ตอนที่ 215 บันทึกส่วนตัวของบรรพบุรุษ

ลำนำสตรียอดเซียน

แน่นอนว่าหลังจากถูกปฏิเสธด้วยการสั่งสอนจากโม่เทียนเกอ ถังเซิ่นจึงไม่มาตามหานางอีก และวิธีที่เขามองนางก็เปลี่ยนกลับไปเป็นแบบปกติ เห็นได้ชัดว่าเขาปล่อยวางความคิดเช่นนั้นของเขาไป ที่จริงแล้วตอนนี้เขาฝึกตนอย่างขยันขันแข็งมากกว่าแต่ก่อน ทุกครั้งที่เขาเจอกับปัญหายากๆ เขาจะใช้โอกาสจากช่วงเวลาว่างของผู้อาวุโสทั้งสองคนเพื่อขอคำแนะนำจากพวกนางหรือเขาจะมาหาโม่เทียนเกอและถามนาง

 

 

ในสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา ถังเซิ่นเป็นกำลังคนส่วนหนึ่งของพวกเขา ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้พยายามปิดบังอะไร หากนางรู้คำตอบก็จะบอกเขา เพราะฉะนั้นระดับการฝึกตนของถังเซิ่นจึงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียเขาก็มีปราณหยางบริสุทธิ์และต้นทุนของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าของนางในสมัยก่อนนั้น

 

 

สำหรับเรื่องอื่นๆ นั้น ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสองคนมีแผนอยู่แล้ว โม่เทียนเกอเป็นเพียงผู้อาวุโสรับเชิญแค่ในนาม นางไม่มีทั้งสิทธิ์หรือความสามารถจะเข้าไปก้าวก่าย และคงไม่เหมาะสมที่นางจะออกความเห็นกับพวกเขามากเกินไป อีกอย่าง นางไม่มีทางแก้ปัญหาที่ดีไปมากกว่านี้แล้ว พละกำลังปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิงนั้นน่ากลัวมาก นางไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ในระยะนี้ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถปรุงยาได้ แค่สลายพลังมรณะในร่างกายนางก็เป็นปัญหายากลำบากแล้ว การพยายามจะทำการข้ามผ่านดินแดนยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อนางไม่สามารถข้ามผ่านดินแดนได้ นางคงจะไม่สามารถจัดการกับเริ่นอวี่เฟิงได้ นางจึงทำได้เพียงยอมทำตามการตัดสินใจของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว

 

 

ที่ชั้นเจ็ดของเจดีย์บรรลุเต๋าคือที่เก็บของสะสมอายุหลายพันปีของสภาปี้เซวียนและในนั้นก็มีทรัพย์สมบัติค่อนข้างมากทีเดียว ตอนนี้เมื่อพวกเขากำลังเผชิญกับการทำลายล้างกลุ่ม ผู้อาวุโสชิงอี้จึงตัดสินใจที่จะนำของสะสมเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์

 

 

สำหรับเหตุนี้ ซย่าชิงอุทิศตนให้กับการปรุงยาวิเศษทันทีหลังจากอาการบาดเจ็บของนางหายดี ส่วนเว่ยเฮ่าหลาน การจะสร้างกลุ่มขึ้นมาอีกครั้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีนาง ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งสองจึงมีเมตตามาก พวกเขามอบยาครอบจักรวาลวิญญาณที่กลุ่มเก็บรวบรวมมาหลายปีให้กับเว่ยเฮ่าหลานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนาง เพราะเหตุนั้น ในที่สุดอาการบาดเจ็บของเว่ยเฮ่าหลานจึงเริ่มคงที่ในอีกหลายเดือนต่อมา และพวกเขาก็สามารถรักษาการฝึกตนของนางเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม นางถูกพลังมรณะแพร่กระจายใส่ไปแล้ว นางอาจจะใช้เวลานานยิ่งกว่าโม่เทียนเกอที่จะรักษาจนหายสนิท ยิ่งไปกว่านั้นตานเถียนของนางก็ได้รับบาดเจ็บ นางไม่มีโอกาสจะก้าวหน้าไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้

 

 

เมื่อนางรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้จากผู้อาวุโสทั้งสอง เว่ยเฮ่าหลานก็ตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน ถึงแม้นางจะเป็นผู้ฝึกตนที่ใส่ใจกับอำนาจและอิทธิพลมากกว่า แต่นางก็ยังพบว่ายากจะยอมรับได้ที่นางอาจไม่สามารถทำการบรรลุผ่านดินแดนใดๆ ได้อีกเลย

 

 

โชคดีที่เว่ยเฮ่าหลานเป็นคนเข้มแข็งและนางยังเตรียมใจมานานแล้วเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของนาง ดังนั้นนางจึงสามารถปรับความคาดหวังของนางใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทุกๆ วันนางยังคงพักฟื้นและช่วยเหลือซย่าชิงในการปรุงยาวิเศษ

 

 

ในชั่วพริบตา หนึ่งปีก็ได้ผ่านพ้นไป ภายใต้การใช้ยาครอบจักรวาลวิญญาณไปอย่างมากมาย อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจึงรักษาหายได้ในที่สุด จากนั้นพวกเขาประกาศว่าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อฝึกวิชาลับ พร้อมบอกคนอื่นๆ ไม่ให้ไปที่ชั้นสี่และอย่ารบกวนพวกเขานอกเสียจากมีกิจจำเป็น

 

 

เมื่อได้ยินข่าวนี้ เว่ยเฮ่าหลานและอีกสองคนล้วนตกอกตกใจและสีหน้าพวกเขาดูโศกเศร้าด้วยเช่นกัน ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกงุนงงว่าทำไมพวกเขาถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอนึกได้ถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดตอนพวกเขาเชื้อเชิญให้นางเป็นผู้อาวุโสรับเชิญ นางจึงแอบถามเว่ยเฮ่าหลานเกี่ยวกับเรื่องนั้น

 

 

“ท่านเจ้าสำนักเว่ย วิชาลับที่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองพูดถึง หรือว่ามันจะ… ทำให้พวกเขาเสียชีวิต”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานนิ่งเงียบ ช่วงเวลาสักพักหนึ่งให้หลัง นางจึงถอนหายใจและพูดว่า “ตอนนี้สหายนักพรตเยี่ยเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียนของเรา เราควรบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ท่านพูดถูก ก่อนที่ผู้ก่อตั้ง ปี้สุ่ยหยวนจวินจะตายจากไป นางได้ทิ้งวิชาลับที่รู้จักกันในนามวิชาห้ามเลือดลับเอาไว้ ศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทุกคนของสภาปี้เซวียนจำเป็นต้องเรียนรู้ครึ่งแรก มันเป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะลากศัตรูตกต่ำไปกับเรา อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังของวิชานี้สามารถฝึกฝนได้โดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังจำเป็นต้องใช้เวลาและพละกำลังอย่างมาก สิ่งที่มันทำได้ก็คือ… รวมการฝึกตนของหลายๆ คนเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง”

 

 

“… เช่นนั้นก็หมายความว่า… สิ่งที่ผู้อาวุโสชิงซีใช้ในตอนนั้นก็คือวิชาห้ามเลือดลับนี้น่ะหรือ”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้า “ใช่ โชคร้าย ผู้อาวุโสชิงซีบาดเจ็บอยู่แล้วในตอนนั้นและพลังของคนผู้นั้นก็เกินธรรมดา ดังนั้นนางจึงสามารถขัดขวางเขาได้แค่ครู่หนึ่งเท่านั้น…”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวล่ะ” โม่เทียนเกอถามด้วยสีหน้าหนักหน่วง “จะเกิดอะไรขึ้นกับกับพวกเขาถ้าใช้วิชาลับนี้”

 

 

ด้วยรอยยิ้มขมขื่น เว่ยเฮ่าหลานกล่าว “ถึงแม้วิชาลับนี้จะสามารถฝึกฝนได้โดยผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงขึ้นไป แต่ไม่มีใครในปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายต่อหลายรุ่นของสภาปี้เซวียนที่เคยฝึกวิชาลับนี้อย่างสมบูรณ์”

 

 

โม่เทียนเกอตกตะลึง “ทำไมเล่า” ต่อให้ชีวิตของพวกเขาจะรักษาไว้ได้ยากหากพวกเขาใช้วิชานี้ แต่การศึกษามันไว้เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นก็ดีเหมือนกัน ทำไมถึงไม่มีใครเคยฝึกมันมาก่อน

 

 

“เพราะว่า” เว่ยเฮ่าหลานพูดช้าๆ ทีละคำ “หากเราฝึกครึ่งหลังของวิชาลับนี้ เราไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป”

 

 

โม่เทียนเกอไม่สามารถพูดอะไรได้เป็นเวลานาน ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป… นี่มันหมายความว่าอะไร ถ้าพวกเขาไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมนุษย์ แล้วพวกเขาจะเป็นอะไร

 

 

ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความสับสนของนาง เว่ยเฮ่าหลานส่ายหน้า “การห้ามเลือดที่ว่านั้นจำเป็นต้องใช้เลือดเป็นสิ่งตอบแทน หากคนเราถ่ายเลือดออกไปจนหมด จะไม่กลายเป็นศพแห้งหรอกหรือ จะยังถือว่าเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”

 

 

โม่เทียนเกอตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินสิ่งที่เว่ยเฮ่าหลานพูด

 

 

เว่ยเฮ่าหลานหันมองทางอื่น ซ่อนความเศร้าในดวงตาของนางเอาไว้ “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองเตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับความตายแล้ว… เราต้องฝึกหนักในการฝึกตนของเราและสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่เพื่อทำตามความปรารถนาของพวกเขา”

 

 

ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสามคนดูเป็นเช่นนั้นเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้อาวุโสกำลังจะฝึกวิชาลับ โดยการฝึกวิชาลับนี้ โชคชะตาของพวกเขาถึงคราวเคราะห์แล้วตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็จะลงเอยด้วยการตายอย่างแน่นอน

 

 

ด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้ง โม่เทียนเกอเริ่มจดจ่ออยู่กับการพักฟื้นและฝึกคาถา

 

 

มีศัตรูที่ทรงพลังอยู่ใกล้ๆ แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย ความรู้สึกเช่นนี้นั้นยากจะทนไหว ตั้งแต่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางไม่เคยอยากจะแข็งแกร่งขึ้นมากมายเพราะความสิ้นหวังเหมือนอย่างที่นางรู้สึกตอนนี้

 

 

เพราะฉะนั้นหลังจากยืนยันแล้วว่านางคงจะต้องใช้เวลานานเพื่อสลายพลังมรณะ นางจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีไปกับการศึกษาหยกบันทึกที่โม่เหยาชิงทิ้งเอาไว้

 

 

ที่จริงแล้วหยกบันทึกนี้ไม่ได้มีวิชาลับที่เกินธรรมดาหรือสำคัญมากมายอะไร มันกลับประกอบไปด้วยวิชาการใช้คาถาทุกชนิดและมีข้อมูลเชิงลึกในการฝึกศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์แทน

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น โม่เหยาชิงเป็นอัจฉริยะที่สวรรค์ประทานอย่างแท้จริง คาถาง่ายๆ กลับกลายเป็นมีพลังยิ่งใหญ่จากการอธิบายของนาง การดัดแปลงเล็กน้อยที่ไม่เป็นที่สังเกตทำให้บางคาถามีรูปแบบใหม่และเพิ่มพลังขึ้นอย่างมาก ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น เคล็ดลับสำหรับการฝึกศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ถึงกับทำให้โม่เทียนเกอจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้มันอย่างกระตือรือร้น

 

 

วิชาการฝึกตนหลักของนางคือศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดที่แก้ไขโดยจงมู่หลิง มันเป็นวิชาการฝึกตนที่เกิดขึ้นจากการรวมบันทึกไทหยวนและศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์เข้าด้วยกัน รายละเอียดของมันไม่ได้แตกต่างจากวิชาการฝึกตนทั้งสองนั้นแม้แต่น้อย ดังนั้นสำหรับโม่เทียนเกอ ความรู้ในการฝึกตนของโม่เหยาชิงจึงมีประโยชน์อย่างมาก

 

 

นอกจากนี้ หยกบันทึกนี้ยังประกอบไปด้วยข้อมูลบางอย่างที่โม่เหยาชิงบันทึกไว้อย่างคร่าวๆ อย่างเช่น การดัดแปลงสูตรยา เช่นเดียวกับแนวคิดในการขัดเกลาอาวุธเวท เรื่องเกี่ยวกับการปรุงยา การขัดเกลาเครื่องมือ ม่านพลัง กำแพงอาคม และอื่นๆ อีกมากมายล้วนอยู่ในนั้นเกือบทั้งหมด ข้อมูลนี้รวมถึงสิ่งที่โม่เหยาชิงมักจะคิดขึ้นมาตามปกติ บางอย่างถูกนำมาใช้จริง แต่บางอย่างก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากการทดลองทางความคิดเท่านั้น

 

 

แต่เนื่องจากนางสามารถคิดสูตรยาเช่นเดียวกับวิธีใหม่ในการขัดเกลาอาวุธเวทขึ้นมาได้ นางก็อาจถือได้ว่าอยู่ในหมู่ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในเมื่อนางมีความรู้ในสองสาขานั้นเป็นพิเศษ

 

 

หลังจากค้นพบว่าโม่เหยาชิงมีความสามารถรอบด้าน ในทางหนึ่ง โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ แต่ในทางกลับกัน นางก็สับสนเช่นกัน ด้วยความสามารถเช่นนั้น โม่เหยาชิงไม่ได้ด้อยไปกว่านักเดินทางจื้อเวยเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมกลุ่มดั้งเดิมของนางจึงทำเหมือนนางเป็นแค่ตัวเลือกคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นแทนที่จะดูแลนางเพื่ออนาคตของกลุ่ม

 

 

บันทึกส่วนตัวของโม่เหยาชิงด้านหลังหยกบันทึกมีคำตอบให้กับข้อสงสัยของนาง

 

 

“ข้าก้าวเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียนตอนอายุห้าขวบ สร้างฐานแห่งพลังงานตอนอายุยี่สิบปี ก่อขุมพลังตอนอายุร้อยปี และสร้างจิตวิญญาณใหม่ตอนอายุห้าร้อยปี ในระหว่างนั้น ความยากลำบากที่ข้าต้องทนไม่จำเป็นต้องพูดถึง น่าเศร้าที่ข้าเกิดมาเป็นผู้หญิงและข้ายังครอบครองปราณหยินบริสุทธิ์อีกด้วย ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าจะถูกบังคับให้ต้องร่อนเร่ไปทั่วอยู่เรื่อยๆ โดดเดี่ยวอยู่บนแผ่นดินต่างถิ่น ไม่สามารถกลับบ้านเกิดของข้าได้ตลอดชีวิตได้อย่างไร”

 

 

“ในฐานะผู้หญิง การเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียนนั้นยากเข็ญยิ่งนัก ข้ายอมรับว่าความสามารถแต่กำเนิดของข้านั้นโดดเด่นและความฉลาดของข้าก็ไม่แพ้ใครในกลุ่มของข้า แต่อย่างไรก็ตาม เพราะปราณหยินบริสุทธิ์ที่ร่างกายข้ามี ข้าถูกมองว่าเป็นเพียงร่างเตาหลอมเท่านั้น ข้าพยายามหาเหตุผลอย่างรอบคอบ เพราะเส้นทางแห่งการฝึกตนนั้นปกครองด้วยพวกผู้ชาย เมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีใครสามารถเห็นภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจความสามารถของพวกผู้หญิง”

 

 

การยอมรับนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่สั่งสมมาเพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า ทำให้โม่เทียนเกอที่อ่านมันยังต้องถอนใจไปด้วย พูดตามตรง ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าความสามารถของนางยอดเยี่ยมและความฉลาดของนางก็ไม่น่าดูถูก แต่เทียบกับโม่เหยาชิง โม่เทียนเกอทำได้เพียงรู้สึกชื่นชมและเคารพนางเท่านั้น มีหลายสิ่งมากมายในหยกบันทึกนี้ที่นางต้องศึกษา ความสามารถปัจจุบันของนางไม่อาจเทียบกับโม่เหยาชิงได้เลย

 

 

ไม่ว่าจะเป็นโม่เหยาชิงหรือนักเดินทางจื้อเวย ทั้งคู่ทำให้นางตระหนักว่ามีอัจฉริยะอย่างพวกเขาอยู่ในโลกใบนี้จริงๆ ถนนที่นางต้องเดินยังคงอีกยาวไกล ดังนั้นนางต้องไม่ชะล่าใจเด็ดขาด

 

 

ส่วนหลังของบันทึกส่วนตัวนี้ยังประกอบไปด้วยเรื่องส่วนตัวของโม่เหยาชิงบางส่วน

 

 

“ในอวิ๋นจง ข้าได้พบกับผู้ฝึกตนชายชื่อจงมู่หลิงผู้ที่มีร่างกายเป็นกลางบริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่ยากจะพบเจอยิ่งกว่าคือการที่เขายังคงสงวนไว้ซึ่งนิสัยที่บริสุทธิ์และจิตใจดี เป็นมิตรที่น่าคบหาโดยแท้”

 

 

“เจอผู้ชายที่มีร่างปราณหยางบริสุทธิ์ คู่ที่เข้ากันได้ดี อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้มีนิสัยหยิ่งยโส ข้าไม่ชอบเขา เพราะฉะนั้นนั่นจึงเป็นทั้งหมดของเรื่องนี้”

 

 

ยังมีบันทึกไว้อีกว่า “การสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าไม่สามารถล่าช้าไปได้อีกแล้ว ข้าร้อนใจเป็นที่สุด ศัตรูของข้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ถ้าข้าไม่ทำการบรรลุผ่านดินแดนเร็วๆ นี้ คงยากที่จะรักษาชีวิตข้าเอาไว้ได้ หลังจากใคร่ครวญอยู่หลายวัน ในที่สุดข้าก็มีแผน แผนนี้เป็นการตัดสินใจที่ไม่ดีนัก เมื่อข้าทำจนสำเร็จ ข้าคงจะอับอายเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับจงมู่หลิงได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ข้าไม่สามารถหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้สำหรับตอนนี้”

 

 

ผู้ชายที่นางพูดถึงก่อนหน้านี้น่าจะเป็นหยวนเป่า แต่จากน้ำเสียงของนาง ดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว คาดว่าอัจฉริยะอย่างโม่เหยาชิงก็เป็นคนที่ทะนงตนซึ่งไม่ได้คิดมากถึงเส้นทางการฝึกตนร่วมสัมพันธ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แผนอะไรที่จะทำให้นางอับอายเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับจงมู่หลิงอย่างนั้นหรือ

 

 

ขณะที่นางอ่านต่อไป ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจ

 

 

“ตามเหตุผล การฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับใครสักคนที่มีร่างปราณหยางบริสุทธิ์จะนำมาซึ่งประโยชน์พิเศษอีกมาก แต่ข้าไม่ชอบนักพรตหยวนเป่าผู้นั้นจริงๆ ในทางกลับกัน จงมู่หลิงมีนิสัยที่จริงใจ ข้าชอบเขามาก อีกอย่าง เขายังมีร่างกายเป็นกลางบริสุทธิ์ด้วย ถึงแม้การฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับคนที่มีร่างกายเป็นกลางบริสุทธิ์จะไม่ดีเท่าฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับคนที่มีร่างปราณหยางบริสุทธิ์ แต่มันก็ไม่แย่เช่นกัน ข้ามีมิตรภาพที่ดีกับจงมู่หลิง แต่มันก็ยากมากสำหรับข้าที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับเขา เพราะฉะนั้น ข้าแค่ใช้กระดิ่งข่มวิญญาณเพื่อทำให้เขาหลงเสน่ห์ จากนั้นจึงทำให้ข้าได้ฝึกตนร่วมสัมพันธ์จนเสร็จสิ้น…”

 

 

พอถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอก็ตกตะลึงถึงที่สุด กลายเป็นว่าจงมู่หลิงถูกทำเสน่ห์ใส่ บรรพบุรุษคนนี้ของนาง… ความฉลาดของนางไม่เพียงแต่จะไม่แพ้ผู้ชายแล้ว แต่แม้กระทั่งวิธีการทำสิ่งต่างๆ และความกล้าของนางก็ยังเทียบเท่ากับผู้ชายด้วย!

 

 

ในทางหนึ่งโม่เทียนเกอก็ชื่นชมโม่เหยาชิง แต่ในทางกลับกัน นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรมสักเท่าไหร่ จงมู่หลิงจะยินยอมได้อย่างไร

 

 

“จงมู่หลิงไม่ใช่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหว และครั้งนี้การกระทำของข้าก็ช่างน่าอับอายจริงๆ ดังนั้นข้าคิดว่าเขาจะต้องตัดขาดมิตรภาพของเราแน่เมื่อเขาตื่นขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าต้องประหลาดใจ ถึงแม้ว่าจงมู่หลิงจะไม่พอใจกับเรื่องนั้น แต่เขาก็ไม่ต่อต้านข้า เขาพูดว่าความเมตตาที่เขาติดค้างข้าอยู่แต่ก่อนบัดนี้ถูกตอบแทนแล้วด้วยเรื่องนี้ ข้าละอายใจ ข้าคิดอยู่นานและสุดท้ายจึงตัดสินใจออกจากอวิ๋นจง…”

 

 

หลังจากนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับการมาถึงในหลินไห่ของนาง การตั้งม่านพลังเคลื่อนย้าย การช่วยเหลือกลุ่มผู้หญิงที่ถูกใช้เป็นร่างเตาหลอมในคุนอู๋ การก่อตั้งสภาปี้เซวียน การยอมรับชื่อปี้สุ่ยหยวนจวิน…

 

 

โม่เทียนเกอพบบันทึกที่ยุ่งเหยิงบางส่วนสอดแทรกอยู่ระหว่างนั้น “หนึ่งคืนของความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเกิดเป็นการตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิด ข้ากำลังฝึกตนอย่างเต็มที่เพื่อกลายเป็นเซียน ดังนั้นข้าไม่ควรเก็บเขาไว้ อย่างไรก็ตาม หัวใจข้าไม่อาจทนทำได้ลง ด้วยเห็นแก่พ่อของเขา ในที่สุดข้าก็ได้ให้กำเนิดเขาขึ้น โชคร้ายที่เด็กคนนี้ไม่ได้มีรากวิญญาณ เราโชคร้ายที่ต้องแยกจากกันในชีวิตนี้ ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงทิ้งเขาไว้ในโลกมนุษย์…”

 

 

มีบันทึกอื่นๆ อีกมากอยู่ระหว่างนั้น ในภายหลังโม่เทียนเกอเจออีกย่อหน้าหนึ่งข้างใต้ “ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ข้าไม่มีเวลาเหลืออีกมากนักในอายุขัยของข้า ไม่มีหวังแล้วในการก้าวหน้า ส่วนเรื่องเด็กที่ข้าให้กำเนิด หลังจากหลายร้อยปี ข้ามีทายาทมากมาย แต่มีแค่ไม่กี่คนที่มีรากวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น รากวิญญาณของพวกเขาล้วนเป็นรากวิญญาณสูญเปล่าทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เหมาะที่จะเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน บางคนในหมู่พวกเขามีปราณหยินบริสุทธิ์แต่ไม่มีรากวิญญาณ บัดนี้ความตายของข้ากำลังใกล้เข้ามา ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์จะต้องสูญสิ้นไปในท้ายที่สุด ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงต้องเดินทางไปที่โลกมนุษย์และทิ้งเส้นใยจิตสัมผัสปิดผนึกของข้าไว้ท่ามกลางทายาทของข้า หากคนหนึ่งในนั้นมีปราณหยินบริสุทธิ์ในอนาคต ข้าก็อาจส่งต่อศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ได้…”