ตอนที่ 216-1 ตำราอาวุธเวท

ลำนำสตรียอดเซียน

เมื่อโม่เทียนเกออ่านทุกสิ่งที่ถูกบันทึกไว้จนหมด ความรู้สึกของนางก็ถูกแบ่งออกระหว่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บรรพบุรุษของนางผู้นี้… ไม่เพียงแต่ความฉลาดเฉลียวและการกระทำของนางจะไม่ด้อยกว่าผู้ชายเหล่านั้น แต่แม้กระทั่งวิธีที่นางจัดการเรื่องต่างๆ ยังแสดงให้เห็นว่าเฉียบขาดในการตัดสินใจมากกว่าผู้ชายมาก 

 

 

นางระลึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิง ในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเขาพูดคุยกัน จงมู่หลิงมักจะสวงนท่าทีและวางตัวจริงจัง แต่กลับกลายเป็นว่า อารมณ์ของเขาก่อนหน้าเป็นเช่นนี้ ท่าทีของเขาถูกโม่เหยาชิงบดบังจนหมดสิ้น! แม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เขาก็ถูกวางแผนต่อต้าน… 

 

 

ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างโม่เหยาชิงกับจงมู่หลิง กลายเป็นว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาของการมีอยู่แห่งตระกูลโม่นั้นกลับมีต้นกำเนิดเช่นนี้… 

 

 

หลังจากที่ผนึกจิตสัมผัสของนางในโถงบรรพบุรุษของตระกูลโม่ โม่เหยาชิงก็กลับมาที่หลินไห่ที่ซึ่งนางได้ทิ้งคำสั่งเสียไว้ มอบหมายความรับผิดชอบให้แก่คนรุ่นหลังของสภาปี้เซวียนในการดูแลผู้สืบทอดของนาง อย่างไรก็ตาม เมื่อครั้งนางยังอยู่หมู่บ้านตระกูลโม่ โม่เทียนเกอไม่เห็นว่าจะมีศิษย์จากสภาปี้เซวียนถูกส่งมา บางทีสภาปี้เซวียนไม่สามารถพบใครที่นั่นที่มีรากวิญญาณซึ่งสามารถรับเข้ากลุ่มได้ ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมา ผู้สืบทอดรุ่นหลังๆ คงไม่ได้ยึดถือเรื่องนี้จริงจังนัก หรือบางทีพวกเขาอาจจะมาทุกยี่สิบหรือสามสิบปีครั้งหรืออาจจะนานกว่านั้น ตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอเกิดจนถึงจากมา นางอยู่ที่หมูบ้านตระกูลโม่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ สิบปีเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่เคยเจอกับพวกเขา 

 

 

ในจุดนั้นโม่เทียนเกอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากถอนใจ นางมีพ่อเป็นผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง บรรพบุรุษชายผู้ซึ่งบังเอิญแวะไปที่แคว้นจิ้นเพื่อตรวจดูทายาทของเขา และบรรพบุรุษหญิงผู้ซึ่งบอกศิษย์น้องของนางให้ดูแลทายาทของนาง แต่นางก็ยังทรมานอยู่กับเส้นทางแห่งเซียนอย่างแสนสาหัส นางพูดได้เพียงแค่ว่านางไม่ได้โชคดีนัก 

 

 

แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง หากไม่มีการเดินทางไปทั่วเป็นสิบปีและเผชิญกับความยากลำบาก บางทีนางอาจจะไม่ได้พัฒนาอารมณ์ของนางให้เป็นอย่างปัจจุบัน บางทีนางอาจกลายเป็นคนที่พึงพอใจและหยิ่งยโสเหมือนหวาอี้หลิน หรือบางทีนางอาจจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอและขี้ขลาดเหมือนถังเซิ่นก็เป็นได้ 

 

 

ความทุกข์ทรมานนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำ แต่บางครั้งนางก็ต้องรู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องต่างๆ ที่ความทุกข์นั้นนำมาให้นาง ยกตัวอย่างเช่น มันได้มอบหัวใจอันหนักแน่นและความรู้ที่กว้างขวางแก่นาง 

 

 

ขณะที่เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของโม่เหยาชิง โม่เทียนเกอก็เริ่มศึกษาเรื่องจิปาถะที่นางบันทึกไว้ เมื่อพูดถึงม่านพลัง การแลกเปลี่ยนความรู้จากบันทึกของโม่เหยาชิงกับหนังสือม่านพลังเสวียนจีนั้นช่วยให้โม่เทียนเกอพัฒนาอย่างมาก มันเป็นเรื่องที่ต้องรู้กันว่าถึงแม้จะมีหนังสือมากมายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่ส่วนมากก็จะเต็มไปด้วยข้อมูลที่เหนือกว่าดินแดนปัจจุบันของนาง ดังนั้นนางจึงเข้าใจไม่ได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นสภาวะแวดล้อมของยุคอดีตอันไกลโพ้นก็ไม่เหมือนกับในปัจจุบันและไม่สามารถเลียนแบบได้ หนังสือม่านพลังเสวียนจีและบันทึกของโม่เหยาชิงนั้นเหมาะสมและสมบูรณ์ในการที่จะแทนที่จุดอ่อนข้อนี้ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น โม่เทียนเกอยังเจออีกว่าในบันทึกของโม่เหยาชิงมีประโยคนี้บันทึกไว้อยู่ 

 

 

“อาวุธเวทคือสมบัติที่มีพลังเหนือธรรมชาติ การฝึกตนมีอิทธิพลต่อการข้ามผ่านดินแดนของผู้ฝึกตน แต่อาวุธเวทนั้นบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งขั้นสุดของพลังการต่อสู้ สำหรับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง โดยทั่วไปแล้ว ความแข็งแกร่งของอาวุธเวทโดยกำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสามารถในการต่อสู้ด้วยพลังเวท”  

 

 

อาวุธเวทโดยกำเนิดนั้นสามารถชำระล้างได้โดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเหนือกว่านั้น พวกเขาจำเป็นต้องประสานการสกัดเลือดต้นกำเนิด ชำระล้างพวกมันภายในตานเถียนของพวกเขาหลังจากนั้นจึงหล่อเลี้ยงด้วยเลือดสกัดของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง เวลาที่ล่วงเลยผ่านไป อาวุธเวทโดยกำเนิดของพวกเขาอาจกลายเป็นพลังจิตได้ด้วย หรือพูดสั้นๆ ก็คือ อาวุธเวทโดยกำเนิดนั้นเป็นอาวุธเวทซึ่งการเติบโตของมันนั้นจะผูกติดอยู่กับผู้ฝึกตนที่เป็นเจ้านาย ยิ่งหล่อเลี้ยงไปนานมากขึ้นเท่าไหร่ พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ถ้าอาวุธเวทโดยกำเนิดนั้นเสียหาย ผู้ฝึกตนก็จะได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน 

 

 

“ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางไปทั่ว จากอวิ๋นจงไปยังขั้วแห่งท้องฟ้า ข้าจำไม่ได้แล้วว่าจำนวนของเหล่าคู่ต่อสู้ที่ข้าสู้ หรือแม้กระทั่งจำนวนของอาวุธเวทที่ข้าพบมีมากมายเท่าไหร่ แต่เพราะเหตุนั้น ข้าถึงคิดอาวุธเวทมากมายหลายประเภทขึ้นมาได้เพื่อให้ศิษย์รุ่นหลังสามารถเลือกให้เป็นอาวุธเวทโดยกำเนิดของพวกเขาได้…”  

 

 

โม่เทียนเกออ่านต่อด้วยความตื่นเต้น 

 

 

“ก่อนหน้านี้ที่ศาลาสมบัติสวรรค์ในอวิ๋นจง ข้าเห็นบันทึกของตำนานโบราณมากมาย ในตำราเหล่านั้น มันได้กล่าวว่ามารดาผู้สร้างนั้นมีอาวุธเวทที่เรียกว่าแผนที่แห่งแคว้นขุนเขาและสายน้ำ แผนที่นี้ความจริงแล้วเป็นม่านพลังเวทขนาดใหญ่ หากใครติดอยู่ด้านในจะรู้สึกเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่นั้นเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์นับไม่ถ้วน ภูเขาจะปรากฏขึ้นเมื่อนึกถึงภูเขา สายน้ำจะแสดงออกมาเมื่อคำนึงถึงสายน้ำ อดีตจะแสดงออกมาเมื่อคิดถึงอดีต และอนาคตก็จะปรากฏเมื่อนึกถึงอนาคต ข้าคิดมาเป็นเวลานานก่อนในที่สุดข้าจะคิดแนวคิดของอาวุธเวทหลายประเภทขึ้นมาได้ ในตอนนี้ข้าสามารถทดลองมันได้ทีละชิ้นๆ …”  

 

 

อาวุธเวทสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทคือ ฆ่า ป้องกัน ทำให้สับสน กับดัก และส่งเสริม ประเภทฆ่านั้นใช้สำหรับการโจมตี ประเภทป้องกันใช้สำหรับป้องกัน ประเภททำให้สับสนนั้นทำให้ศัตรูสูญเสียปัญญาของพวกเขา และประเภทกับดักนั้นใช้ม่านพลังเป็นกฎ ในขณะที่ประเภทส่งเสริมนั้นไม่ว่าจะเป็นการทำลายม่านพลังหรือการชำระล้างจิตใจก็ต่างช่วยส่งเสริมในตัวของมันเอง 

 

 

ระหว่างสิ่งของที่โม่เทียนเกอครอบครองอยู่ในปัจจุบันนี้ กระสวยอัปสราเป็นเครื่องมือเวทสำหรับโจมตีและถึงแม้ว่ามันจะสามารถใช้ในการวางม่านพลังได้ แต่ตัวของมันเองนั้นแท้จริงแล้วเป็นม่านพลังสังหาร ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเป็นอาวุธเวทประเภทป้องกัน ตะเกียงเสน่ห์ ถึงแม้จะมีคำว่า “เสน่ห์” ในชื่อ แต่มันตกอยู่ในประเภทกับดัก ในขณะที่รองเท้าย่ำเมฆาและจี้ซ่อนวิญญาณนั้นต่างพิจารณาว่าเป็นประเภทส่งเสริม 

 

 

จากการคาดคะเนของโม่เทียนเกอ แผนที่แห่งแคว้นขุนเขาและสายน้ำที่โม่เหยาชิงกล่าวถึงนี้น่าจะเป็นการผสมผสานของอาวุธเวทประเภทกับดักและทำให้สับสน และยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีผลในเรื่องของการฆ่าอีกด้วย อาวุธเวทประเภทนี้เป็นสิ่งที่ยากในการป้องกันที่สุดเพราะมันจะเข้าโจมตีในจุดที่อ่อนแอที่สุดของจิตใจคน อาวุธเวททำให้สับสนที่ยอดเยี่ยมสามารถทำให้คนติดเข้าไปในกับดักได้โดยไม่รู้ตัว ถ้ามันทำงานอย่างที่โม่เหยาชิงกล่าวไว้จริง แสดงภาพภูเขาให้เห็นถ้าคนนึกถึงภูเขาและสายน้ำถ้าคนนึกถึงสายน้ำ ถ้าเช่นนั้นคนผู้นั้นจะต้องใช้อำนาจจิตที่แน่วแน่อย่างมากในการที่จะทำลายมันออกมา อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งสภาวะจิตของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ยังไม่ได้ไร้ที่ติขนาดนั้นเช่นกัน 

 

 

“แผ่นแห่งห้าธาตุ แผ่นนี้คือแผ่นม่านพลังที่สามารถเพิ่มขนาดได้ในทันที วิถีม่านพลังที่สลักในนั้นคือ… จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของมันก็คือมันไม่ต้องการพลังวิญญาณมากนักในการใช้ จุดอ่อนของมันคือมันไม่ค่อยมีประโยชน์เมื่อใช้กับคนที่เชี่ยวชาญทางด้านพลัง”  

 

 

“หมากรุกสีขาวดำแห่งความเป็นตาย นี่เป็นสิ่งที่เหมือนกับหมากรุก หากคนเดินหมากผิดไปก้าวเดียว พวกเขาอาจถูกฆ่าได้ วัตถุที่ต้องใช้นั้นราคาสูงมาก วิธีการในการสร้างมันเป็นดังนี้… น่าเสียดาย การส่งผลต่อจิตของมันไม่รุนแรงมากนัก ห่างไกลจากการสร้างสิ่งใดก็ตามที่ผู้คนจะคิดขึ้นมาได้”  

 

 

“พัดแห่งสวรรค์และโลกา ภาพทิวทัศน์ที่วาดลงบนพัดคือม่านพลัง มันถูกสร้างด้วยวิธีนี้… หากสิ่งนี้สามารถทำได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งนั้นจะน่าเกรงขามยิ่งนัก น่าเสียดาย วัตถุที่จำเป็นต้องใช้นั้นยากจะหาพบ”  

 

 

สายตาโม่เทียนเกอมาอยู่ที่คำอธิบายของพัดแห่งสวรรค์และโลกา วัตถุหลักนั้นเขียนออกมาอย่างเรียบง่าย นั่นคือกระดูกของสัตว์วิเศษระดับแปดหรือสูงกว่าเพื่อเป็นมือจับ หินโมราที่เก่าแก่กว่าพันปี จะดีที่สุดถ้ามีกระดูกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ยิ่งหินโมราเก่าแก่มากเท่าไหร่ ผลที่ได้จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น และภาพวาดบนพัดให้ใช้ผิวของหินจันทราเวทมนตร์เป็นน้ำหมึก… 

 

 

นางรีบอ่านทวนอีกรอบ ถูกต้องแล้ว! ที่เขียนอย่างชัดเจนในส่วนของวัตถุนั้นล้วนเป็นสิ่งที่นางบังเอิญมีอยู่ นั่นคือกระดูกเทพมังกรและหินจันทราเวทมนตร์!