บทที่ 1129 โซ่หยิน-หยาง และปีกหยิน-หยาง

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หลังจากที่ส่งจินเหยียวที่ห้องแล้วหลิงหยุนก็เรียกขวดหยกบรรจุน้ำลายมังกรออกมามอบให้กับนาง
  “ท่านน้าจินเหยียว..สองสามวันนี้ท่านคงต้องพักฟื้นร่างกาย น้ำลายมังกรนี่จะเป็นประโยชน์กับท่านมาก!”
  เมื่อได้ยินว่าเป็นน้ำลายมังกรจินเหยียวถึงกับปากคอสั่น และไม่สามารถพูดอะไรกับหลิงหยุนได้แม้แต่คำเดียว..
  จินเหยียวกำขวดหยกในมือแน่นหลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ นางจึงพูดออกไปว่า “หลิงหยุน.. เวลานี้หนอนกู่ชีวิตและความตายก็ได้กลับเข้ามาอยู่ในตัวข้าแล้ว ข้าเชื่อว่าหลังจากพักฟื้นก็จะสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้อย่างแน่นอน..”
  และแน่นอนว่าหากจินเหยียวสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้นางก็จะอยู่ในขั้นที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้..
  หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและแอบคิดอยู่ในใจว่าตนเองยังมีโอสถหลงหลิง และโอสถหลงหู่อยู่ หากจินเหยียวสามารถขึ้นสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้แล้ว เขาจะมอบโอสถทั้งสองให้กับนาง ถึงตอนนั้นนางจะสามารถพัฒนาขึ้นสู่ขั้นที่สูงกว่าได้อีกอย่างแน่นอน..
  แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนาง และได้แต่ร้องเตือนไปว่า “ท่านน้าจินเหยียว.. ท่านอย่าได้ฝึกปราณทมิฬตามแบบซือกงถูโดยเด็ดขาด!”
  ที่หลิงหยุนต้องเตือนจินเหยียวเช่นนั้นเพราะเมื่อครู่นางเป็นคนบอกเองว่าหนุนกู่ที่นางเรียกกลับคืนเข้าร่างนั้น ได้บันทึกความทรงจำมากมายของซือกงถูไว้ด้วย..
  จินเหยียวเหลือบมองหลิงหยุนและได้แต่ยิ้มออกมา ก่อนจะตอบไปว่า “เจ้าอย่าได้เป็นห่วง.. ข้าฝึกวิชาจากแม่ของเจ้า ข้าย่อมไม่ฝีกปราณทมิฬนั่นอย่างแน่นอน!”
  หลังจากได้ฟังคำยืนยันจากปากของจินเหยียวเช่นนั้นหลิงหยุนจึงเดินออกจากห้องของนางด้วยความโล่งใจ แต่หลิงหยุนก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง เขาตรงไปยังสวนชั้นที่หก และนั่งฝึกวิชาอยู่ข้างต้นหลิวเทวะวิญญาณตลอดทั้งคืน..
  และครั้งนี้หลิงหยุนก็กำลังฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยาง..
  เวลานี้..หลิงหยุนซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-2) มีหยินและหยางอยู่ในร่างกายมากมาย จนพวยพุ่งออกมาล้อมรอบกายของเขาไว้ ทำให้เขาดูประหนึ่งเทพบนสวรรค์..
  เวลานี้รัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนครอบคลุมไกลถึงสองกิโลเมตรและสามารถบังคับกระบี่เหินได้ในระยะสองร้อยเมตร..
  แต่กระบี่เหินนี้ไม่ใช่กระบี่เหินเงาธนูที่หลิงหยุนสร้างขึ้นแต่เป็นกระบี่เหินที่เกิดจากพลังปราณในตัว!
  หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิและค่อยๆปลดปล่อยหยินและหยางในกายออกมา ภายใต้การควบคุมของหลิงหยุน พลังหยินและหยางที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นดาบ บางคราก็เปลี่ยนเป็นกระบี่ บางคราวก็เปลี่ยนเป็นขวานด้ามใหญ่ เป็นหอก เป็นง้าว และอีกมากมาย..
  สุดท้าย..หลิงหยุนได้เปลี่ยนพลังปราณที่พวยพุ่งออกมานั้นให้กลายเป็นโซ่ขนาดใหญ่สองเส้นที่มีความยาวหลายสิบเมตร และแต่ละเส้นก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหนึ่งข้อมือผู้ใหญ่ อีกทั้งยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
  และสามารถเปลี่ยนปลายของโซ่ทั้งสองเส้นให้เป็นหอกหรืออาวุธชนิดใดก็ได้ตามแต่ใจต้องการ!
  โซ่เส้นหนึ่งเป็นสีดำและอีกเส้นเป็นสีขาว.. เส้นหนึ่งเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง ส่วนอีกเส้นร้อนระอุดั่งไฟ!
  และนี่คือโซ่หยิน–หยาง!
  โซ่หยิน–หยางนี้พันอยู่รอบกายหลิงหยุนดูราวกับมังกรขนาดหลายสิบเมตรที่มีชีวิตสองตัว บางครั้งก็เลื้อยพันเข้าด้วยกัน บางครั้งก็คลายออกจากกัน และพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นเส้นตรงราวกับกระบองที่สูงกว่าสิบเมตร..
  “โซ่หยิน–หยาง..เจ้าจะเป็นอาวุธที่สามารถใช้ทั้งจู่โจมและตั้งรับได้เป็นอย่างดี!”
  ………..
  หลิงหยุนนั่งฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยางจนดึกดื่นและเวลานี้เขาก็สามารถควบคุมพลังหยินและหยางในร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธอันทรงพลังที่เรียกว่าโซหยิน–หยางได้!
  โซ่หยิน–หยางนี้เกิดจากพลังหยิน–หยางในร่างกายของหลิงหยุนและหลิงหยุนได้ใช้จิตใจบังคับควบคุมให้โซ่หยิน–หยางนี้ สามารถยืดยาว และหดได้ตามแต่ใจต้องการ เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้คล่องแคล่วราวกับเป็นแขนของตนเองก็ไม่ปาน..
  หลิงหยุนยังคงฝึกควบคุมโซ่หยิน–หยางนี้ให้เคลื่อนที่ไปมาราวกับมังกรสองตัวที่กำลังร่ายรำ..   “เยี่ยม!”
  หลิงหยุนใช้จิตใจบังคับโซ่หยิน–หยางนี้ให้ลัดเลาะไปตามกำแพงสูงของสวนชั้นที่หกและตรงไปยังสวนชั้นที่เจ็ด ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ลูกเหล็กขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง..
  เมื่อโซ่หยิน–หยางพุ่งกระทบลูกเหล็กก็ได้เปลี่ยนเป็นโซ่สีดำ และสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โซ่ทั้งสองเส้นค่อยๆรัดรึงลูกเหล็กขนาดใหญ่นั้นไว้จนทั่ว..
  “ขึ้นมา!”
  หลิงหยุนใช้จิตใจบังคับควบคุมโซ่หยิน–หยางนั้นให้ยกเอาลูกเหล็กขนาดใหญ่นั้นขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น และหากผู้ใดได้มาพบเห็นภาพที่เกิดขึ้น ก็คงต้องตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้างอย่างแน่นอน!
  นั่นเพราะหลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ในสวนชั้นที่หกข้างต้นหลิวเทวะวิญญาณแต่กลับสามารถบังคับควบคุมพลังปราณของตนเอง ให้พุ่งออกไปยกลูกเหล็กหนักหลายร้อยกิโลกรัมที่อยู่ในสวนชั้นที่เจ็ดได้..
  หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้ควบคู่กับความคิดในการควบคุมสั่งการให้โซ่หยิน–หยางเคลื่อนที่ไปตามใจต้องการได้อย่างน่าอัศจรรย์!
  และนี่ก็คือพลังเหนือธรรมชาติ!
  เวลานี้ลูกเหล็กขนาดใหญ่ถูกโซ่หยิน–หยางของหลิงหยุนยกขึ้นและจับโยนไปทางซ้ายทีขวาที แล้วโยนขึ้นโยนลงราวกับลูกฟุตบอล
  ภาพที่เห็นในขณะนี้จึงดูคล้ายกับมังกรยาวสองตัวกำลังกระโดดโลดเต้น และเล่นลูกเหล็กขนาดใหญ่อยู่บนท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์ตระกูลหลิงกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ลูกเหล็กนั่นไม่มีทีท่าว่าจะตกลงบนพื้นเลยแม้แต่น้อย..
  หลิงหยุนกำลังใช้ลูกเหล็กขนาดใหญ่นี้ฝึกความคุ้นเคยในการบังคับควบคุมโซ่หยิน–หยางผ่านความคิด หลิงหยุนฝึกอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรู้สึกราวกับว่า โซ่หยิน–หยางนั้นเป็นเสมือนนิ้วมือของตนเองแล้ว จึงค่อยๆ ควบคุมให้โซ่หยิน–หยางนำลูกเหล็กกลับลงไปไว้ที่เดิมอย่างนุ่มนวล..
  “โม่วู๋เตา..เจ้าหมูเกียจคร้านนั่นยังคงนอนหลับอุตุเช่นเคย!”
  จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนสำรวจพบร่างของโม่วู๋เตาที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในห้องเขาแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา และเปลี่ยนให้โซ่หยิน–หยางกลายเป็นงูเลื้อยเข้าไปในห้องนอนของโม่วู๋เตาแทน..
  “หึ..เจ้ามาเจอกับข้านับเป็นความโชคร้ายของเจ้าแล้ว!”
  เมื่อเข้าไปในห้องนอนของโม่วู๋เตาได้หลิงหยุนก็ได้เปลี่ยนพลังปราณนี้ให้เป็นโซ่หยิน–หยางที่พุ่งเข้ารัดร่างของโม่วู๋เตาไว้ทันที!
  จากนั้นจึงบังคับควบคุมให้โซ่หยิน–หยางยกร่างของโม่วู๋เตาลอยออกทางหน้าต่างห้องนอนที่กำลังเปิดอยู่
  “แย่แล้ว..นี่มันเกิดอะไรขึ้น”   โซหยินหยางนั้น..เส้นหนึ่งเย็นเส้นหนึ่งร้อน และทันทีที่รัดเข้ากับร่างของโม่วู๋เตา เขาก็ถึงกับสะดุ้ง และลืมตาตื่นขึ้นมาทันที จึงได้เห็นว่าหลิงหยุนกำลังลากร่างของตนเองออกมานอกหน้าต่างห้องนอน และเวลานี้ร่างของตนก็กำลังลอยอยู่กลางอากาศ..
  “หลิงหยุน..นี่เจ้าทำบ้าอะไร”
  เมื่อเห็นว่าร่างของตนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้นมีหรือที่โม่วู๋เตาจะไม่กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
  “ฮ่า..ฮ่า.. ก็เจ้าเอาแต่นอนเกียจคร้านเป็นหมู!”
  หลิงหยุนร้องบอกโม่วู๋เตาพร้อมกับจับร่างของเขาโยนขึ้นโยนลงอยู่กลางอากาศเช่นนั้น..
  “หลิงหยุน..นี่เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง”
  “นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน!”
  หลังจากหายตกใจโม่วู๋เตาก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโหแทน..
  “ก็เจ้าเอาแต่นอนหลับอุตุเกียจคร้านเช่นนี้..ข้าก็เลยพาเจ้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก เผื่อว่าเจ้าจะได้รู้สึกขยันขึ้นมาบ้างยังไงเล่า”
  “ได้..ได้.. ข้าไม่นอนแล้ว! ฝึกก็ฝีก.. รีบๆปล่อยข้าลงไปเร็วเข้า!”
  “โอ้โห..หลิงหยุนนี่เจ้า! เจ้า.. น่าอัศจรรย์จริงๆ!”
  ทันทีที่โม่วู๋เตาลงสู่พื้นดินเขาก็สังเกตเห็นโซ่หยิน–หยางที่ลอยวนอยู่รอบตัวหลิงหยุน จึงได้ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง!
  หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับตอบไปว่า“ข้ากำลังฝึกใช้พลังเหนือธรรมชาติ และนี่เรียกว่าโซ่หยิน–หยาง มันยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่” novel-lucky
  โม่วู๋เตาได้แต่พยักหน้าด้วยความตกตะลึง“มันเยี่ยมมากจริงๆ! นี่คือพลังเหนือธรรมชาติงั้นรึ”   หลิงหยุนหัวเราะและบอกกับโม่วู๋เตาว่า“ หากเจ้าอยากเก่งเหมือนข้า ก็ต้องขยันแล้วก็หมั่นฝึกฝน!”
  หลิงหยุนจงใจพูดกระตุ้นให้โม่วู๋เตาเกิดความกระตือรือร้นในการฝึกฝนวิชาและก็ได้ผลดีเกินคาด..
  โม่วู๋เตาได้ยินเช่นนั้นจึงรีบนั่งลงขัดสมาธิทันทีหลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ข้าอุตส่าห์ถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับเอาแต่นอน และเกียจคร้านเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่ากับที่ข้าเสียเวลาสอนให้หรือไม่”
  หลังจากพูดจบหลิงหยุนก็ไม่สนใจโม่วู๋เตาที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนวิชาอีกเวลานี้หลิงหยุนกำลังคิดว่าจะลองเปลี่ยนพลังหยิน–หยางในตัวให้เป็นปีกหยิน–หยางบ้าง..
  หลิงหยุนได้แต่คิดว่าในเมื่อเขาสามารถเปลี่ยนพลังหยิน–หยางให้เป็นโซ่หยิน–หยางที่แข็งแกร่งได้ก็น่าจะเปลี่ยนเป็นปีกหยิน–หยางได้เช่นกัน!
  เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนจึงไม่รีรอและรีบนั่งลงขัดสมาธิข้างโม่วู๋เตา และกำลังวาดภาพว่าด้านหลังของตนนั้นมีปีกสีขาว และดำขนาดใหญ่ราวสี่เมตรสยายออกมา และกำลังกระพืออยู่..
  ปีกทั้งสองข้างของหลิงหยุนนั้นสร้างขึ้นด้วยพลังปราณในร่างกายและบังคับควบคุมด้วยจิตใจ เวลานี้หลิงหยุนกำลังจะทดลองใช้ปีกหยิน–หยางบินขึ้นสู่ท้องฟ้า!
  หลังจากที่ปีกทั้งสองข้างปรากฏขึ้นแล้วหลิงหยุนก็เริ่มใช้จิตใจบังคับควบคุมปีกทั้งสองข้างให้กระพือแรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า..
  หลิงหยุนเร่งความเร็วของปีกทั้งสองข้างขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดร่างของหลิงหยุนก็ลอยขึ้นจากพื้นดินสูงถึงแปดเมตร แต่หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงความหนักหน่วงที่เกิดขึ้นเล็กน้อย จึงค่อยร่อนลงพื้นดังเดิม
  หลิงหยุนต้องรอให้ปีกหยิน–หยางของเขามีพลังปราณที่ควบแน่นมากกว่านี้อากาศที่อยู่ด้านล่างจะได้สามารถทำหน้าที่เป็นลมใต้ปีก ช่วยดันปีกทั้งสองข้างทำให้สามารถบินไปกลางอากาศได้โดยไม่ร่วงหล่นลงพื้น..
  “ปีกขนาดสี่เมตร..พลังปราณยังคงน้อยไป เกรงว่าบินไปได้ไม่ไกลก็อาจตกลงมาเสียก่อน คงต้องรอให้แกร่งกว่านี้ หากจะบินตอนนี้ก็คงบินไปได้ไม่ไกลนัก!”
  “แต่เพียงแค่นี้ก็ดีมากแล้ว!”
  หลิงหยุนพึมพำกับตนเองอย่างมีความสุขและคิดว่าเวลานี้ตนเองยังแกร่งไม่พอ หากจะบินให้ได้ตอนนี้ก็คงจะเป็นการเร่งรีบจนเกินไป จึงตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้ไว้ก่อน..
  หลิงหยุนจะไม่ฝีนทำในสิ่งที่ตนเองยังไม่มั่นใจเด็ดขาด..แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากนัก เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อใดที่เข้าสู่ขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) พลังปราณและจิตหยั่งรู้ของตนเองจะแกร่งกว่านี้มาก ถึงตอนนั้นอยากจะบินก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร!
  “หึ..ข้าจะให้แวมไพร์ทั้งห้าตนพาบินเมื่อไหร่ก็ย่อมได้! อย่างไรก็ดีกว่าวิ่งไปในต่อใหนด้วยสองขา..”   หลิงหยุนพึมพำกับตนเองพร้อมกับเลิกคิดเรื่องนี้และนั่งลงฝึกฝนดาราคุ้มกายต่อ..
  …..
  จนกระทั่งหกโมงเช้า..หลิงหยุนจึงหยุดฝึกวิชา เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า และเหลียวมองไปรอบๆตัว แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
  ปักกิ่งนั้นเจริญกว่าจิงฉูมากนักจึงมีอาคารสูงมากมายเต็มไปหมด และได้รายล้อมคฤหาสน์ตระกูลหลิงไว้โดยรอบ ทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา..
  อีกทั้งเพราะอาคารสูงที่รายล้อมนี้ทำให้หลิงหยุนไม่สามารถกระโดดขึ้นไปฝึกดาราคุ้มกายบนหลังคาเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูได้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่บนอาคารสูงมองลงมาเห็นเข้า คงต้องคิดว่าเขาเป็นคนเสียสติอย่างแน่นอน!
  “ข้าต้องรีบแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วไม่เช่นนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการฝึกวิชาของของข้ามาก..”   หลิงหยุนได้แต่แอบคิดว่าหลังจากการประลองยุทธกับตระกูลเฉินเสร็จสิ้นลงเขาคงต้องคิดเรื่องการย้ายที่อยู่อย่างจริงจังเสียที!
  วันนี้หลิงหยุนหยุดการฝึกวิชาเร็วกว่าทุกๆวันถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งนั่นเพราะเขาพบว่าหลิงเสี่ยวได้ตื่นนอนแล้ว และกำลังตรงไปยังสวนชั้นที่แปดเพื่อฝึกวิชาเช่นกัน..
  ตั้งแต่เขาและพ่อกลับเข้าตระกูลหลิงมาหลิงหยุนก็ยังไม่เคยเข้าไปวุ่นวายในบริเวณบ้านของหลิงเสี่ยวเลย เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจของทุกฝ่าย
  “โม่วู๋เตา..เจ้ายังต้องฝึกอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเจ็ดโมงครึ่ง ไม่เช่นนั้นห้ามเจ้ากินอาหารเช้าเด็ดขาด!”
  หลิงหยุนเห็นโม่วู๋เตาหรี่ตาขึ้นมองจึงรีบสั่งให้ฝึกต่อทันที จากนั้นตัวเขาเองก็ตรงไปยังสวนชั้นที่แปดของคฤหาสน์ตระกูลหลิงทันที