญยิ่งนัก! ไม่เพียงแต่เสิ่นเวย เหล่าญาติผู้หญิงในลานเองก็รู้สึกสบายอารมณ์

 

 

แม่นมมั่วกล่าวต่อ “แม้ว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ แต่ใครให้แม่นางซูหน้าตางดงามเล่า บ่าวเองยังใจอ่อนกับหญิงงามเลย! เจ้าพูดมาตลอดว่าจะทดแทนบุญคุณ เรียนถามแม่นางซูท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าช่วยเจ้าไว้อย่างไรหรือ”

 

 

ซูหร่วนรีบก้าวขึ้นไปเล่าเรื่องที่นางบังเอิญพบอันธพาลเมื่อปีก่อน “หากไม่ใช่ท่านผิงจวิ้นอ๋องออกมือช่วยไว้ ข้า…” ในดวงตาของนางเอ่อนองไปด้วยน้ำตา เสียงสะอื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

 

 

แม่นมมั่ว รวมถึงญาติผู้หญิงในลานต่างก็กระตุกมุมปากพร้อมกัน

 

 

แม่นมมั่วกล่าว “แม่นางซูบอกว่าท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าช่วยเจ้าไว้ เรียนถามท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเคยล่วงล้ำแม่นางหรือไม่” แม่นมมั่วถามอ้อมอย่างยิ่ง อันที่จริงนางอยากถามว่า ‘เจ้ากับท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเคยแตะเนื้อต้องตัวกันหรือไม่’ เหลือบตามองเหล่าญาติผู้หญิงที่นั่งอยู่ ยังคงเปลี่ยนวิธีการถามดีกว่า

 

 

“ไม่มี!” บนใบหน้าซูหร่วนแดงก่ำ ส่ายหน้าอย่างเขินอาย

 

 

“เช่นนั้นท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเคยรับปากกับแม่นางหรือไม่” แม่นมมั่วถามต่อ

 

 

“ไม่มี” ซูหร่วนส่ายหน้าต่อ “ท่านจวิ้นอ๋องสั่งเด็กรับใช้มาแก้หน้าให้ข้า ไม่เคยพูดอะไรกับข้า”

 

 

มุมปากของแม่นมมั่วยกขึ้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คนที่ช่วยแม่นางซูคือเด็กรับใช้ ท่านจวิ้นอ๋องไม่เคยรับปากใดๆ กับแม่นางมาก่อน กระทั่งยังไม่เคยแม้แต่จะพูด บ่าวไม่เข้าใจ แม่นางซูต้องการจะทดแทนบุญคุณเรื่องอะไร หากบอกว่าทดแทนบุญคุณ แม่นางไม่ควรไปขอทดแทนบุญคุณกับเด็กรับใช้ข้างกายท่านจวิ้นอ๋องมากกว่าหรือ”

 

 

“จะทำได้อย่างไร เด็กรับใช้เป็นเพียงทาส!” ประโยคนี้ของซูหร่วนพลั้งปากพูดออกไป อาจจะรู้สึกว่าตนพลั้งปาก จึงรีบกล่าวเสริม “เด็กรับใช้เพียงแค่ฟังคำสั่งของท่านจวิ้นอ๋อง ท่านจวิ้นอ๋องต่างหากที่เป็นผู้มีพระคุณของข้า!”

 

 

เมื่อคำพูดนี้ออกไป สายตาที่มองซูหร่วนของญาติผู้หญิงในลานก็ดูถูกแล้ว ทดแทนบุญคุณอะไร ก็แค่หญิงชั่วที่ละโมบเงินทองผู้หนึ่ง

 

 

“ที่แท้แล้วผู้มีพระคุณของแม่นางซูก็แบ่งแยกนายบ่าว” แม่นมมั่วยกมุมปากอีกครั้ง หันหลังกลับกล่าวกับเสิ่นเวยด้วยความเคารพ “จวิ้นจู่ บ่าวถามเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า “ลำบากแม่นมมั่วแล้ว เข้าไปพักสักครู่เถอะ” นางชายตามองซูหร่วนที่หน้าแดงก่ำจากข้างบนปราดหนึ่ง ละสายตาไปทางฟั่นซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยเห็นแล้วหรือยัง แม่นางซูมีไมตรีจิตยิ่งนัก แต่ว่านางมีไมตรีจิตต่ออำนาจเงินทอง หากตอนนั้นคนที่ช่วยหน้าแก้หน้าคือขอทานข้างถนน แม่นางซูจะยังร้องห่มร้องไห้ขอใช้ร่างทดแทนบุญคุณหรือไม่”

 

 

พรู้ด เมื่อคำพูดของเสิ่นเวยดังออกไป ไม่รู้ว่าใครหลุดหัวเราะออกมา ทันใดนั้นก็คล้ายเปิดฉาก คนที่แอบหัวเราะก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ สุมหัวเข้าด้วยกันพูดคุยเสียงเบาขึ้นมา

 

 

บ้างก็ว่าหญิงชั่ว บ้างก็ว่าหน้าไม่อาย บ้างก็ว่าเลวทราม คำพูดเช่นนี้ดังเข้ามาในหูซูหร่วนไม่หยุด ยังมีจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้น แววตาที่มองนางราวกับมองสิ่งปฏิกูล เสมือนนางเป็นสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน มองนางมากๆ จะทำให้ดวงตาสกปรก นี่ทำให้ซูหร่วนลำบากใจอย่างยิ่ง ทั้งยังอัดอั้นจนแทบจะเสียสติ

 

 

นางมีสิทธิอะไร พวกนางเหล่าฮูหยินที่ร่ำรวยสูงส่งเช่นนี้มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกนาง ก็แค่มีฐานะที่ดีกว่านางมิใช่หรือ นางได้รับความไม่เป็นธรรม นางไม่ยอม

 

 

หยดน้ำตากลิ้งอยู่ในเบ้าตา ซูหร่วนพยายามเงยหน้าเล็กน้อยไม่ให้พวกมันไหลลงมา “จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไม่ต้องพูดแล้ว ล้วนเป็นข้าที่ไม่เจียมตัว หาความอับอายใส่ตัว ข้า…ข้าเพียงแค่อยากตอบแทนบุญคุณของท่านผิงจวิ้นอ๋องจากใจจริงก็เท่านั้นเอง” ท่าทางโศกเศร้าอาดูรและเสียน้ำใจช่างน่าสงสารจริงๆ! แต่น่าเสียดายที่นางทำผิดโอกาส ในลานล้วนแต่เป็นญาติผู้หญิงจำนวนหนึ่ง สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือท่าทางปีศาจจิ้งจอกเช่นนี้ของนาง

 

 

ดังนั้นนางจึงขอความเห็นใจจากเหล่าฮูหยินไม่ได้ แต่กลับทำให้พวกนางเกลียดชัง “วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋อง เจ้าร้องห่มร้องไห้หมายความว่าอย่างไร เคราะห์ร้าย!”

 

 

“ชิ รีบเก็บน้ำตาเสีย ไม่มีนายท่านทั้งหลายอยู่ เจ้าร้องไห้ให้ใครดู”

 

 

ยังมีคนที่โหดเ**้ยมยิ่งกว่า “วันนี้ข้านับว่าได้เห็นแล้ว หญิงมารยาเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงมอมเมาอันธพาลมากมายเพียงนั้นได้ นางโลมอะไรกัน ไม่ใช่ของเล่นที่พันคนขี่หมื่นคนกดหรือไร! ลำบากจยาฮุ่ยจวิ้นจู่แล้วจริงๆ” นี่คือฮูหยินผู้ตรวจการราชสำนักที่รังเกียจอี๋เหนียงอนุภรรยาอย่างถึงที่สุดผู้หนึ่ง

 

 

แน่นอนว่ามีคนที่สมองไม่ปกติ ฟั่นซื่อไม่ใช่หนึ่งคนหรอกหรือ หากสมองปกติ นางจะพาซูหร่วนมายั่วยุต่อหน้าเสิ่นเวยหรือ มิหนำซ้ำยังทำต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อีกด้วย

 

 

ความประหลาดใจยังอยู่ข้างหลัง ฟั่นซื่อคาดไม่ถึงว่าออกมาช่วยซูหร่วนแล้ว