ภาคที่ 5 ตอนที่ 42 ขโมยคนจากขุมสมบัติของผู้อื่น!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 42 ขโมยคนจากขุมสมบัติของผู้อื่น! Ink Stone_Fantasy

 

            สัตว์เซียนภูตจันทราถูกลืมไปพักใหญ่จริงๆ

            หลังจากที่หวังลู่เรียกจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งแห่งเขาอวิ๋นไท่ออกมา กันราชาพยัคฆ์ออกไป ทำลายการปิดล้อมและปล่อยให้แกนจักรพรรดิแพร่กระจายไปทั่วเขาอวิ๋นไท่ สัตว์เซียนภูตจันทราจึงฉวยโอกาสนี้ในการเปลี่ยนร่าง หลังจากที่ซึมซับแกนแสงจันทร์เข้าไปมากพอ มันก็ห่อตัวอยู่ในรังไหมที่ทำจากแสงและเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงร่าง

            หากเป็นสัตว์ภูตทั่วไป พวกมันต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัสระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนร่าง เพราะแค่บำเพ็ญเซียนเพียงอย่างเดียวก็ถือว่าฝืนลิขิตสวรรค์แล้ว อย่าได้พูดถึงการเปลี่ยนร่างจากสัตว์เป็นมนุษย์เลย แน่นอนว่าหลังสิ้นสุดกลียุค ความรุนแรงของทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่โหดร้ายเท่าเดิม ถ้าเตรียมตัวมาดีพอ ปกติแล้วก็จะผ่านพ้นไปได้ไม่ยากนัก ความสามารถของเด็กสาวหูแมวนับว่าไม่เลว ตอนที่นางเปลี่ยนร่างนางยืนหยัดต่อทัณฑ์สายฟ้าสีทองได้ถึงสามครั้งและทะลวงคอขวดได้สำเร็จ

            ทว่าสำหรับสัตว์เซียน ระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนร่างมันไม่ต้องพบเจอทัณฑ์สวรรค์ทุกรูปแบบ ไม่แน่ว่าสำหรับสวรรค์แล้ว การเปลี่ยนร่างของสัตว์เซียนถือเป็นขั้นตอนตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องขัดขวาง

            ดังนั้นขั้นตอนการเปลี่ยนร่างของสัตว์เซียนภูตจันทราจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและเงียบเชียบ เงียบขนาดที่ว่าในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน หวังลู่และคนอื่นๆ กลับลืมเลือนสัตว์เซียนที่อยู่ใกล้ๆ ไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งสัตว์เซียนภูตจันทราเริ่มพูดออกมา

            “ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะข้า ดังนั้นข้าควรเป็นคนจบมัน”

            ทันทีที่เสียงนี้สะท้อนก้องไปทั่วหุบเขาจันทร์เต็มดวง ลำแสงก็ปรากฏขึ้นจากรังไหมแสง แม้ดวงตาของหวังลู่จะได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แสงดังกล่าวก็ยังทำให้หวังลู่ตาพร่าไปชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังสามารถเห็นเงาของหญิงสาวรูปร่างงดงามได้อย่างเลือนราง เงานั้นเดินตรงมายังหลิวหลีและเอื้อมมือไปสัมผัสบาดแผลของอีกฝ่าย

ไอแห่งความตายบนร่างของหลิวหลีถูกขับออกไปเกือบจะในทันใด และพลังปราณที่สว่างไสวราวแสงอาทิตย์ก็ซึมผ่านไปทั่วทุกมุมในร่างของหลิวหลี หลิวหลีส่งเสียงครางออกมา อาการบาดเจ็บของนางหายไปเป็นปลิดทิ้ง! ตอนนี้นางแค่ยังหมดสติไม่ได้ฟื้นขึ้นมาในทันที

            เมื่อหลิวหลีพ้นอันตรายแล้ว ภูตจันทราก็ดึงลำแสงกลับมาสู่ตัวจนเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของนาง หวังลู่มองไปยังภูตจันทราที่เปลี่ยนร่างจนสมบูรณ์ด้วยความตกตะลึง แม้เขาจะรู้สิ่งต่างๆ มาตั้งแต่แรก แต่กลับพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

            เป็นไปตามที่หวังลู่คาดเอาไว้ หลังจากเปลี่ยนร่างภูตจันทราได้กลายมาเป็นเด็กสาววัยรุ่นหน้าตางดงามเกินบรรยาย นางดูอยู่ในวัยสิบหกสิบเจ็ด หน้าตามีความคล้ายคลึงเทพธิดาอวิ๋นไท่แปดถึงเก้าส่วน เพียงแค่เมื่อเทียบกับเทพธิดาอวิ๋นไท่แล้ว นางดูร่าเริงและมีชีวิตชีวากว่า สายตาของเด็กสาวเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อย่างเห็นและความเฉลียวฉลาด

            หลังจากที่ถอนลำแสงกลับสู่ตัว นางก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานและกล่าวกับหวังลู่ “ขอบคุณ”

            ไม่บ่อยนักที่หวังลู่จะเสียอาการเช่นนี้ เขากระแอมไอเพื่อให้คอโล่งจากนั้นจึงพูดขึ้น “เล็กน้อย ข้าให้สัญญากับเทพธิดาอวิ๋นไท่ไว้ ข้าแค่ทำตามสัญญาเท่านั้น แต่แค่…เจ้าไม่คิดว่าตัวเองต้องใส่เสื้อสักหน่อยหรือ”

            ภูตจันทราเพิ่งเปลี่ยนร่างเสร็จ ดังนั้นตอนนี้นางย่อมอยู่ในสภาพเริ่มแรก คือไม่มีเส้นด้ายแม้สักเส้นห่อหุ้มตัว หน้าอกอวบอิ่ม เอวแบบบาง บั้นท้ายกลมกลึง ผสานกันจนกลายเป็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าส่วนที่ดึงดูดใจและไวต่อสิ่งเร้าที่สุดของหญิงสาวก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดแม้เพียงแค่ปรายตามอง

            ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ หวังลู่ไม่เคยรู้สึกอัดอั้นเพราะแค่เห็นหญิงสาวเปลือยเปล่า ทว่าเขาต้องยอมรับว่ารูปร่างที่หมดจดของภูตจันทรานั้นห่างไกลจากคำว่า ‘แค่หญิงสาวเปลือยเปล่า’ ความงามของนางนั้นสั่นสะท้านจิตวิญญาณ แม้เขาจะสำเร็จวิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์แล้ว แต่ก็อดรู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่นไม่ได้

            ภูตจันทรานิ่งไปพักหนึ่ง แต่แล้วก็ค่อยๆ หมุนตัวอย่างอ่อนช้อยต่อหน้าหวังลู่ “แบบนี้ไม่ดีหรือ ทำไมท่านดูเก้อเขิน”

            “…ข้าจำได้ว่าเทพธิดาอวิ๋นไท่สวมชุดสีขาว แล้วทำไมเจ้าถึงไม่สวมสักชุดเล่า”

            ภูติจันทรายิ้มบางพลางกล่าวตอบ “ท่านแม่บอกว่า อาภรณ์ของนางเป็นสัญลักษณ์ของพันธะทางโลก และนางหวังให้ข้ามีชีวิตอย่างเป็นอิสระ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าข้าไม่ควรสวมเสื้อผ้าบ่อยครั้งนัก ท่านว่าไหม แต่ในเมื่อท่านเห็นว่ามันไม่เหมาะสม แปลว่าความเข้าใจของข้ากับความเป็นจริงอาจจะแตกต่างกัน ดังนั้น…”

            เด็กสาวยกมือขึ้น จากนั้นส่วนที่อ่อนไหวทั้งหมดของนางก็เรืองแสงขึ้นจนซ่อนเร้นจากสายตาของผู้คน…

            “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นสหายกับหมอกแห่งศีลธรรมนะเนี่ย…” หวังลู่อดขำออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยังยืนยันความตั้งใจเดิม เขาจึงไม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีก อย่างไรเสียในเมื่ออีกฝ่ายยินดีที่จะให้กำไรเล็กๆ น้อยๆ เขาเป็นใครจึงจะไปขอให้นางหยุดกัน เขารีบเรียกใช้งานความสามารถในการจดจำเป็นภาพและบันทึกสิ่งที่เห็นให้ได้มากที่สุด

            สัตว์เซียนที่เพิ่งผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนร่างยังไม่มีประสบการณ์ทางโลก ไม่รู้วิธีที่จะปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ และบริสุทธิ์ราวกระดาษเปล่า แต่แตกต่างจากนิสัยของหลิวหลีและฉวนโจ่วฮวาที่ไม่อาจรักษาได้ ขณะอยู่ในร่างของสัตว์เซียน ภูตจันทรามีนิสัยเหมือนสัตว์ทั่วไป ทว่าหลังจากที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์แล้ว ปัญญาของนางจะรู้แจ้งเต็มที่ หลักเหตุผลจะเติบโต เพียงไม่กี่วันหลังจากที่นางคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์และความประพฤติแล้ว นางย่อมมีความรู้สึกละอายแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีภาพที่สวยงามเหล่านี้ให้เห็นอีกแล้ว

            ทว่าเมื่อถึงตรงนี้ การเดินทางมายังเขาอวิ๋นไท่ก็ดำเนินมาถึงตอนจบ ภูตจันทราเปลี่ยนร่างเรียบร้อย ศัตรูถูกกำจัด พวกเขาทำทุกอย่างที่ควรทำหมดแล้ว ขั้นต่อไปทันทีที่พวกเขาพาตัวภูตจันทรากลับไปยังสำนักกระบี่วิญญาณ การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ก็จะประสบความสำเร็จใหญ่หลวง และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดา พวกเขาจึงควรใช้ยันต์สวรรค์

            แม้ยันต์สวรรค์จะมีค่าสูงเทียมฟ้า มันก็เป็นเพียงหยดน้ำในถังเมื่อเทียบกับมูลค่าของสัตว์เซียน ดังนั้นหวังลู่จึงไม่ลังเลที่จะใช้มัน เขาหยิบยันต์สวรรค์ออกมาจากย่ามสีเหลืองตุ่นและมองตัวอักษรโปร่งใสเปล่งประกายมากกว่าพันตัวที่สลักอยู่บนยันต์หยกก้อนหนานี้ ตัวอักษรแต่ละตัวบรรจุพลังลึกลับเอาไว้ อีกด้านหนึ่งของยันต์ถูกปล่อยว่าง นั่นเป็นด้านที่ผู้ใช้ต้องประทับตราของตัวเองลงไป เมื่อพวกเขาประทับตรา และทันทีที่ยันต์ถูกใช้งาน ถ้าพวกเขาอยู่ในบริเวณที่ยันต์มีผลก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ ตอนนี้หวังลู่ หลิวหลีและฉวนโจ่วฮวาประทับตราเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอยประทับของเด็กสาวหูแมว เสี่ยวชีและภูตจันทราเท่านั้น ยันต์สวรรค์หนึ่งชิ้นสามารถเคลื่อนย้ายคนได้สิบคนในคราวเดียว ดังนั้นจึงยังเหลือที่ว่างอีกมาก

            เมื่อได้เห็นยันต์ช่วยชีวิตของสำนักกระบี่วิญญาณ เสี่ยวชีก็อดถอนใจออกมาไม่ได้ “ตอนที่ข้าท่องเที่ยวอยู่กับอาจารย์ของเจ้า นางเคยพูดถึงสิ่งนี้หลายครั้ง นางบอกว่าถ้ามียันต์สวรรค์กระบี่วิญญาณติดตัวมาด้วย นางจะไปสำรวจทุกที่ที่อันตรายในอาณาจักรเก้าแคว้นโดยไม่หวั่นเลย แต่โชคร้ายที่เหมือนนางจะสะสมแต้มสำนักได้ไม่พอ”

            หวังลู่เหยียดยิ้ม “ยายผียาจกนั่นถูกไล่ให้ไปขายไตอยู่ทุกวัน ดีที่เจ้าสำนักสมเพชนางเลยให้เงินประจำตำแหน่งผู้อาวุโสกับนางทุกเดือน”

            ขณะประทับตราของตัวเองลงบนยันต์สวรรค์ เสี่ยวชีก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องหักหน้านางอย่างนี้ แม้นิสัยของนางจะค่อนข้าง… แต่นางหาเงินได้จริงๆ นะ”

            หวังลู่ตื่นตกใจ “นางหาเงินได้? อย่าบอกนะว่ามีคนของพันธมิตรหมื่นเซียนรับซื้อศีลธรรมในใจคนด้วยราคาสูง”

            “ไม่ใช่แบบนั้น นางมีหัวการค้าไม่เบา และทำการค้าได้สำเร็จอย่างน่าอิจฉามาไม่น้อย แต่ยิ่งนางหาเงินได้เท่าไร ก็ยิ่งใช้จ่ายไปมากเท่านั้น นางไม่เหมือนเจ้า ทรัพยากรที่นางต้องใช้ในการบำเพ็ญเซียนนั้นมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้น…”

            ขณะอธิบายด้วยรอยยิ้ม เสี่ยวชีก็ช่วยเด็กสาวหูแมวที่ยังคงมึนงงเพราะพลังปราณโดยกำเนิดถูกผลาญไปจับหนวดเอาไว้ แล้วหลอมมันให้กลายเป็นพลังอิทธิฤทธิ์บริสุทธิ์จากนั้นก็ประทับลงบนยันต์สวรรค์เพื่อใช้เป็นตราประทับของเด็กสาวหูแมว

            ตอนนี้คนสุดท้ายก็คือภูตจันทรา เด็กสาวหยิบยันต์สวรรค์ขึ้นมา “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สิ่งนี้ดูเจ๋งไม่น้อย มันมีไว้ทำอะไรหรือ”

            “มีไว้พาเจ้าไปจากที่นี่และกลับไปยังเขากระบี่วิญญาณของข้า”

            “ไปจากที่นี่?” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็กระซิบ “แต่นี่คือบ้านข้า”

            “แขกชั่วช้าทำบ้านของเจ้าเละเทะหมดแล้ว แต่เขากระบี่วิญญาณของข้ามีทิวทัศน์ที่งดงาม มีเสียงนกร้องและดอกไม้ส่งกลิ่นหอมไปทุกที่ พลังปราณฟ้าดินก็อุดมสมบูรณ์ อาหารเลิศรสก็มากมี”

            เสี่ยวชีแทรกขึ้น “นี่ โคลงที่เจ้าท่องไม่เห็นจะคล้องจองกันเลย!?”

            เด็กสาวมีท่าทีสนอกสนใจ “เป็นที่ที่เจ๋งมากเลยหรือ”

            “แน่นอนสิ หนำซ้ำเทพธิดาอวิ๋นไท่ยังไม่ต้องการให้เจ้าติดแหง็กอยู่ที่เขาอวิ๋นไท่ไปตลอด โลกนี้กว้างใหญ่ เจ้าสามารถออกสำรวจทุกมุมของมันได้”

            เด็กสาวพยักหน้าอย่างแข็งขัน “อืม ข้าเข้าใจ ท่านแม่บอกว่าท่านเป็นคนที่เชื่อถือได้ ดังนั้นข้าจะไปกับท่าน ท่านอยากให้ข้าทิ้งตราประทับบนยันต์สวรรค์นี่หรือ ทำยังไงล่ะ”

            หวังลู่กล่าว “เจ้าจะเขียนชื่อจริงที่มีพลังปราณของตัวเองลงไปก็ได้ อืม ชื่อจริงของเจ้าต้องตอบสนองกับจิตใจ ข้าจำได้ว่าเทพธิดาอวิ๋นไท่ตั้งชื่อให้เจ้าว่าซือเสวียน แต่เจ้ายังไม่มีแซ่ จะใช้แซ่หวังของข้าก็ได้นะ”

            ภูตจันทราส่ายศีรษะ “ไม่ดีกว่า ข้าจะใช้แซ่ป๋าย”

            “ตามใจเถอะ” หวังลู่ยักไหล่จากนั้นก็ส่งยันต์สวรรค์ให้อีกฝ่ายและรอให้นางประทับตราลงไป

            เด็กสาวนามว่าป๋ายซือเสวียนตวัดนิ้วมือเบาๆ และเริ่มกลั่นตราประทับออกมา นางเป็นสัตว์เซียนที่เปลี่ยนร่างอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นย่อมต้องมีพลังวิเศษติดตัว โดยทั่วไปหากคนคนหนึ่งไม่เคยกลั่นตราประทับของตัวเองมาก่อน พวกเขาย่อมต้องใช้เวลาพักหนึ่งเรียนรู้วิธีดูดซับพลังปราณเพื่อที่จะทำเป็นตราประทับ แต่ป๋ายซือเสวียนกลับทำตราประทับออกมาได้อย่างง่ายดาย มันมีหน้าตาคล้ายจันทร์เสี้ยวสีขาวผ่อง

            ทว่าตอนที่ป๋ายซือเสวียนกำลังจะประทับตราของนางลงบนยันต์สวรรค์นั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวชีก็พลันเปลี่ยนไป นางกวัดแกว่งไม้เท้าไปบนอากาศในทันที

            อึดใจถัดมา ไม้เท้าของนางก็ส่งเสียงหึ่งๆ และแสงแห่งเซนก็กระจายออกปกคลุมท้องฟ้าครึ่งหนึ่งของหุบเขาจันทร์เต็มดวง

            ทว่าในพริบตานั้น แสงแห่งเซนก็พลันถูกลำแสงที่รุนแรงและว่องไวไล่ต้อนจนกระเจิง  ราวกับว่าเสี่ยวชีถูกตีและอากาศถูกปิดกั้นจากปอด นางเซถอยหลังหลายก้าว ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด แสงแห่งเซนของเสี่ยวชีสามารถสกัดลำแสงนั้นได้ครู่หนึ่ง แต่ลำแสงนั้นราวกับมีชีวิต เมื่อลงมาได้ครึ่งทางมันก็เร่งความเร็วแล้วพุ่งตรงมายังหวังลู่ หวังลู่ดึงยันต์สวรรค์ไปแอบไว้ด้านหลังในทันที จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงที่มือ ลำแสงดังกล่าวตัดนิ้วของเขาออกไปหลายนิ้ว แต่โชคดีที่ยันต์สวรรค์ไม่เสียหาย

            เห็นได้ชัดว่าวิกฤติได้มาเยือนอีกครั้งแล้ว ขณะที่ละครเรื่องนี้กำลังจะจบลง คลื่นลูกใหม่ที่ทรงพลังกลับปรากฏกายขึ้น แม้หวังลู่จะมีสุขภาพจิตดี แต่เขาก็อดกังวลขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้

            โดยเฉพาะเมื่อลำแสงนั้นรุนแรงเหลือล้น แถมพลังของมันก็ไร้ที่เปรียบ หนำซ้ำพลังอิทธิฤทธิ์ก็ดูราวมีชีวิต ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ แถมขั้นตบะที่ว่ายังสูงกว่าราชาพยัคฆ์หลายขุมด้วย!

            “อย่าคิดว่าจะหนีไปได้เชียว!”

            เสียงคำรามที่ทำให้หุบเขาสั่นสะเทือนดังขึ้นพร้อมเมฆดำทะมึนบดบังท้องฟ้าที่เคลื่อนมาจากที่ไกลๆ แม้จะอยู่ไกลแต่กลับปลดปล่อยความน่าเกรงขามออกมากดดันสิ่งมีชีวิตทั้งหมด จนทำให้ผู้คนหายใจลำบาก หวังลู่บังคับตัวเองให้เงยหน้าขึ้นมองหาความจริงที่ซ่อนอยู่หลังเมฆสีดำเหล่านั้น เขามองเห็นเมฆเหล่านั้นประกอบด้วยเมฆรูปร่างแปลกตาหลากหลายชนิด และเหมือนจะมีฝูงสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนอยู่ภายในเมฆสีทะมึนนั้น มีทั้งเสียงฟ้าร้องฟ้าฝ่า เสียงลมโหยหวนและเสียงฝนเทกระหน่ำ… หวังลู่หมุนศีรษะกลับมา จิตเซียนไร้ลักษณ์ของเขาลอยอยู่ด้านบนวิหารหยก พลังวิญญาณขั้นปฐมตบะขั้นพิสุทธิ์ จักรพรรดิกระดูกไร้ลักษณ์ ต่างร่วมแรงกันส่งพลังออกไปสกัดการกัดกร่อนของเมฆรูปร่างแปลกตาเหล่านี้

            “แม่งเอ๊ย ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย…”

            ทั้งสามารถสร้างรูปทรงแปลกๆ ได้ด้วยการยกแขนหรือขา ทั้งพลังวิญญาณขั้นปฐมยังสามารถส่งกระแสจิตลุกล้ำจิตของมนุษย์ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าขั้นตบะของคนผู้นี้บรรลุถึงขั้นกำเนินใหม่ช่วงปลายแล้ว หวังลู่พยายามใช้จิตเซียนของเขาเพ่งมอง แต่การมองเห็นของเขากลับถูกรูปร่างแปลกๆ นั่นขัดขวาง ในขณะเดียวกันพลังวิญญาณขั้นปฐมที่เขาส่งไปก็เกือบไปสัมผัสกับสิ่งรบกวนและถูกมันควบคุมเอาไว้

            การที่อีกฝ่ายมีความสามารถถึงขั้นนี้ก็นับได้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งในพันธมิตรหมื่นเซียน  หากวัดกันด้วยความสามารถ ผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่นภาของเขากระบี่วิญญาณก็มีความสามารถอยู่ในขั้นนี้เช่นกัน

            ทว่าบุคคลที่กำลังมาย่อมไม่ใช่ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณแน่ อึดใจถัดมา เมฆทะมึนเหล่านั้นก็สลายไป เผยให้เห็นผู้อาวุโสสูงศักดิ์ใบหน้าเคร่งขรึม ชายผู้นี้แต่งกายในชุดดำ ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยสายฟ้าและเปลวเพลิง แขนล่ำสันทั้งสองข้างที่ไขว้กันอยู่เหนืออกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำสนิท ซึ่งยิ่งขับความโหดร้ายของเจ้าตัวให้มากขึ้นเป็นสองเท่า

            เสี่ยวชีสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ “ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์!?”