ตอนที่ 44 ทรัพย์สมบัติของยอดเขาไร้ลักษณ์ห้ามใครล่วงเกิน Ink Stone_Fantasy
ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของอาจารย์ในความคิดของหวังลู่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่ไร้เทียมทานเลยสักนิด
แม้ตามหลักเหตุผลแล้ว นางจะเป็นคนคิดค้นวิชาไร้ลักษณ์และเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย หวังลู่จึงควรรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าหวังอู่ทรงพลังเพียงใด ทว่าตั้งแต่ที่หวังลู่ยอมรับหวังอู่เป็นอาจารย์ ภาพลักษณ์ที่อีกฝ่ายแสดงให้ศิษย์เห็นนั้นสุดที่จะทนได้
วันๆ หนึ่งบนยอดเขาไร้ลักษณ์ นางไม่ทำอะไรนอกจากเสียเวลาไปกับสุรา และบางครั้งก็ถูกหลิวเสี่ยน ฟางเฮ่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแล้วแต่การเล่นตลกของนาง
ตลอดระยะเวลาสิบปีที่เข้ามาเป็นศิษย์ของหวังอู่ หวังลู่เห็นอีกฝ่ายจริงจังอยู่ครั้งเดียว นั่นคือตอนที่ต่อสู้กับปรมาจารย์จื้อเฟิงแห่งสำนักเซิ่งจิง ทว่าการต่อสู้ครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสำหรับนาง นางไม่ได้ใช้ทักษะที่มีมากมายด้วยซ้ำ ยังไม่รวมที่ว่าแม้ขั้นตบะของจื้อเฟิงจะสูงแต่ประสบการณ์ในการต่อสู้กลับมีน้อย ดังนั้นการเอาชนะคู่ต่อสู้เช่นนี้จึงไม่ถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถของนาง
แต่ครั้งนี้ หวังลู่ถึงกับเปิดโลกเลยทีเดียว
ผู้อาวุโสชุดดำที่กรีดร้องขณะตกลงมาจากฟ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ เขามีตบะอยู่ในขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย มีมังกรน้ำดุร้ายพร้อมต่อสู้สองตัวเป็นสัตว์เลี้ยง และมีชุดหนังสีดำระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าชายผู้นี้เป็นผู้อาวุโสฝ่ายวินัยที่ทรงพลังจากสำนักชั้นสูง และเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายอย่างแท้จริง ในโลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักรเก้าแคว้น เขาเก่งกาจพอๆ กับพวกที่เป็นปรมาจารย์ ทว่าในชั่วพริบตา หวังอู่พร้อมด้วยกระบี่ไม้ไผ่กลับปราบสัตว์ภูตสองตัวของอีกฝ่ายได้ ซึ่งทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ที่หนุนพวกมันอยู่ตีกลับมาที่เขา จนวิญญาณกำเนิดใหม่ของเขาเกือบเสียหาย สภาพที่น่าอนาถของเขายิ่งขับภาพลักษณ์เทพธิดาที่น่าสะพรึงของหวังอู่ให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
คนคนหนึ่งจะแสดงภาพลักษณ์ของผู้เชี่ยวชาญให้ประจักษ์ได้เร็วที่สุดได้อย่างไร ง่ายมาก ก็ด้วยการอัดผู้เชี่ยวชาญอีกคนให้กลายเป็นมูลสุนัข ตนเองก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว ครั้งนี้หวังอู่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างไม่มีข้อกังขาจริงๆ!
หวังลู่ดึงพลังทั้งหมดออกจากกระบี่เพชรไร้ลักษณ์ที่ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ แม้เขาจะฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ส่วนหนึ่งได้ทันท่วงที แต่กลับรู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาได้ ใจของคนเราจะรู้สึกผ่อนคลาย และความเหนื่อยล้าก็จะถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ
แม้กายและใจจะเหน็ดเหนื่อย แต่หวังลู่ก็ไม่อาจกดความรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นผู้เป็นอาจารย์สวมชุดขาวและถือกระบี่ไม้ไผ่อยู่ในมือ สายตาที่มองเหยียดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวงทำให้นางดูจองหองเหลือแสน รังสีตบะขั้นสร้างแกนของหวังอู่สว่างโชติช่วงไปทั่วทิศ ทั้งยังเข้มข้นราวกับแสงของดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่อาจมองไปที่นางตรงๆ ได้เต็มตา
อึดใจถัดมา ขณะกำลังหรี่สายตามองผ่านลำแสงเจิดจ้าไปยังอาจารย์ของตน หวังลู่ก็ถอนหายใจออกมา “อาจารย์ก็เป็นสหายของม่านหมอกแห่งศีลธรรมด้วยอีกคนเรอะ”
ทว่าเสียงถอนหายใจแผ่วของเขากลับถูกกลบด้วยเสียงเย็นชาแทน
“ซ่าวป๋อ ยี่สิบปีผ่านไป ความสามารถของเจ้าพัฒนาขึ้นมากนี่”
เสียงหัวเราะล้อเลียนเย็นเยียบของหวังอู่สะท้อนก้องไปทั่วหุบเขาจันทร์เต็มดวง ทำให้จิตใจคนฟังนิ่งแข็งไปราวกับเป็นเสียงกรรโชกของกระแสลมเย็นเยือก
ผู้อาวุโสชุดดำที่ก่อนหน้านี้ร่วงลงมาจากฟ้ากำลังทรงตัวอยู่ตรงชะง่อนผา เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของเขาก็หม่นลง เลือดไหลออกมาตามมุมปาก
“หวังอู่…”
หวังอู่เหยียดยิ้ม “ข่มขู่ศิษย์ของข้า ทำร้ายสหายข้า… ข้าไม่ติดใจเอาความ”
หวังลู่ที่อยู่ด้านล่างขมวดคิ้ว “ท่านต้องติดใจเอาความสิ”
หวังอู่พูดต่อ “แต่เจ้าคิดร้ายกับสัตว์เซียนของยอดเขาไร้ลักษณ์ ชำระแค้นร้อยครั้งก็ไม่พอ!”
ทว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ท่าทีน่าเกรงขามก่อนหน้านี้ของซ่าวป๋อก็กลับคืนมาทันที! ขณะใช้วิหารหยกรักษาอาการบาดเจ็บ ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ที่โด่งดังเรื่องความดุร้ายผู้นี้ก็ไม่ลังเลที่จะใช้แกนชีวิตเพิ่มความน่าเกรงขามของตน จากนั้นก็ตอบเสียงเย็น “สัตว์เซียนของยอดเขาไร้ลักษณ์? น่าขำสิ้นดี!”
พูดจบเขาก็ปล่อยมือออกจากหิน สยายปีกสีดำออกมาจากกลางหลัง จากนั้นก็บินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอยประจัญหน้ากับหวังอู่
“เขาอวิ๋นไท่คือพื้นที่ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ และสัตว์เซียนภูตจันทราเป็นสิ่งมีชีวิตของเขาอวิ๋นไท่ ดังนั้นมันย่อมเป็นของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเรา พวกสำนักกระบี่วิญญาณต้องหยุดคิดที่จะเอามันไปไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล!”
หวังอู่ไม่สะท้านแม้แต่น้อย “เหลวไหลสิ้นดี! อยู่ในเขาอวิ๋นไท่แปลว่าต้องเป็นของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์หรือ ตอนนี้ข้าเองก็อยู่ในเขาอวิ๋นไท่ เจ้าอยากได้ข้าไปเป็นทาสโลกีย์สักหน่อยไหมเล่า!?”
หวังลู่กระซิบ “เขาไม่เคยพูดว่าทาสโลกีย์เลยสักคำ…”
หวังอู่ส่งเสียงฮึ “จับคนงามไปทั้งที ถ้าไม่เอาไปเป็นทาสโลกีย์ แล้วจะเอาไปทำอะไร”
“…”
ซ่าวป๋อเพิกเฉยกับบทสนทนาของผู้เป็นศิษย์และอาจารย์แล้วกล่าวขึ้น “เพื่อสัตว์เซียนตัวนี้ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เตรียมตัวมานานมากกว่าห้าปี อีกทั้งยังใช้ทั้งทรัพยากรและแรงงานคนไปนับไม่ถ้วน…”
หวังอู่หัวเราะเสียงดัง “ถูกจับนั่นจับนี่มาเสียนาน มิน่าเล่าสัตว์เซียนตัวนี้ถึงได้ปฏิเสธพวกเจ้าทันควัน! ซ่าวป๋อเอ๋ยซ่าวป๋อ อย่าให้ข้าต้องขำไปหน่อยเลย เจ้าคิดจะแอบอ้างเอาสิ่งสิ่งหนึ่งเพียงเพราะลงทุนลงแรงไปไม่น้อยงั้นหรือ ในโลกบำเพ็ญเซียนไม่มีกฎพรรค์นั้นหรอก หากทุกสิ่งต้องเป็นไปอย่างที่เจ้าคิด ถ้างั้นวันหนึ่งหากเจ้าทำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นเพื่อขอข้าแต่งงาน ข้าควรยอมตกลงรึไง!?”
หวังลู่ถอนใจ “ข้าว่าท่านตกลงแน่”
ซ่าวป๋อกล่าว “น่าสนใจนี่ เจ้าว่าเวลาที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ใช้เตรียมการมาหลายปียังไม่เพียงพอที่จะให้อ้างความเป็นเจ้าของต่อสัตว์เซียนนี่ แต่ตอนที่ศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณของเจ้าออกมาสร้างความปั่นป่วน เจ้ากลับอ้างความชอบธรรมที่จะพาตัวสัตว์เซียนไป หวังอู่ เจ้าเองก็บำเพ็ญเซียนมาเป็นร้อยปี เจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกมาความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น!”
หวังอู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “โลกนี้มีคนอย่างเจ้าไม่น้อยที่ใช้กำลังและอำนาจเพื่อหวังให้ได้ความรักจากผู้อื่น ส่วนใหญ่แล้วคำว่าอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไปก็มีแต่ในนิทานเท่านั้น ข้าไม่คิดด้วยซ้ำว่าพวกคนชั่วช้าจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะเข้าใจคำว่าช่วยคนเพื่อความสำเร็จ แต่ก็ช่างเถอะ”
ขณะพูด หวังอู่ก็หุบยิ้ม แสงกระบี่จากกระบี่ไม้ไผ่สีเขียวในมือนางเริ่มเข้มข้นขึ้น
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเด็ดเดี่ยว “วันนี้ข้าจะพาตัวสัตว์เซียนไป หากเจ้ามีความสามารถพอก็มาหยุดข้าสิ”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ่าวป๋อจึงไม่สนใจที่จะโต้เถียงอีก ทันทีที่ความโกรธเคืองปะทุขึ้นในจิตใจ สายฟ้าและเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นทั่วกายเขาอีกครั้ง
“นางคนหน้าไม่อาย คิดว่าตัวเองเก่งกล้าพอจะชนะข้าหรือ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นแค่การซุ่มโจมตีไม่คาดฝัน ตอนนี้ข้าอยากเห็นนักว่าตบะขั้นสร้างแกนอย่างเจ้ามีดีอะไรถึงกล้ามาตะคอกใส่หน้าข้าได้!”
ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายก็ยังเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายอยู่วันยังค่ำ ก่อนหน้านี้เขาบาดเจ็บไม่น้อย ทว่าหลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง ซ่าวป๋อก็ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้ และเป็นอีกครั้งที่เขาแสดงวิชาที่น่าตื่นตะลึงให้เห็น มังกรน้ำทั้งสองตัวที่ถูกหวังอู่บดขยี้จนกลายเป็นเถ้าถ่านกลับฟื้นคืนมาใหม่อีกครั้งในสายฟ้าและเปลวเพลิงรอบกายของซ่าวป๋อ! พวกมันดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ซึมซับสายฟ้าและเปลวเพลิง และอึดใจถัดมาก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าเนินเขา
และครั้งนี้ดวงตาของสัตว์ที่ดุร้ายทั้งสองก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง พวกมันมองดูหวังอู่ไม่คลาดสายตาขณะเหาะอยู่กลางอากาศ
ร่างของซ่าวป๋อเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ชุดหนังสีดำกลายมาเป็นเกราะโลหะสะท้อนแสงซึ่งห่อหุ้มทั่วร่างของเขา รูปทรงของเกราะดูเขย่าขวัญ ตรงข้อต่อนั้นแหลมคมจนทำให้มันดูเหมือนอาวุธมากกว่าเกราะป้องกัน
คนผู้นี้กับสัตว์เลี้ยงของเขาเชื่อมต่อกันด้วยสายฟ้าและเปลวเพลิงจนกลายเป็นสามประสาน พลังอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่แยกจากกันเสียอีก ซ่าวป๋อไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้ เขาเผยความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายออกมาอย่างเต็มที่ และมั่นใจมากว่าไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนหน้าไหนในโลกนี้จะต่อกรกับเขาได้
ยี่สิบปีก่อนเขาพ่ายแพ่อย่างหมดรูปให้กับหวังอู่ ทว่าในยี่สิบปีนี้ ขั้นตบะของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งหยุดอยู่ที่ขั้นสร้างแกนช่วงปลายมาตลอด ดังนั้นในสายตาเขาแล้ว นางไม่มีสิทธิ์จะทำตัวจองหองเลยด้วยซ้ำ!
เห็นดังนั้นหวังอู่ก็เม้มปาก “หน้าไม่อาย ทำไมเจ้าไม่ทำตัวดีๆ แล้วไสหัวไปจากที่นี่เสีย! เจ้าปลอบใจตัวเองว่าเมื่อครู่คือการซุ่มโจมตี สงสัยคงอดทนรอความตายไม่ไหวแล้วสินะ ดี งั้นข้าจะทำให้เจ้าสมหวังเอง”
พูดจบหวังอู่ก็พลิกฝ่ามือ ทันใดนั้นพืชพันธุ์นับไม่ถ้วนทั้งภายในและภายนอกหุบเขาจันทร์เต็มดวงก็พากันสั่นไหว จากนั้นลำแสงสีเขียวจากทั่วทุกทิศก็มารวมตัวกัน และอาคมของหวังอู่ก็เปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นมีดบินสีเขียวมรกตนับไม่ถ้วน
มีดบินเหล่านี้หมุนวนอยู่รอบตัวหวังอู่ จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลกระบี่ตั้งรับที่เหนียวแน่น แม้ขั้นตบะของผู้ใช้จะเป็นเพียงขั้นสร้างแกน แต่กลับไม่ได้ดูด้อยกว่าเมฆดำทะมึน เปลวเพลิงและสายฟ้าของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่แม้แต่น้อย
ท่วงท่าของหวังอู่ช่างโอหังยิ่งนัก “ซ่าวป๋อ เจ้าเคยคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อหน้าข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ข้าจะทวงหนี้เมื่อยี่สิบปีก่อนละนะ”
ซ่าวป๋อเกรี้ยวกราด “พูดจาสามหาว”
เหล่าเมฆสีดำลอยมาบรรจบกัน ซ่าวป๋อและมังกรทั้งสองตัวซ่อนตัวอยู่ในเมฆดังกล่าว ทันใดนั้นเมฆทะมึนนี้ก็กระจายออกอย่างรวดเร็วราวกับว่าจะกลืนกินหุบเขาจันทร์เต็มดวง ทว่า จิตสังหารรุนแรงจำนวนมากจากเมฆดำเหล่านั้นกลับพุ่งเป้ามาที่หวังอู่
จิตสังหารของตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะข่มขวัญผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนทั่วไปได้แล้ว ทว่าหวังอู่ยังยืนนิ่งอยู่ในค่ายกลกระบี่ของนาง
“อาจารย์ ท่านทำได้แน่!”
ทันทีที่หวังลู่ซึ่งอยู่ด้านล่างเห็นว่าโอกาสมาถึงมือแล้ว ปากของเขาก็ตะโกนให้กำลังใจส่วนมือก็หยิบยันต์สวรรค์ออกมาและเร่งให้ป๋ายซือเสวียนประทับตรา
เขาคิดในใจ ‘น่าขำสิ้นดี ใครกำหนดเงื่อนไขกันว่าอาจารย์ต้องเอาชนะซ่าวป๋อ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นถึงค่อยหนีไปพร้อมกัน’ แม้การทำเช่นนั้นจะรักษายันต์สวรรค์ราคาแพงลิบไว้ได้ แต่หวังลู่ก็ทุกข์ใจและล่าช้ามาพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้ยันต์สวรรค์อีก
ยากมากที่ความสนใจของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายผู้นั้นจะย้ายไปจากเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหากหวังลู่ไม่หนีไปเสียตอนนี้แล้วจะรอเมื่อไหร่กัน
ทว่าทันทีที่เขาเอายันต์สวรรค์ออกมา เงาที่อยู่ด้านหลังเขาก็เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันพุ่งเป้ามาที่ยันต์สวรรค์ในมือของหวังลู่ราวกับเป็นมีดสั้นของนักฆ่า!
เงาที่ว่านั่นแท้จริงแล้วคือซ่าวป๋อในชุดเกราะ! เขาซ่อนตัวเองอยู่ในกลุ่มเมฆสีดำในสนามรบ แม้ฉากหน้าจะสู้กับหวังอู่ แต่สมองของเขาก็ไม่ได้พิการ แล้วเขาจะลืมจุดประสงค์ดั้งเดิมไปได้อย่างไร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหยุดสัตว์เซียนภูตจันทราไม่ให้ออกไปจากที่นี่ ไม่ใช่การมีเรื่องกับหวังอู่! นี่ยังไม่พูดถึงว่ากระบี่ไร้ลักษณ์ของหวังอู่โด่งดังเรื่องการตั้งรับ ต่อให้มองข้ามขั้นตบะของนางไป แต่กระบี่ตั้งรับสามฉื่อของนางแม้แต่ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ก็ทะลวงเข้าไปได้ยาก ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ นอกจากกระบี่ตั้งรับสามฉื่อแล้ว ยังมีกระบี่ตั้งรับหนึ่งฉื่อ กระบี่ตั้งรับสามชุ่น และแม้แต่กระบี่ตั้งรับชุ่นเดียว ซึ่งแต่ละชั้นก็เหนียวแน่น พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังการตั้งรับของวิชากระบี่ไร้ลักษณ์นั้นช่างเหลือเชื่อผิดธรรมดา!
เขามั่นใจว่าพละกำลังของเขานั้นขั้นกำเนิดใหม่ทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ทว่าหากจะพูดว่าเขาสามารถทะลวงกระบี่ตั้งรับหลายชั้นของฝ่ายตรงข้ามได้ ซ่าวป๋อก็ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดนั้น
แต่เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการหวังอู่แบบไม่ทันตั้งตัวได้โดยการพุ่งเป้าไปที่ศิษย์ของอีกฝ่ายแทน! ไม่ว่าหวังอู่จะไร้เทียมทานเพียงใด ตอนที่นางกางค่ายกลและงัดกระบี่ตั้งรับสามฉื่อออกมาใช้ อย่างไรนางก็ต้องพ่ายแพ้แน่ เพราะแม้เพลงกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์จะเหนียวแน่น แต่หากนางสามารถปกป้องได้แค่เพียงตัวเองแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า
ตอนนี้ข้าจะจัดการลูกศิษย์เจ้าและพาตัวสัตว์เซียนภูตจันทราไปต่อหน้าเจ้า ดูซิว่าเจ้าจะทำอะไรได้!?
ในเมื่อข้าเคยสู้กับเจ้ามาเมื่อยี่สิบปีก่อน ทำไมข้าจะไม่รู้เรื่องคำสาบานกับปีศาจในใจของเจ้ากัน ก่อนหน้านี้ข้าแค่ยังไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสแน่!
ซ่าวป๋อสั่งมังกรน้ำทั้งสองตัวผ่านทางพลังวิญญาณขั้นปฐมว่าให้รั้งหวังอู่ไว้ในเมฆสีดำให้ได้ ขณะเดียวกันเขาก็พุ่งเป้าไปที่ยันต์สวรรค์
แรกสุดก็ทำลายยันต์สวรรค์ จากนั้นก็ทำร้ายหวังลู่ แล้วก็จับสัตว์เซียนภูตจันทรามา สุดท้าย… ข้าเองก็มียันต์สวรรค์ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ในมือเช่นกัน!
ทว่าทันทีที่เขาสัมผัสยันต์สวรรค์ พลังปะทะรุนแรงก็ทะลวงเข้าไปในนิ้วและระเบิดออกจากภายใน
พลังที่ว่านั้นเป็นแบบเดียวกันกับพลังที่เขาใช้เพื่อจะทำลายยันต์สวรรค์แต่รุนแรงกว่ามาก เมื่อมันจู่โจมมาแบบไม่ทันตั้งตัว แขนของเขาจึงกระจุยเป็นชิ้น ซ่าวป๋อถูกพลังดังกล่าวผลักออกมา สีหน้าของเขาตกตะลึงเกินจะเชื่อ
ใครกัน… ใครกล้ามาขวางการโจมตีของข้า การโจมตีเมื่อครู่เป็นวิชากระบี่ไร้ลักษณ์อย่างไม่ต้องสงสัย ฝีมือหวังลู่หรือ เป็นไปไม่ได้ เขามีตบะเพียงขั้นพิสุทธิ์ ความเร็วในการโต้กลับไม่ได้ว่องไว แล้วจะสกัดการโจมตีเต็มกำลังของปรมาจารย์ตบะขั้นกำเนิดใหม่ได้อย่างไร
ขณะที่ซ่าวป๋อกำลังสับสน ตอนนั้นเองเสียงเฉื่อยๆ ของหวังอู่ก็ดังมาจากด้านบน
“ซ่าวป๋อ เจ้าคิดยังไงกับกระบี่ตั้งรับครึ่งลี้ของข้า”
กระ…กระบี่ตั้งรับครึ่งลี้!?
ซ่าวป๋อรู้สึกเหมือนจะเป็นลมและกระอักเลือดออกมา ผู้หญิงคนนี้… ขอบเขตของกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ขยายจนถึงครึ่งลี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่สิ คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ ด้วยข้อจำกัดเรื่องคำสาบานกับปีศาจในใจ ต่อให้พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมขยายออกไปเป็นหกสิบลี้ แต่มันก็ใช้ได้แค่ตั้งรับเท่านั้น แล้วเหตุใดมันถึงปะทะรุนแรงจนทำลายแขนข้าได้
คำถามเดียวกันนี้ผุดขึ้นในใจของหวังลู่เช่นกัน การซุ่มโจมตีเมื่อครู่ของซ่าวป๋อทำเอาเหงื่อเย็นๆ ไหลอาบร่างเขา ทว่าทันใดนั้นพลังปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นของอาจารย์ก็ปกป้องเขาไว้จากการถูกซุ่มโจมตี แม้จะรู้สึกโล่งใจ แต่เขาก็สงสัยในกลยุทธ์ใหม่ที่สามารถช่วยเหลือคนและทำให้ศัตรูบาดเจ็บไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน
เขารู้กระจ่างถึงข้อดีและข้อด้อยของวิชาไร้ลักษณ์ที่มีคำสาบานกับปีศาจในใจเข้ามาเกี่ยวข้อง มันไม่มีความสามารถในการทำลายล้างระยะไกล หรือนี่จะเป็น…
“หวังลู่ เจ้ายังไม่กระจ่างอีกหรือ”
หลังจากเงียบไป หวังอู่ก็อธิบายต่อ “เจ้าก็รู้ว่ายันต์สวรรค์กระบี่วิญญาณเป็นสิ่งล้ำค่า!? ทำลายยันต์สวรรค์ของข้าก็ไม่ต่างอะไรจากเฉือนเลือดเฉือนเนื้อของข้าทิ้ง ดังนั้นกลไกการป้องกันตัวของข้าจึงทำงานยังไงเล่า”
ข้าอยากจะบ้าตาย! แม้แต่หวังลู่ก็ยังอึ้งกับคำอธิบายที่มหัศจรรย์พันลึกนี้ไปพักใหญ่
ซ่าวป๋ออดกระอักเลือดออกมาคำโตไม่ได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ในโลกนี้ยังมีกฎแห่งธรรมชาติหลงเหลืออยู่อีกไหม!?