ตอนที่ 266-1 สั่งสอน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“ดูน้องสะใภ้สิ วางก้ามยิ่งนัก แม่นางซูหร่วนเพียงแค่มีไมตรีจิต ข้างกายโย่วต้าของพวกเจ้ายังไม่มีแม้แต่สาวใช้อนุภรรยาเลยมิใช่หรือ หากน้องสะใภ้เป็นสตรีมีคุณธรรมก็ควรเก็บบุปผารู้ภาษาดอกนี้ไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เองก็ต้องถามน้องโย่วต้าด้วยมิใช่หรือ” คำพูดของฟั่นซื่อทำให้ดวงตาของซูหร่วนจุดประกายความหวังอีกครั้ง

 

 

แต่สายตาที่ญาติผู้หญิงทุกคนมองฟั่นซื่อกลับประหลาดอย่างถึงที่สุดแล้ว ฮูหยินซื่อจื่อผู้นี้ของจวนกงอ๋องเป็นอะไรไปแล้ว ช่วยสตรีหอโคมเขียวผู้นี้พูด สมองผิดปกติแล้วหรือไร

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยกลับเข้าใจฟั่นซื่อเป็นอย่างยิ่ง ฟังว่าเลี่ยซื่อจื่อผู้นั้นเป็นคนกินไม่เลือก ในเรือนมีสาวใช้รูปงามล้วนถูกเขาแตะเนื้อต้องตัว แม้แต่เด็กรับใช้ที่หน้าตาหล่อเหลาหลายคนนั้นข้างกายเขายังไม่อาจหนีพ้นกรงเล็บของเขาได้

 

 

มีสามีเช่นนี้ ฟั่นซื่อเองก็เหนื่อยกายเหนื่อยใจ ปกติสิถึงแปลก ตัวนางเองยังมีชีวิตที่ไม่ดี ย่อมเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้ ข้าได้ไม่ดี เช่นนั้นเจ้าเองก็อย่าคิดจะได้ดี รังเกียจข้าก็ต้องรังเกียจเจ้าด้วย เสิ่นเวยวิเคราะห์จิตใจของฟั่นซื่อได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

 

ดังนั้นเสิ่นเวยจึงไม่รู้สึกว่าฟั่นซื่อโหดเ**้ยมชั่วช้ามากมายเหมือนอย่างที่คนอื่นคิด กลับเหลือบตาขึ้นแล้วกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยพูดถูก เรื่องนี้ยังต้องฟังว่าท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าว่าอย่างไร สามีเชื่อฟังภรรยา ข้าล้วนแต่เชื่อฟังท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้า เย่ว์กุ้ย เจ้าวิ่งเร็ว ไปรายงานท่านจวิ้นอ๋องสักหน่อย”

 

 

“เจ้าค่ะ” เย่ว์กุ้ยที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวขานรับเสียงดังกังวาน ชั่วพริบตาขาเล็กๆ ก็วิ่งออกไปยังเรือนนอกแล้ว

 

 

บังเอิญพอดี เย่ว์กุ้ยเดินออกจากเรือนในไปได้ไม่ไกลก็เห็นเจียงไป๋ นางรีบกวักมือเรียกด้วยความดีใจ เจียงไป๋วิ่งเข้ามา เย่ว์กุ้ยก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตรงเวทีงิ้วหนึ่งรอบทันที “พี่รองเจียง จวิ้นจู่ยังรอคำตอบท่านจวิ้นอ๋องอยู่”

 

 

เมื่อเจียงไป๋ได้ยินเรื่องนี้สีหน้าก็ขาวซีดแล้ว คราวก่อนเพราะว่าซูหร่วนผู้นี้จวิ้นจู่กับนายท่านจึงทะเลาะกันเช่นนั้น ตอนนี้ซูหร่วนผู้นี้กระโดดมายั่วยุเบื้องหน้าจวิ้นจู่แล้ว ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่จะโกรธเพียงใด เมื่อจวิ้นจู่โกรธ คนที่ลำบากก็ยังต้องเป็นนายท่าน!

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ เจียงไป๋ก็ยืนไม่ติดแล้ว กล่าวกับเย่ว์กุ้ย “แม่นางเย่ว์กุ้ยเจ้ารออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะกลับไปแจ้งนายท่านเดี๋ยวนี้” วิ่งไปหาเจ้านายของเขาด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วอย่างยิ่งแล้ว

 

 

สวีโย่วกำลังพูดคุยกับท่านพี่ไท่จื่อของเขาอยู่ เห็นเจียงไป๋ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าร้อนรน ดวงตาก็อดกะพริบวาบไม่ได้

 

 

สวีเช่อเห็นเจียงไป๋แล้ว กล่าวด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างยิ่ง “อาโย่วเจ้ารีบออกไปดูเถิด ใช่มีเรื่องสำคัญอะไรถึงมาหาเจ้าหรือไม่”

 

 

สวีโย่วลังเลเล็กน้อยยังคงลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่รอสักครู่ ข้าไปแล้วจะรีบกลับมา”

 

 

“มีเรื่องอันใด” สวีโย่วเดินออกไปกล่าวถาม

 

 

เจียงไป๋รีบเขยิบเข้าไปใกล้เขาเล่าเรื่องเสียงเบาหนึ่งรอบ สวีโย่วยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งเย็นเยียบ สมควรตาย ใครก็ได้บอกเขาทีว่าหญิงผู้นั้นเข้าจวนจิ้นอ๋องมาได้อย่างไร ฮูหยินซื่อจื่อจวนกงอ๋องใช่หรือไม่ เขาจะจำไว้! กลับมาจากล่องแม่น้ำครั้งก่อนเขาก็อยากจัดการแม่นางหร่วนอะไรนั่นแล้ว เพียงแต่ภายหลังงานยุ่งจึงลืมไป เหอะ เขาให้โอกาสหนีเอาชีวิตรอดแก่นางนางก็ไม่รู้จักรักษาไว้ กลับกระโดดมาถึงหน้าเวยเวยของเขา น่ารังเกียจยิ่งนัก

 

 

ความรู้สึกในใจสวีโย่วราวกับกินแมลงวันเข้าไป อยากจะอาเจียน

 

 

“นายท่าน ทำอย่างไรดี จวิ้นจู่จะต้องโมโหเป็นแน่” เจียงไป๋กล่าวด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด

 

 

สวีโย่วอยากจะวิ่งเข้าไป โยนหญิงสมควรตายผู้นั้นออกไปนอกกำแพงทันทีจริงๆ คิดไปคิดมาสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ก่อนดีกว่า สั่งเจียงไปหลายประโยค “จำได้แล้วใช่หรือไม่ ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ”

 

 

เจียงไป๋พยักหน้าอย่างตั้งใจจริง “ทราบแล้วขอรับ นายท่านรอดูก็พอ บ่าวจะต้องจัดการแทนท่านอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแน่นอน”

 

 

สวีโย่วพยักหน้า โบกมือบอกเป็นนัยให้เขารีบไป สวีโย่วมองแผ่นหลังของเจียงไป๋ มือก็โบกอีกครั้ง เด็กรับใช้ที่หน้าตาการแต่งงานล้วนธรรมดาอย่างยิ่งผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา “ท่านจวิ้นอ๋องมีอะไรรับสั่งหรือขอรับ”

 

 

“ไปสืบดูว่าคนที่ชื่อซูหร่วนผู้นั้นเป็นใครเป็นคนเชิญเข้าจวน”

 

 

ฮูหยินทั้งหมดล่างเวทีงิ้วก็ไม่ดูงิ้วแล้ว ละครน้ำดีตอนนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว

 

 

ซูหร่วนมองฟั่นซื่อด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณฮูหยินซื่อจื่อยิ่งนัก ข้าไร้สิ่งใดตอบแทน ทำได้เพียงจุดธูปทุกวันหลังจากนี้ ขอพระปกปักรักษาฮูหยินให้มีอายุยืนนานร้อยปี”

 

 

หากเป็นปกติ ฟั่นซื่อคงจะไม่มองซูหร่วนแม้แต่ปราดเดียว นางรังเกียจมารยาจิ้งจอกเช่นนี้ที่สุด ทว่าวันนี้นางได้เห็นการแสดงของเสิ่นเวย ย่อมต้องมีน้ำใจไมตรีต่อซูหร่วน “เฮ้อ ใครให้ฮูหยินซื่อจื่อเช่นข้าใจอ่อนเล่า แม่นางคนดีรีบเช็ดน้ำตาเถิด ท่านผิงจวิ้นอ๋องจะต้องตัดสินใจให้เจ้าแน่นอน”

 

 

องค์หญิงใหญ่ได้ยินคำพูดนี้แล้ว คิ้วก็ขมวดมุ่นทันที พี่กงอ๋องแต่งภรรยาอะไรเข้ามา ฟังสิพูดจาอะไรก็ไม่รู้ เหตุใดถึงไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ นางกำลังจะเอ่ยปากตำหนิ เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อของนาง ส่ายหน้าให้นาง นางจึงระงับความโกรธเอาไว้

 

 

เร็วอย่างยิ่ง ทุกคนก็เห็นเย่ว์กุ้ยกลับมาแล้ว ข้างๆ ยังตามมาด้วยเด็กรับใช้หนึ่งคน เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วจึงเห็นว่าเด็กรับใช้คนนั้นคือผู้ติดตามคนสนิทข้างกายผิงจวิ้นอ๋อง

 

 

“จวิ้นจู่ บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านจวิ้นอ๋องทราบเรื่องแล้ว ตั้งใจส่งพ่อบ้านรองเจียงมาบอกกล่าว” เย่ว์กุ้ยกล่าวรายงาน

 

 

เจียงไป๋รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า “บ่าวคารวะองค์หญิงใหญ่ จวิ้นจู่เหนียงเหนียงและฮูหยินทุกท่านในที่นี้” เขาคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพอย่างปราดเปรียว

 

 

ทว่าบนใบหน้าฟั่นซื่อกลับไม่พอใจเล็กน้อย “เหตุใดนายพวกเจ้าถึงไม่มาเล่า”

 

 

เจียงไป๋แทนจะโมโหจนจมูกเบี้ยว นายของข้าใช่คนที่เจ้าสั่งได้หรือ เจ้ามีสิทธิ์มาจากไหน ความประพฤติที่น่ารังเกียจเช่นนี้ มิน่าเล่าวันทั้งวันเลี่ยซื่อจื่อจึงใช้ชีวิตเสเพลอยู่ข้างนอก หากไม่ใช่กลัวเสียมารยาท เจียงไป๋คงจะเมินนางไปแล้ว

 

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไหนเลยจะต้องรบกวนนายท่านของข้าด้วยเล่า บ่าวมาก็พอแล้ว” เจียงไป๋หลุบตาลง ท่าทางเคารพอย่างยิ่ง เขากระแอมไล่เสมหะ เลียนแบบคำพูดนายของเขา “จางหร่วนหลี่หร่วนอะไร ตัวข้าจวิ้นอ๋องไม่รู้จัก ตัวข้าจวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก แม้จะรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่แก่ตายได้หรือไม่ เหตุใดถึงยังมีคนเข้ามาข้างกายตัวข้าจวิ้นอ๋องอยู่อีก ถามจางหร่วนหรือหลี่หร่วนผู้นี้ดูสิว่า นี่คือการทดแทนบุญคุณหรือว่าล้างแค้น ข้าฆ่าล้างตระกูลนางหรือว่าขุดหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลนางทำให้นางทุ่มเทกายใจอยากจะทำลายตัวข้าจวิ้นอ๋องหรือไม่”

 

 

หยุดครู่หนึ่ง เจียงไป๋คล้ายใคร่ครวญ หลังจากนั้นก็เลียนแบบต่อ “จวิ้นจู่เองก็ลำบากใจจริงๆ ทุกข์ระทมใจเพื่อสุขภาพของตัวข้าจวิ้นอ๋อง ยังแบกรับชื่อเสียงไม่ดีมากมายเพียงนั้น ตัวข้าจวิ้นอ๋องละอายใจจริงๆ!”

 

 

คำพูดชุดนี้เจียงไป๋เลียนแบบได้เหมือนจริงอย่างถึงที่สุด ทำนองที่สูงส่งเป็นเหนือนั่น น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกนั่น ราวกับออกมาจากนายของเขา

 

 

“ทุกท่าน นี่ก็คือเจตนารมณ์นายท่านของข้า” เขาพูดไปพลาง มองใบหน้าเสิ่นเวยด้วยความระมัดระวัง เห็นในแววตานางมีรอยยิ้มกะพริบผ่าน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งครา อืม ขอเพียงแค่จวิ้นจู่ไม่โกรธก็พอแล้ว

 

 

องค์หญิงใหญ่หัวเราะออกมาก่อนแล้ว “ดูสิ อาบอกแล้วว่าโย่วเอ๋อร์เป็นคนลำดับความสำคัญได้ โย่วเอ๋อร์มีสุขภาพเช่นนั้น โชคดีที่มีเจ้า เด็กดี ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าเรื่องอะไรอาจะช่วยเหลือเจ้าเอง” กล่าวกับเสิ่นเวยด้วยความอ่อนโยนไปพลาง กวาดตามองฟั่นซื่อกับซูหร่วนปราดหนึ่งอย่างมีความหมายแฝงนัย

 

 

เสิ่นเวยเองก็แย้มยิ้ม ท่าทางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง “เสด็จอา คุณชายใหญ่ของพวกข้านิสัยเย็นชาเล็กน้อย แต่คนดียิ่งนัก ปฏิบัติต่อหลานก็ดีเช่นกัน” ตอนนี้ย่อมต้องแปะทองบนหน้าสวีโย่ว

 

 

ฮูหยินทั้งหมดข้างหลังพากันก่ายหน้าผาก ผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นไหนเลยจะมีนิสัยเย็นชา เห็นชัดๆ ว่าเย็นชาจนผิดมนุษมนาแล้ว ซูหร่วนอะไรนี่ก็ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นกัน เหตุใดถึงกล้าเข้าใกล้เขา ไม่เห็นหรือว่าสตรีสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ไม่มีความกล้าเช่นนั้น

 

 

มีองค์หญิงใหญ่นำ ฮูหยินทั้งหมดย่อมยกยอเสิ่นเวย

 

 

“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เองก็ทุ่มเทกายใจจริงๆ หากไม่มีจยาฮุ่ยจวิ้นจู่กันอยู่ข้างหน้า ผิงจวิ้นอ๋องไหนเลยจะแข็งแรงอย่างทุกวันนี้”

 

 

“ยังคงเป็นฝ่าบาทที่มีพระเนตรเฉียบแหลม มิเช่นนั้นจะพระราชทานฮูหยินที่ดีเพียงนี้ให้ผิงจวิ้นอ๋องได้อย่างไร”

 

 

“ต่อให้มีคนต่ำทรามเห็นคนอื่นดีไม่ได้ พูดจาพล่อยๆ ยุแยงตะแคงรั่ว ต่อไปนี้หากใครพูดถึงจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไม่ดีอีกแม้แต่ประโยคเดียว คิดหรือว่าข้าจะไม่กล้าตบหน้านาง”

 

 

ไม่ว่าจริงหรือเท็จ แต่ความอิจฉาที่ทุกคนมีต่อเสิ่นเวยเป็นเรื่องที่แน่นอน ไม่เห็นหรือว่าผิงจวิ้นอ๋องล้างมลทินให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ด้วยตัวเอง ดูสิว่าภายหลังในเมืองหลวงใครยังกล้าพูดว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่โหดเ**้ยมขี้อิจฉาอีก นางไหนเลยจะขี้อิจฉา นางคิดแทนสุขภาพร่างกายสามีของตนต่างหากเล่า! จะไปหาภรรยาที่ดีเพียงนี้ได้ที่ไหนอีก

 

 

เสิ่นเวยยิ้มแย้มรับฟัง แต่ความจริงแล้วแขนต่างก็ขนลุกขนชันไปด้วยความสะอิดสะเอียน นางคิดว่าตอนนี้ทั่วทั้งร่างนางมีแสงทองเปล่งออกมา ใกล้จะกลายเป็นพระพุทธเจ้าที่โปรดสรรพสิ่งบนดอกบัวแล้ว

 

 

มองกลับกันฟั่นซื่อกับซูหร่วน ไอหยา ใบหน้านั่นย่ำแย่ไม่น้อยหน้ากันเลย ฟั่นซื่อยังกล่าว “นับว่าตัวข้าฮูหยินซื่อจื่อมองคนผิดแล้ว ที่แท้แล้วน้องใหญ่โย่วก็เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบนี่เอง”

 

 

เสิ่นเวยหรี่ตาลงในชั่วขณะ กล่าวอย่างเย็นชา “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยโปรดระวังคำพูด คุณชายใหญ่ของพวกข้าเป็นอย่างไร มีฝ่าบาทตัดสิน ไม่ใช่สตรีเรือนหลังผู้หนึ่งเช่นเจ้าจะสอดปากได้”

 

 

ฟั่นซื่อไม่ยินยอม ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่กลับสบสายตาที่น่าสะพรึงกลัวทั้งยังเต็มไปด้วยไอสังหารของเสิ่นเวย ชั่วขณะก็ใจเต้น ไม่กล้าเอ่ยปากแล้ว

 

 

องค์หญิงใหญ่เองก็กล่าวตำหนิ “หากภรรยาเลี่ยเอ๋อร์พูดจาไม่เป็นก็อย่าได้เปิดปาก พี่สะใภ้กงอ๋องเล่า จื่อเถิง ส่งฮูหยินซื่อจื่อไปถามพี่สะใภ้กงอ๋องว่านางสั่งสอนภรรยาอย่างไร”

 

 

“เพคะ บ่าวน้อมรับคำสั่ง” หญิงรับใช้วัยกลางคนข้างกายองค์หญิงใหญ่ก้าวออกมา “ฮูหยินซื่อจื่อ เชิญเจ้าค่ะ”

 

 

บนใบหน้าฟั่นซื่อประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว คิดจะไม่ไป แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งขององค์หญิงใหญ่

 

 

เมื่อฟั่นซื่อไปแล้ว เหลือเพียงซูหร่วนผู้เดียว นางมองแผ่นหลังของฟั่นซื่อ คิดจะตามไปเช่นกัน เจียงไป๋เปิดปาก พูดแล้ว “แม่นางซูจะไปไหนหรือ นายท่านของข้าสงสัยว่าท่านคือไส้ศึกที่คนชั่วส่งมาข้างกายเขาหรือไม่ พาตัวไป” เขาโบกมือ จู่ๆ ก็มีหญิงชราสองคนที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน อุดปากของซูหร่วนลากนางออกไปแล้ว