ตอนที่ 43 ต่อให้นางขโมยมันไป ข้าก็รักนาง Ink Stone_Fantasy
“ผู้อาวุโสฝ่ายวินัย?”
เมื่อได้ยินเสียงอุทานของเสี่ยวชี ใจของหวังลู่ก็อดดิ่งลงไม่ได้
ในสำนักส่วนใหญ่ ตำแหน่งผู้อาวุโสฝ่ายวินัยมักเป็นของหนึ่งในห้าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก ทั้งตำแหน่งและความแข็งแกร่งนั้นสูงกว่าราชาพยัคฆ์ที่เป็นเพียงผู้ปกครองท้องถิ่นอยู่หลายขุม พูดง่ายๆ ก็คือตำแหน่งนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำหลัก!
ตอนเผชิญหน้ากับราชาพยัคฆ์ หวังลู่ยังสามารถสรรหาวิธีมากมายเพื่อเอาตัวรอดได้ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสสูงสุดตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ไม่ว่าเขาจะมั่นใจในตัวเองเพียงใด ก็ยังยากที่จะเอ่ยปากออกมาว่าตัวเองมีโอกาสเอาตัวรอดได้อยู่ดี
ทว่าเรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อนึกถึงมูลค่าของสัตว์เซียนวัยเยาว์ การที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์แห่งแคว้นทักษิณสวรรค์ส่งหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงมาที่นี่ เพื่อทำให้มั่นใจว่าการลงทุนที่เขาอวิ๋นไท่จะไม่เสียเปล่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันเป็นเพราะราชาพยัคฆ์ไม่ต้องการแบ่งส่วนแบ่งให้ใคร จึงทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยคนนี้ไม่ได้ปรากฏตัวจนกระทั่งตอนนี้
ทว่าในเมื่อตอนนี้ราชาพยัคฆ์สิ้นชีพไปแล้ว มันจึงเป็นข้ออ้างอย่างดีให้ผู้อาวุโสผู้นี้ยื่นมือเข้ามาแทรก หวังลู่พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่เสียเวลา ทันทีที่ภูตจันทราตื่นขึ้น เขาก็รีบเตรียมความพร้อมของยันต์สวรรค์ แม้ปากจะพูดไม่หยุด แต่มือของเขาก็ไม่หยุดขยับแม้เพียงวินาทีเดียว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะช้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แน่ละว่ายิ่งผลประโยชน์มากก็ยิ่งต้องเสี่ยงมาก
เมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์ที่วิกฤติใหญ่หลวงเช่นนี้ ในหัวของหวังลู่จึงกำลังรีบคิดหาหนทางตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมา “คุณหนูเจ็ด คุณหนูเจ็ด ข้าต้องการให้ท่านช่วยอย่างด่วนเลย!”
ทว่าเขากลับเห็นเสี่ยวชีแสดงสีหน้าสับสนและเอ่ยเสียงขื่น “เกรงว่าข้าไม่ใช่คนที่เหมาะจะช่วยได้ ข้าเป็นเพียงหนึ่งในร่างอวตารที่มากมาย ต่อให้เจ้าก้มหัวข้อร้องก็ไม่มีอะไรที่ข้าช่วยได้จริงๆ อย่าลืมว่าเขาเป็นถึงผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์”
ทันใดนั้นหวังลู่ก็นึกขึ้นมาได้ ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มักมีสัตว์ภูตติดสอยห้อยตามอยู่เสมอ ทว่าผู้อาวุโสฝ่ายวินัยคนนี้ดูเหมือนจะมาลำพัง แต่เขาจะไม่พาสัตว์ภูตของตัวเองมาด้วยได้อย่างไร
เสี่ยวชีมีตบะเพียงขั้นสร้างแกนระดับกลาง ดังนั้นต่อให้นางยอมเสี่ยงชีวิต นางก็สามารถเพ่งความสนใจไปยังคู่ต่อสู้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากอีกฝ่ายส่งสัตว์ภูตมาต่อสู้ด้วย นางย่อมไม่อาจกระทำสิ่งหนึ่งโดยที่ยังไม่ละความสนใจจากสิ่งหนึ่งได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาช่องให้ป๋ายซือเสวียนประทับตราลงบนยันต์สวรรค์เพื่อให้หวังลู่เรียกใช้งานมัน
“เวรเถอะ เข้าตาจนจริงๆ แล้ว…”
หวังลู่ขมวดคิ้ว แม้เขาจะมีสติปัญญาและเล่ห์กลอยู่เต็มกระเป๋า แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละน้อย เขาก็ตระหนักได้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าความกดดันที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายมอบให้ ต่อให้เขาได้เวลาทั้งหมดบนโลกนี้ ก็ยังยากที่จะหาโอกาสให้ภูตจันทราประทับตราของนางอยู่ดี
“ข้าน่าจะรู้ ข้าน่าจะให้ซือเสวียนประทับตราก่อนคนแรก” เสี่ยวชีหงุดหงิดไม่น้อย นางเป็นเพียงร่างอวตารหนึ่งในหลายๆ ร่าง ดังนั้นต่อให้ร่างนี้ตาย นางก็เพียงต้องเผชิญกับความอดทนอีกเล็กน้อยบนเส้นทางบำเพ็ญเซียน แล้วทำไมนางถึงได้ประทับตราเป็นคนแรกกัน
เมื่อได้ยินดังนั้นหวังลู่ก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะให้คุณหนูเจ็ดสังเวยตัวเองได้ยังไง หนำซ้ำอีกฝ่ายก็มาถึงเขาอวิ๋นไท่ตั้งนานแล้วด้วย เขาเพียงตั้งใจรอคอยเวลานี้ต่างหาก”
ทันทีที่เสียงของหวังลู่เงียบลง เขาก็ได้ยินผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่กลางอากาศกล่าวขึ้น “ถูกต้อง พวกเจ้าจะไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ต้องทิ้งสัตว์เซียนนั่นไว้กับข้า”
ถูกแล้ว เขารอจนกว่าทุกคนจะประทับตราลงไป และแสดงตนออกมาเมื่อถึงตาของภูตจันทรา… ความจริงก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ให้ป๋ายซือเสวียนประทับตราทีหลัง ไม่เช่นนั้นอีกหลายคนคงไม่ได้ไปจากที่นี่แน่
หวังลู่ชำเลืองมอง และขณะเค้นสมองอยู่นั้นเขาก็พูดขึ้น “ข้า…”
“หุบปาก! ข้าไม่เปิดโอกาสให้เจ้าต่อรอง ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าทำตัวหัวแหลม เพราะเห็นแก่สำนักกระบี่วิญญาณของเจ้า ข้าถึงได้ให้โอกาสเจ้าไสหัวไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นการได้เห็นเจ้าทำลายสาขาหนึ่งของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์แบบนี้ ข้าย่อมต้องหั่นเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว!”
ผู้อาวุโสชุดดำไม่ใส่ใจหวังลู่สักนิด ทั้งที่หลายปีมานี้เขาเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงนำหน้าใครๆ ในสำนักกระบี่วิญญาณ ทว่าตอนนี้เขากลับเป็นเพียงมดปลวกตบะขั้นพิสุทธิ์เท่านั้น ต่อให้พรสวรรค์และสติปัญญาของผู้อาวุโสชุดดำจะด้อยกว่าหวังลู่ แต่อีกฝ่ายสามารถใช้กระแสความคิดฆ่าเด็กหนุ่มได้ทุกเมื่อ
ส่วนสำนักกระบี่วิญญาณน่ะหรือ ห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนนั้นไม่อาจมองข้ามได้ก็จริง ทว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เองก็ไม่ใช่พวกอ่อนหัด ยังไม่นับรวมว่าเรื่องบนเขาอวิ๋นไท่นี้ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ใช่ฝ่ายผิด เป็นหวังลู่กับพรรคพวกที่เข้ามาทำลายภารกิจใหญ่ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เอง ดังนั้นต่อให้เขาฆ่าอีกฝ่ายเสียตรงนี้ ก็ยังมีเหตุผลรับรองได้
แน่นอนว่าพันธมิตรหมื่นเซียนไม่ได้รับรู้แน่ชัดว่าใครเป็นเจ้าของเขาอวิ๋นไท่ ทว่าในเมื่อพวกเขาควบคุมภูเขาแห่งนี้อย่างเป็นรูปธรรมมาตลอดหนึ่งปี ตามกฎที่ไม่ได้จารึกไว้ของพันธมิตรหมื่นเซียน เจ้าของที่นี่ย่อมเป็นพวกเขา ดังนั้นผู้อาวุโสชุดดำจึงไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นปัญหา ต่อให้ในอนาคตสำนักกระบี่วิญญาณคิดจะมีเรื่อง แต่เจ้าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ย่อมไม่ยืนมองอยู่เฉยๆ เป็นแน่
เพราะเจ้าสำนักเป็นคนส่งเสริมให้เขาเดินทางจากแคว้นทักษิณสวรรค์มาที่นี่เอง
หากราชาพยัคฆ์ยังอยู่ การที่เขาจะยื่นมือเข้ามาแทรกอาจยุ่งยากกว่านี้ เพราะแม้ขั้นตบะของเล่ยเจิ้นจะไม่สูงนัก แต่อีกฝ่ายก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงภายในสำนัก ทั้งยังลงทุนไม่น้อยในการแยกตัวจากฐานที่มั่นหลักเพื่อออกไปจับตัวสัตว์เซียน หากหมอนั่นยังไม่ปล่อยมือจากงานนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสักนิดที่สำนักจะขโมยผลงานไปจากอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เล่ยเจิ้นตายแล้ว เขาแค่เพียงก้าวเข้ามาสะสางสถานการณ์ก็เท่านั้น
หวังลู่กับคนอื่นๆ จะไปก็ได้ แต่สัตว์เซียนภูตจันทราจะต้องอยู่!
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เผยช่องโหวให้ได้ใช้ประโยชน์เลยสักนิด ใจของหวังลู่ก็หนักอึ้งขึ้น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะสนกฎดกณฑ์ใดๆ และคิดจะพูดกันด้วยหมัด ซึ่งทำให้เขาไปไม่เป็น
ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวต่อ “ข้าจะนับถึงสาม หากพวกเจ้าไม่ไสหัวไปก็ตายอยู่ที่นี่แหละ”
จากนั้นมือที่เป็นเกล็ดดำทะมึนทั้งสองข้างก็กางออก กลายเป็นมังกรน้ำสีดำสองตัว พวกมันเลื้อยไปมาตามสายฟ้าและเปลวเพลิง แต่ก็ส่งสายตามุ่งร้ายมายังหวังลู่เป็นพักๆ
“แม่เจ้า มังกรสองตัว สมแล้วที่เป็นแกนหลักของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์…” หวังลู่กัดฟัน เขาหาโอกาสไม่ได้เลย
“หนึ่ง”
เสียงนับเย็นเยียบดังก้องไปทั่วหุบเขา จากนั้นผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมามากกว่าเดิม สายฟ้าและเปลวเพลิงที่อยู่รอบตัวได้รับพลังเพิ่มจนร่างของมังกรทั้งสองขยายใหญ่ขึ้น ใบหน้าของพวกมันมุ่งร้ายมากขึ้น และปล่อยสายฟ้าออกมาเป็นพักๆ สายฟ้าพวกนั้นพุ่งตรงไปยังภูเขาที่อยู่ล้อมรอบหุบเขาจันทร์เต็มดวง จนทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นบนภูเขา
“พวกสัตว์ชั่วช้า” เมื่อเห็นไฟที่ล้อมรอบหุบเขาจันทร์เต็มดวง ป๋ายซือเสวียนก็ขมวดคิ้วและแสดงอาการรังเกียจออกมาเบาๆ
นางเป็นบุตรสาวของเทพธิดาอวิ๋นไท่ และการกระทำของมังกรน้ำสองตัวในตอนนี้ได้ทำลายส่วนหนึ่งของภูเขาลง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับทำร้ายร่างกายของนาง ทว่าตอนนี้มีสิ่งอื่นที่ควรใส่ใจมากกว่าไฟไหม้ป่า
“หวังลู่ ข้าไปจากที่นี่ไม่ได้ใช่ไหม”
ป๋ายซือเสวียนเงยหน้าขึ้นมองเมฆบนท้องฟ้าจากนั้นก็ถามเสียงนุ่ม
หวังลู่ถอนใจ “เจ้าทำให้ข้าต้องเจอปัญหาที่ยากมหันต์แล้ว”
ขณะพูดในใจของเขาก็เริ่มคำนวณ หากเขาทุ่มสุดตัวด้วยการผลาญพลังปราณโดยกำเนิดเพื่อใช้งานกระบี่เพชรไร้ลักษณ์ที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ เขาจะสามารถต้านทานผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนินใหม่ช่วงปลายได้สักหนึ่งหรือสองกระบวนท่าหรือเปล่า หรือหากเขาปลุกหลิวหลีและรวมพลังกระบี่กันเล่า…
ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพที่มีเหตุผล คำถามของป๋ายซือเสวียนนั้นคำตอบก็เห็นๆ อยู่ นางย่อมไม่อาจไปจากที่นี่ได้ ทว่าคำตอบดังกล่าวหวังลู่ไม่อาจยอมรับได้
ขณะกำลังครุ่นคิด เขาก็เห็นป๋ายซือเสวียนส่งยิ้มมาให้ “ขอบคุณนะหวังลู่”
หวังลู่ถาม “ขอบคุณเรื่องอะไร”
ป๋ายซือเสวียนกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็อธิบาย “เพราะท่านทำให้ข้าได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นอิสระ ท่านแม่บอกว่ามันเป็นขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุด นางบอกว่านางเป็นวิญญาณของเขาอวิ๋นไท่ ภูเขานี้มอบชีวิตให้นางแต่ก็ให้บ่วงกับนางด้วย ข้าโชคดีกว่านางที่ไม่ได้ถูกผูกติดกับภูเขานี้ แต่ข้าเองก็โชคร้ายกว่านาง เพราะตอนที่ข้ากำลังจะเติบโต ความละโมบของโลกนี้ก็พุ่งเป้ามาที่ข้าและข้าก็อาจจะถูกจับ แต่เป็นเพราะท่าน ตอนนี้อย่างน้อยข้าก็ได้เปลี่ยนร่างเรียบร้อย ข้าจึงคิดว่าตัวเองเป็นอิสระแล้ว”
“…”
ในความเงียบนั้นเอง เสียงนับเย็นเยียบก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
“สอง!”
มังกรน้ำทั้งสองดูดเอาพลังปราณฟ้าดินบนภูเขาเข้าร่างอย่างหิวกระหาย และด้วยแรงกระตุ้นจากสายฟ้าและเปลวเพลิงที่อยู่บนร่างของผู้อาวุโสชุดดำ ลำตัวของพวกมันก็ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็มีขนาดเท่าภูเขาลูกมหึมา… มันคือมังกรน้ำที่เกือบจะถูกทัณฑ์สวรรค์ ตามตำนานของหลายๆ ท้องที่ พวกมันสามารถทำลายล้างโลกได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนระดับสูงก็ไม่อาจรับมือพวกมันแต่ละตัวได้เกินสามกระบวนท่า
มังกรทั้งสองเริงระบำอยู่บนฟ้า เมฆที่อยู่เบื้องบนเคลื่อนตัวลงมา อีกทั้งเมฆเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยฟ้าร้องและฟ้าผ่าราวกับว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่มและจุดจบของโลกก็เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนไม่กี่คนที่อยู่ในหุบเขาก็ไม่ต่างอะไรจากจอกแหนในทะเลที่กำลังเกิดพายุ พวกเขาไม่อาจต้านทานอะไรได้เลย
ทว่าป๋ายซือเสวียนกลับไม่ใส่ใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า รอยยิ้มของนางยังคงสดใสดังเดิม “แม้จะไม่นาน แต่รสชาติของอิสรภาพข้าจะจำไม่ลืม”
ผู้อาวุโสชุดดำส่งเสียงฮึ “จำไม่ลืม? ทันทีที่ข้าใส่ปลอกคอให้เจ้า เจ้าก็จำอะไรไม่ได้แล้ว! จำไม่ได้ตลอดกาล!”
ป๋ายซือเสวียนทำเป็นไม่ได้ยิน นางเพียงยิ้มและถามหวังลู่ “ท่านจะมารับข้าใช่ไหม”
หวังลู่รู้สึกเหมือนคำพูดติดขัดอยู่ในลำคอ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอะไรออกไป
ถูกแล้ว เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีรากวิญญาณนภาและมีความสามารถในโลกบำเพ็ญเซียนที่โดดเด่นกว่าใครในรุ่นเดียวกัน และมันย่อมมีวันที่เขาจะทรงพลังยิ่งกว่าผู้ใด เมื่อถึงตอนนั้นแม้แต้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ไม่อาจรับมือเขาได้แม้สักกระบวนท่า ทว่า…แล้วอย่างไรเล่า ชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งจะมีคำว่า ‘มันย่อมมีวันที่’ สักกี่ครั้งกัน
มันย่อมมีวันที่… เป็นคำที่ไร้ค่าที่สุดแล้ว
ป๋ายซือเสวียนเพิ่งจะเปลี่ยนร่างเสร็จแท้ๆ ทว่ากลับฉลาดล้ำ นางเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองอย่างกระจ่าง ดังนั้นถ้อยคำที่นางเพิ่งพูดออกมาความจริงแล้วก็เพื่อปลอบใจเขาเท่านั้น
ปลอบใจว่าเขาทำได้ดีแล้ว และยังมีโอกาสมากมายที่จะเอาคืนทีหลัง ดังนั้นอย่าได้เศร้าเสียใจ หรือยิ่งกว่านั้นอย่าตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล
หวังลู่หลับตาลงพลางพ่นลมหายใจอย่างฉุนเฉียว
เสี่ยวป๋ายเอ๋ย (ป๋ายในป๋ายซือเสวียนแปลว่าสีขาว) ที่สุดแล้วเจ้าก็ยังเด็กอยู่มาก หนำซ้ำด้วยด้วยคำพูดปลอบโยนเช่นนั้น แล้วใครจะกล้าเดินไปจากเจ้ากันเล่า
ขณะที่หวังลู่และป๋ายซือเสวียนยังนิ่งเงียบอยู่นั้น ผู้อาวุโสที่อดรนทนไม่ไหวก็นับเลขตัวสุดท้ายออกมา
“สาม!”
ทันทีที่เสียงนับนั้นเงียบลง บางอย่างที่คล้ายทัณฑ์สายฟ้าก็ผ่าลงมายังโลก มังกรน้ำทั้งสองกวาดต้อนเมฆสีดำหนาออกไป และเปล่งเสียงฟ้าผ่าดังกราดเกรี้ยวออกมา
ทว่าผู้อาวุโสชุดดำก็ยังมีศีลธรรมอยู่บ้าง แม้เขาจะปลดปล่อยมังกรน้ำที่สามารถทำลายโลกออกมา แต่พวกมันก็ไม่ได้ลงมือในทันที ยังคงเปิดช่องให้หวังลู่และคนอื่นๆ อยู่ นี่เป็นวิธีที่ผู้อาวุโสใช้เตือนเพื่อให้หวังลู่เลือกว่าจะตายอยู่ที่นี่หรือใช้งานยันต์สวรรค์อย่างชาญฉลาด แน่ละว่าหากหวังลู่ยังไม่สำนักบุญคุณ และพยายามจะใช้เวลาเล็กน้อยที่ว่านี้เล่นเล่ห์บางอย่าง… ความว่องไวของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายนั้นย่อมดีกว่าตบะขั้นพิสุทธิ์อยู่แล้ว
เวลาที่ผู้อาวุโสชุดดำมีให้นั้นไม่มาก แต่สำหรับหวังลู่แล้ว เขาเหมือนกำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายทารุณโดยที่อารมณ์ของตัวเองเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงมานานเป็นร้อยๆ ปี เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณขั้นปฐม กระดูกจักรพรรดิ แกนอากาศและจิตเซียนกำลังหลอมรวมกันในอุณหภูมิที่สูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และพร้อมกับการผลาญพลังปราณโดยกำเนิดจึงเกิดเป็นปฏิกิริยาเบาบาง เวลาเหมือนจะหยุดลงเมื่อความคิดนับพันๆ อย่างวูบเข้ามาในใจของหวังลู่ แต่ละอย่างนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง จากนั้นการตอบสนองต่อพลังปราณฟ้าดินของเขาก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า หวังลู่สามารถรับรู้ได้ถึงความผันผวนของพลังปราณฟ้าดินทุกอณูรอบๆ หลายร้อยวา และเขาก็เห็นว่าพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบด้านดูจะหยุดนิ่ง ชายหนุ่มรู้สึกได้รางๆ ว่าตนเองสามารถทำนายทิศทางการเคลื่อนไหวของพลังปราณฟ้าดินเหล่านี้ได้!
ในเวลาเดียวกัน มังกรน้ำสองตัวนั้นก็ลงมาจากฟ้า ในความคิดของหวังลู่ เขาไม่รู้สึกอีกแล้วว่าตัวเองจะต้องพบจุดจบที่นี่ เขารู้สึกได้รางๆ ว่ามีช่องโหว่ปรากฏขึ้นบนเมฆดำหนาเหล่านั้น โอกาสที่เขาจะต้านทานได้อาจมีเพียงหนึ่งในพัน หรืออาจจะหนึ่งในหมื่น แต่ในเมื่อยังมีโอกาสก็แปลว่ายังมีความหวัง ดังนั้นหวังลู่จึงไม่ลังเลที่จะลงมือ เขาเรียกใช้งานพลังอิทธิฤทธิ์ และให้พลังปราณฟ้าดินสะท้อนกลับมา และในจังหวะที่เหมาะเหม็งเขาก็ผลาญพลังปราณโดยกำเนิดเตรียมพร้อมที่จะผสานพลังทั่วร่างเพื่อเสี่ยงชีวิต
ป๋ายซือเสวียนไม่ได่โง่ นางรู้ทันทีว่าต้องฉวยโอกาสนี้ประทับตราลงบนยันต์สวรรค์ และใช้งานยันต์สวรรค์เพื่อที่ทุกคนจะได้หลบหนีไปด้วยอาคมของมัน ถ้าหวังลู่สามารถต้านทานได้สักชั่วอึดใจหนึ่งละนะ!
ตอนที่หวังลู่ปลดปล่อยพลังปราณกระบี่ออกมา หลิวหลีที่ยังไม่ได้สติกลับมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที นางแผ่พลังปราณกระบี่กระจ่างใจออกมาให้เป็นกลุ่มหมอกและนำไปรวมกับพลังอิทธิ์ฤทธิ์ของหวังลู่อย่างแน่นหนา เพื่อเป็นแรงขับดันเฮือกสุดท้ายให้อีกฝ่าย
เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังลู่มองเห็นชัดเจนว่าสีหน้าของผู้อาวุโสชุดดำที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆทะมึนพลันเปลี่ยนไป ราวกับงุนงงกับตัวเลือกที่บุ่มบ่ามของเขา หวังลู่เห็นท่าทางดุร้ายกระหายเลือดของมังกรน้ำทั้งสองได้อย่างชัดเจนขณะที่พวกมันจับจ้องลงมาที่เขา หวังลู่เห็นพลังปราณฟ้าดินส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดและระเบิดอยู่ในเมฆสีดำได้แจ่มชัด เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ลำแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากแกนกึ่งจริงกึ่งว่างเปล่าภายในวิหารหยก ของเขา และพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์โดยกำเนิดกำลังหลอมรวมอยู่ในลำแสงสีทองดังกล่าว ทำให้ความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าและไม่อาจทำลายลงได้!
ลำแสงหนึ่งสว่างวาบขึ้นในสมองของหวังลู่ แม้จะยังไม่เห็นผล แม้เมฆดำบนท้องฟ้าจะยังไม่หยุดนิ่ง แต่เขาก็มั่นใจมากพอว่าจะทำสำเร็จ! เขาสามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้แน่!
แต่ก่อนที่ก้อนพลังทั้งสองจะปะทะกันนั้น
เหนือขึ้นไปบนฟ้า ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งก็ทำลายเมฆดำจนกลายเป็นชิ้นๆ แสงกระบี่สีเขียวดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับอุกกาบาต มันพุ่งมาจากฟ้ารวดเร็วเสียงยิ่งกว่าแสง ทั้งยังเคลื่อนที่ไปมาอย่างอิสระขณะที่เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไป
ตอนนี้แสงกระบี่สีเขียวซึ่งรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้เข้ามาสู่ใจกลางสนามรบแล้ว แสงกระบี่นั้นมาจากทิศทางตรงกันข้าม และพุ่งชนเข้ากับมังกรน้ำที่ดุร้ายทั้งสองตัว!
ผลก็คือเกิดการระเบิดรุนแรงที่ทำเอาฟ้าถล่มแผ่นดินสะเทือนกวาดล้างทุกสิ่งรอบๆ ไปจนหมด เหล่าผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างสั่นสะท้าน เสียงวิ้งดังก้องอยู่ในหู มังกรน้ำทั้งสองกลายเป็นฝุ่นสีดำจากนั้นก็ถูกลมม้วนขึ้นและพัดพาไปไม่เหลือแม้ร่องรอย ผู้อาวุโสชุดดำกรีดร้องอย่างน่าสังเวชจากนั้นร่างของเขาก็ซวนเซและร่วงลงมา
“พวกไร้ความคิด กล้าดียังไงคิดจะขโมยสัตว์เซียนของยอดเขาไร้ลักษณ์!?”
ร่างของอาวุโสห้าในชุดขาวดูเจิดจ้าผิดธรรมดา นางเหมือนเทพธิดาลงมาโปรดที่หุบเขาจันทร์เต็มดวงไม่มีผิด