ตอนที่ 45 บำเพ็ญเซียนคู่!? Ink Stone_Fantasy
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด
หลังได้เห็นพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ปกป้องของมีค่าของอาจารย์หัวดื้อจอมเอาแต่ใจ หวังลู่ก็อดที่จะอ้าปากค้างไม่ได้ สมองของเขาถึงกับหยุดชะงักไป
หากพลังปราณกระบี่ระยะไกลอย่างคาดไม่ถึงนี้มาการบำเพ็ญเซียน เรายังสามารถอธิบายถึงพลังมหาศาลของมันได้ ทว่าพลังระยะไกลที่ทำให้ซ่าวป๋อบาดเจ็บนี้กลับมาจากแนวคิดที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
คำสาบานกับปีศาจในใจไม่เอื้อให้กับการเล่นลิ้น และยิ่งไม่เอื้อให้กับการสะกดจิตตัวเอง แค่จะปลดปล่อยความโกรธในใจออกไป หวังลู่ยังต้องเสียอายุขัยไปถึงสามสิบปี ทว่าอาจารย์ของเขากลับปล่อยพลังปราณกระบี่ออกมาได้ง่ายๆ โดยที่ไม่มีวี่แววว่าอายุจะหดสั้นลงแม้แต่น้อย
มันช่างไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ ทว่าความจริงก็เป็นอย่างที่เห็น ดังนั้นแทนที่จะมานั่งบ่นเรื่องเหตุผล เขาควรหาคำอธิบายที่น่าเชื่อถือจะดีกว่า และดูเหมือนคำอธิบายที่เป็นไปได้จะมีอยู่หลายทาง ในเมื่อมีผู้ฝึกวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ที่ใช้คำสาบานกับปีศาจในใจเช่นเดียวกัน หวังลู่จึงจริงจังกับการใช้เงื่อนไขที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อที่จะขยายความแข็งแกร่งภายใต้คำสาบานกับปีศาจในใจออกไป… เขาเชื่อว่าในเมื่อผู้เป็นอาจารย์สำแดงพลังปราณกระบี่ที่ฝืนลิขิตสวรรค์เช่นนี้ต่อหน้าเขา นางย่อมตั้งใจชี้ให้เขาเห็นบางอย่างแน่
ดูสิ นี่คือทางที่เจ้าต้องเดินต่อไป
หากจะใช้วิชาสะท้อนคืนการโจมตีในระยะไกลให้เป็นผล วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการแบ่งแยกกายเนื้อ โดยแยกชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เล็บ ผม หรือเนื้อหนังแล้วเอาไปวางไว้เหนือบุคคลที่ต้องการปกป้อง ด้วยวิธีนี้การสะท้อนคืนจะส่งผลทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามสัมผัสกับชิ้นส่วนเหล่านั้น
สำหรับตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย การควบคุมชิ้นส่วนร่างกายในระยะไกลเช่นนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ หนำซ้ำสำหรับสำนักกระบี่วิญญาณที่ผู้บำเพ็ญเซียนให้ความสำคัญกับทักษะพื้นฐานและรากฐาน พวกเขาจึงสามารถแยกส่วนร่างกายและส่งพวกมันไปไกลจากร่างหลายร้อยฉื่อได้ ด้วยเหตุนี้หากศัตรูคิดขยับแม้เพียงนิด ผู้ฝึกวิชาไร้ลักษณ์ที่มีคำสาบานกับปีศาจในใจก็สามารถอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันตัวและฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ทันที
ทว่าสิ่งที่อาจารย์ของเขาทำดูเหมือนจะดีกว่านั้นหลายเท่า นางไม่ได้แบ่งกายเนื้อตัวเอง แต่กลับรวมยันต์สวรรค์เข้าไปในกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ของนาง และภายใต้รัศมีการป้องกัน ทุกสิ่งที่เป็นของนางก็ถือว่าอยู่ในพื้นที่ป้องกันทั้งหมด
“หึ นี่คือภาคเสริมของแนวคิด ‘ตัวข้า’ มันสามารถขยายออกไปได้ทั่วโลก เดี๋ยวเจ้าก็จะได้สัมผัสในไม่ช้านี้นี่แหละ”
เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังขึ้นในใจของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“บนเส้นทางบำเพ็ญเซียน ไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่าอยู่ลำพัง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสันโดษเพียงใด ไม่ช้าก็เร็วคนผู้นั้นย่อมพบสิ่งของหรือคนที่รู้สึกรัก หากศัตรูไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ อีกฝ่ายจะละสายตาไปสนใจสิ่งของหรือคนที่เจ้ารักแทน และหากเจ้าปกป้องสิ่งของหรือคนที่รักไม่ได้ เจ้าก็จะได้ลิ้มรสความเลวร้ายที่ยิ่งกว่าความตาย แต่ข้าว่าเจ้าคงมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว”
หวังลู่นิ่งงันและทำได้เพียงยิ้มแหยออกมา
ก่อนหน้านี้หลิวหลีเพียงบาดเจ็บหนัก แต่หวังลู่กลับรู้สึกถึงขั้นที่ว่าเลือดในกายเดือดพล่าน แล้วหากในตอนนั้นนางตายไปจริงๆ…
“เจ้าห่วงหลิวหลีขนาดนั้นเชียว ถ้านั้นก็ง่ายมาก… แม้เจ้าจะยังไม่อาจเรียนได้ถึงขั้นปกปิดแผ่นฟ้าและผืนดินเพราะพลังวิญญาณขั้นปฐมยังควบแน่นไม่พอ แต่ก็มีวิธีบ้านๆ ที่จะช่วยให้เจ้าปกป้องหลิวหลีได้ถึงที่สุดไม่ว่าเมื่อใด”
“มีเล่ห์กลแบบนั้นด้วยหรือ แล้วทำไมท่านไม่สอนข้าก่อนหน้านี้เล่า”
ผลก็คือผู้เป็นอาจารย์ถามกลับอย่างสนอกสนใจ “เจ้าแน่ใจใช่ไหม วิธีบ้านๆ ที่ข้าพูดถึงก็คือบำเพ็ญตบะคู่”
“…”
“หากเจ้ากับหลิวหลีร่วมสังวาสกัน จิตวิญญาณและเลือดเนื้อของพวกเจ้าจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และพลังของวิชาไร้ลักษณ์ก็จะส่งต่อถึงนางด้วย เจ้ายังสามารถแบ่งเบาความเจ็บปวดจากนางได้ ดังนั้นหากมีใครมาทำให้นางบาดเจ็บ เจ้าก็สามารถตั้งรับและโต้กลับได้โดยตรง”
“…”
“จะว่าไปกลยุทธ์ต่างๆ ที่ได้จากวิชาไร้ลักษณ์ ข้าพอใจกับวิชาผสานกายไร้ลักษณ์มากที่สุด โชคร้ายที่ยังหาหุ้นส่วนเหมาะๆ ไม่ได้ เสี่ยวชีเป็นคนเก็บตัวและขี้อาย นางบอกว่านางอายเกินกว่าจะร่วมฝึกกับข้าได้ ดังนั้นข้าก็ได้แต่เก็บข้อมูลจากเจ้าเนี่ย”
หวังลู่กล่าวขึ้น “…ข้าหมดเรื่องคุยแล้ว ท่านจะเล่นอะไรต่อก็เชิญ”
พูดจบเขาก็ตัดการเชื่อมต่อการสนทนาไป
อาวุโสห้าทั้งขำทั้งเคือง “เจ้าต้องมีอะไรกังวลด้วยรึไง ข้ายังพูดด้วยไม่ทันจบเลย หากเจ้าไม่คุยแล้ว ถ้างั้นข้าก็…”
——
อีกด้านหนึ่ง
พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ปกป้องของมีค่าของอาวุโสห้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณสามารถทำลายแขนของซ่าวป๋อ ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ทันทีที่การซุ่มโจมตีของเขาล้มเหลว ซ่าวป๋อก็ได้ลิ้มรสพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ที่รุนแรงอย่างฉับพลัน เขารีบกดอาการบาดเจ็บและถอยออกมาได้ทันท่วงที อย่างไรเสียความแข็งแกร่งของตบะขั้นกำเนิดใหม่ก็ไม่ใช่เล็กน้อย ในอึดใจเดียวแขนที่รุ่งริ่งของเขาก็งอกคืนมาใหม่ อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นในวิหารหยกก็ถูกซ่อมแซมเรียบร้อย แต่ถึงกระนั้นความมั่นใจของเขากลับยังไม่คืนมา
หากวัดกันเรื่องความแข็งแกร่ง เขามั่นใจว่าไม่มีทางพ่ายแพ้ให้ตบะขั้นสร้างแกนแน่ ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับการโต้กลับอย่างคาดไม่ถึงหลายต่อหลายครั้ง ซ่าวป๋อก็รู้ว่าการที่เขาจะชิงลงมืออีกครั้งนั้นไม่ฉลาดเลย ต่อให้เขาทำให้ทั้งหวังอู่และตัวเองพ่ายแพ้ด้วยกันไปทั้งคู่แต่แล้วอย่างไรเล่า หากห้ามสัตว์เซียนไม่ให้หนีไปไม่ได้ อย่างไรก็ยังถือเป็นความล้มเหลวอยู่ดี
ซ่าวป๋อคำนวณสถานการณ์ที่เห็นตรงหน้าอยู่เงียบๆ ภายในเมฆสีทะมึน พลังวิญญาณขั้นปฐมของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่เช่นเขานั้นไร้เทียมทาน มันสามารถคำนวณสิ่งต่างๆ ได้เป็นแสนเรื่องในทันที ทว่าหลังจากเค้นสมองจนเหนื่อยแล้ว เขาก็ยังไม่อาจหาทางออกของสถานการณ์นี้ได้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามสามารถกันเขาได้เพียงแค่อึดใจ ต่อให้เขามีความสามารถสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจขัดขวางให้คนเหล่านี้พาตัวสัตว์เซียนออกไปได้
การปรากฏตัวของหวังอู่สร้างปัญญาอย่างมาก ตอนนี้หากไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนที่ตบะขั้นใกล้เคียงกับเขามาช่วย เพื่อที่ว่าคนหนึ่งจัดการหวังอู่ในขณะที่อีกคนจัดการหวังลู่ เขาก็คงไม่มีโอกาสที่จะพาตัวสัตว์เซียนกลับไป ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาจะไปหาผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายมาจากไหนได้ แค่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์อย่างเขาเหาะนับพันลี้มายังแคว้นสายหมอกก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแล้ว คนในสำนักเองยังเรียกการกระทำของเขาว่าขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย… เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงคนหนุ่มสาวที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์และขั้นสร้างแกน ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าจู่ๆ ยายปีศาจนี่จะโผล่ออกมา
แม้ซ่าวป๋อจะทรงพลัง แต่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญคือการร่วมมือกับมังกรน้ำทั้งสองเพื่อโจมตีขั้นรุนแรงกับศัตรูที่มากกว่าหนึ่งในระยะประชิด แต่กระนั้นมันก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าไรหากต้องโจมตีศัตรูที่อยู่ในป้อมกำบัง
ตอนนี้ต่อให้เรียกกำลังเสริมมาก็ช้าไปเสียแล้ว แคว้นทักษิณสวรรค์กับแคว้นสายหมอกนั้นห่างกันหลายพันลี้ หนำซ้ำราชาพยัคฆ์เล่ยเจิ้นยังไม่ได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ที่สาขานี้ หากว่ากันตามขั้นตบะเพียงอย่างเดียว แม้แต่เจ้าสำนักก็ไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ในทันที
ขณะที่ซ่าวป๋อกำลังกังวลอยู่นั้น หวังลู่ก็ดึงป๋ายซือเสวียนมาเพื่อให้นางได้ประทับตราลงลงบนยันต์สวรรค์ ตาของซ่าวป๋อนั้นแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขาอยากจะทึ้งมันออกเป็นชิ้นๆ ทว่าจิตแห่งเต๋าในวิหารหยกกลับระงับแรงกระตุ้นนี้เอาไว้ แล้วบอกเขาว่าตอนนี้ต่อให้เขาทุ่มเต็มกำลังเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ก็ไม่อาจเจาะทะลวงพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของหวังอู่เข้าไปได้ และจะเป็นเขาเองที่ต้องอับอายขายหน้า
ทว่าในตอนนั้นเอง น้ำเสียงอ่อนโยนก็ดังขึ้น
“ฮ่าๆๆ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราอุตส่าห์กระตือรือร้นต้อนรับแขก ในเมื่อพวกเจ้ามากันแล้ว ทำไมถึงได้เร่งร้อนที่จะกลับนักเล่า”
บุคคลที่พูดเหมือนจะอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของเขานุ่มนวลราวสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าทันทีที่ได้ยินก้นบึ้งแห่งจิตใจของเสี่ยวชีก็เย็นเยียบขึ้นทันที “ผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัล!?”
หวังลู่เหยียดยิ้มในใจ “ช่างหัวผู้อาวุโสนั่นผู้อาวุโสนี่เถอะ ข้าจะไปแล้ว… เพราะด้วยความสามารถของอาจารย์ ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์หน้าไหนก็ขวางข้าไม่ได้”
ตอนนั้นป๋ายซือเสวียนได้ประทับตราของนางลงบนยันต์สวรรค์เรียบร้อย เหลือเพียงแค่หวังลู่ใช้งานมัน ทว่าแรงผันผวนเบาๆ ของยันต์สวรรค์ทำให้เขาหยุดการกระทำของตัวเองไว้
อึดใจถัดมา เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้าและพบว่าที่บนยอดเขายอดเมฆาปรากฏร่างของผู้บำเพ็ญเซียนหน้าตาดูอ่อนเยาว์ซึ่งมีเคราและหนวดขาว ผู้บำเพ็ญเซียนคนดังกล่าวดูใจดีและเป็นมิตร เขายิ้มจนตาหยีเป็นขีด ทว่าริมฝีปากที่ปิดสนิทนั้นกลับทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกเย็นวาบ
มือขวาของผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นถือก้อนหินขนาดเล็กไว้ แต่หากมองดูดีๆ หินก้อนนั้นดูเหยียดตรงและแหลมคมเหมือนกระบี่ ด้านข้างล้อมรอบไปด้วยเมฆ… หากนั่นไม่ใช่เขากระบี่วิญญาณแล้วจะเป็นอะไรได้อีก
เขากระบี่วิญญาณมียอดเขาทั้งหมดสิบสองยอด ซึ่งจะมองเห็นได้หลังจากที่เข้าไปในภูเขาแล้วเท่านั้นเพราะใช้อาคมขยายพื้นที่ ทว่าหากมองจากภายนอก เขากระบี่วิญญาณเป็นยอดเขาโดดเดี่ยวรูปร่างคล้ายกระบี่ ผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นกำลังถือเขากระบี่วิญญาณจำลองและมองหวังลู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หวังลู่ส่ายศีรษะคัดค้านตัวเองจากนั้นก็เก็บยันต์สวรรค์ลงไป
ใช้ยันต์สวรรค์อีกไม่ได้แล้ว เป้าหมายในการเคลื่อนย้ายของยันต์สวรรค์คือเขากระบี่วิญญาณ ทว่าความสามารถพิเศษของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นคือสร้างอิทธิพลเลียนแบบบนก้อนหินจำลองในมือ ซึ่งส่งผลให้เกิดการแทรกแซงที่ทรงพลัง แม้ความเป็นไปได้ที่จะแทรกแซงสำเร็จจะมีเพียงหนึ่งในสาม แต่หากทำสำเร็จก็เท่ากับว่ายันต์สวรรค์มูลค่ามหาศาลในมือของหวังลู่จะเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และหวังลู่ก็ไม่คิดเดิมพันกับความเป็นไปได้สองในสามที่เหลือ
ยันต์สวรรค์กระบี่วิญญาณใช้การไม่ได้แล้ว ด้านหนึ่งเพราะผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้มีอาคมที่อัศจรรย์ถึงขนาดสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์จำลองเวทมนตร์ของเขากระบี่วิญญาณได้ ส่วนด้านหนึ่งเป็นเพราะหวังลู่เอายันต์สวรรค์ออกมานานเกินไป เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้มาถึงที่ยอดเขายอดเมฆาก่อนหน้าซ่าวป๋อเสียอีก เพียงแต่เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อสำรวจยันต์สวรรค์ที่อยู่ในมือหวังลู่อย่างละเอียด หลังจากที่ระบุสถานที่เป้าหมายของยันต์สวรรค์ได้แล้ว เขาก็ลงมือสร้างเป้าหมายขึ้นทันที
การเคลื่อนย้ายของยันต์สวรรค์นั้นแม่นยำ ทว่าต้องเป็นเฉพาะกับสถานการณ์ที่ฉับพลันเท่านั้น หากยันต์สวรรค์ถูกเผยออกมานานเกิน ฝ่ายตรงข้ามก็0tสามารถระบุสถานที่เป้าหมายและเตรียมการตั้งรับที่เหมาะสมได้ ยันต์สวรรค์กระบี่วิญญาณไม่ใช่ของหายาก อีกทั้งแม้มันจะดีงามแต่ก็เป็นเพียงวัตถุที่ไร้ชีวิต แม้มันจะมีความสามารถในการเรียนรู้แต่ก็เป็นไปอย่างจำกัด และแม้หวังลู่จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็เอายันต์สวรรค์ออกมาหลายครั้ง และแต่ละครั้งก็ถูกสถานการณ์ภายนอกขัดขวางทำให้ไม่ได้ใช้งาน การที่หวังลู่เผยยันต์สวรรค์นานเกินไปจนทำให้มันใช้การไม่ได้ ตัวเขาเองก็พูดอะไรไม่ออก
อย่างไรเสียอาจารย์ของเขาก็ยังอยู่ที่นี่ และกับผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ทั้งสอง นางคง…น่าจะรับมือไหวละมั้ง
แน่ละ อาจารย์ของเขาไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ หลังจากใช้ญาณหยั่งรู้กวาดดูบนยอดเขายอดเมฆา หญิงสาวก็ส่งเสียงล้อเลียนอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไง หลี่ฮั่น เต่าชราอย่างเจ้าก็มาด้วยหรือ”
ผู้บำเพ็ญเซียนนามว่าหลี่ฮั่นยิ้ม “ศิษย์ของข้าถูกสังหาร ในฐานะอาจารย์ ข้าจะมัวนั่งนิ่งอยู่ที่แคว้นทักษิณสวรรค์ได้ยังไง แม้เจ้าเด็กเล่ยเจิ้นนั่นจะหัวดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟัง แถมยังไม่ค่อยมีพรสวรรค์ ยังไงซะเขาก็เป็นศิษย์ของข้า ในเมื่อเขาตาย ข้าก็จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง… ก็เหมือนที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้นั่นล่ะ”
ขณะพูดเขาก็ค่อยๆ ลงมาจากยอดเขายอดเมฆา เขาก้าวเท้าลงมากลางอากาศ และเมฆขาวก็ลดปริมาณลงทุกครั้งที่ก้าวเดิน พักใหญ่หลังจากที่ลงมาด้านล่างเหมือนก้าวลงบันได เขาก็มาถึงตรงหน้าของหวังอู่
“อาวุโสห้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ? ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามาก ชื่อเสียงของเจ้าสมดังคำร่ำลือ เป็นเพียงตบะขั้นสร้างแกนแต่ก็สามารถทำให้ซ่าวป๋อศิษย์น้องของข้าจนมุมได้ หากข้าไม่มาเห็นกับตาตัวเอง ข้าคงไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะมีใครสำแดงประสิทธิภาพของขั้นสร้างแกนได้ถึงขนาดนี้”
จากนั้นหลี่ฮั่นก็หัวเราะออกมา “แต่ถ้าเป็นตบะขั้นกำเนิดใหม่สองคน แค่ขั้นสร้างแกนอย่างเจ้าจะทำอะไรได้”
พูดจบท่าทางของเขาก็พลันน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ไอเย็นเยือกที่น่าจะแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างได้กระจายออกมา เมื่อเทียบกับซ่าวป๋อที่มีไอดำมืดแล้ว ไอของหลี่ฮั่นนั้นอ่อนโยนและบริสุทธิ์กว่า เขาเพียงปลดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเล็กน้อย แต่หุบเขาจันทร์เต็มดวงก็กลับกลายเป็นฤดูหนาวไปในทันที สิ่งมีชีวิตทั้งภายในและภายนอกหุบเขาเริ่มหนาวสั่น แม้แต่เมฆที่อยู่บนฟ้าก็เริ่มกลั่นตัว แสดงให้เห็นว่าขั้นตบะของเขานั้นสูงกว่าซ่าวป๋อไม่น้อย
ทั้งคู่อยู่ในขั้นกำเนิดใหม่ แต่ความแข็งแกร่งของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้มหาศาล นี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปที่พบเห็นได้จากอาการคอขวดของแต่ละขั้นบนเส้นทางบำเพ็ญเซียน แม้ซ่าวป๋อจะชิงชังผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลที่ชอบทำตัวอ่อนกว่าอายุผู้นี้ แต่ทันทีที่อีกคนปรากฏตัวออกมา สถานการณ์ก็คลี่คลายทันที ไม่ว่าหวังอู่จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่นางจะแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่สองคนรวมกันได้หรือ แม้นางจะมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเอง แต่นางจะสามารถรักษาชีวิตศิษย์และสัตว์เซียนวัยเยาว์ได้จริงหรือ
ทว่าหวังอู่กลับยิ้มออกมาอย่างไม่ไยดี
“ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายสองคนก็ไม่เลวหรอก แต่ใครบอกเจ้ากันว่าที่นี่มีขั้นสร้างแกนแค่คนเดียว”
หลี่ฮั่นส่ายศีรษะ “หากร่างจริงของนักบวชเซนเนื้อสุนัขอยู่ที่นี่ ข้าย่อมถอนตัวในทันที แต่ตอนนี้ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของนางใกล้จะเหือดแห้ง ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะต้านทานการต่อสู้ใดๆ ได้อีก ต่อให้เจ้าบังคับให้นางสู้ ข้าก็เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์”
“เหลวไหล ใครบอกกันว่าตบะขั้นสร้างแกนอีกคนคือเสี่ยวชี วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาเอง!”
ทันทีที่เสียงหัวเราะเหยียดหยันของหวังอู่เงียบลง พลังอิทธิฤทธิ์รุนแรงราวคลื่นสึนามิก็แผ่กระจายออกมาจากหวังอู่ที่เป็นศูนย์กลาง แสงสีทองทึมๆ ที่ล้อมรอบร่างของนางก็พลันสว่างไสวเปล่งประกายราวแสงอาทิตย์ และภายใต้แสงนั้นแกนทองคำสองดวงก็กำลังเปล่งแสงแข่งกัน!
แกนทองคำคู่!
“จะจัดการกับพวกเจ้า แค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว!”
พูดจบแสงสีทองก็สว่างจ้าไปทั่วหุบเขาจันทร์เต็มดวง แสงนั้นขับให้ความหนาวเหน็บและเมฆดำกระจัดกระจายไป แกนทองคำคู่ในร่างของหวังอู่ปลดปล่อยพลังที่น่าทึ่งเกินกว่าที่ตบะขั้นสร้างแกนคนใดจะทำได้ แม้แต่ผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่สองคนก็ไม่อาจต้านทานและถูกแสงสีทองนั้นผลักออกไป
ตบะขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นไม่ใช่แค่เรื่องคุยโวแต่อย่างใด!
เมื่อได้เห็นฉากที่น่าหวาดหวั่นนี้ ซ่าวป๋อก็รู้สึกหมดกำลังลงไป ตรงข้ามกับหลี่ฮั่นที่ยังดูสุขุมอยู่ หลังจากชั่งน้ำหนักสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว เขาก็ตัดสินใจได้
“ข้าว่าปัญหาระหว่างเราน่าจะคลี่คลายได้ด้วยวิธีสันติ”