โม่เทียนเกอไม่ได้คิดมากนักเกี่ยวกับอาวุธเวทต้นกำเนิดก่อนหน้านี้ นางมีอาจารย์ขั้นกลางของระดับจิตวิญญาณใหม่ หลังจากที่นางก่อแก่นขุมพลัง นางจะต้องได้ตำราเกี่ยวกับอาวุธเวทจำนวนมากจากอาจารย์ของนาง และเมื่อถึงเวลานั้น นางก็เพียงแค่ต้องเลือกมาหนึ่งอย่าง อย่างไรก็ตาม ถ้าพัดแห่งสวรรค์และโลกานั้นส่งผลอย่างที่โม่เหยาชิงอธิบายได้จริง นั่นก็หมายความว่ามันสามารถเป็นอาวุธเวทที่สุดยอดได้เลย!
โดยทั่วไปแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะความสามารถของพวกเขาอาจจำกัด และเครื่องมือสำหรับอาวุธเวทระดับกลางหรือสูงกว่านั้นหาได้ยาก อาวุธเวทต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังจึงไม่ค่อยดีนัก อย่างไรก็ตาม อาวุธเวทต้นกำเนิดนั้นสำคัญเกินไป ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนเต็มใจที่จะรอจนกว่าพวกเขาจะอยู่ในขั้นกลางหรือขั้นสุดท้ายหรือแม้กระทั่งดินแดนจิตวิญญาณใหม่เพื่อชำระล้างพวกมัน เพราะเมื่อเทียบกับอาวุธเวทธรรมดาทั่วไป อาวุธเวทต้นกำเนิดนั้นยังดีกว่าต่อให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าไปหนึ่งระดับ ดังนั้น ผู้ฝึกตนจึงมักจะชำระล้างอาวุธเวทต้นกำเนิดทั่วไปเมื่อพวกเขาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง จากนั้นพวกเขาก็จะหล่อเลี้ยงมันด้วยเลือดสกัดในอีกหลายปีต่อมา ด้วยเวลาที่ผ่านไป อาวุธเวทของพวกเขาก็จะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หากอาวุธเวทต้นกำเนิดนั้นเยี่ยมยอดอยู่แล้วตั้งแต่ที่ถูกชำระล้าง จุดเริ่มต้นของนางก็จะสูงกว่าคนอื่น ในอนาคต อาวุธเวทต้นกำเนิดนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางเองก็เชี่ยวชาญเกี่ยวกับม่านพลัง ถ้านางสามารถใช้ม่านพลังเป็นอาวุธเวทของนางได้ นั่นก็จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็มองหาเว่ยเฮ่าหลานผู้ซึ่งกำลังศึกษาบันทึกโบราณอยู่
“ท่านเจ้าสำนักเว่ย ท่านมีเวลาสักครู่ไหม”
เว่ยเฮ่าหลานเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่และถามด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรหรือสหายนักพรตเยี่ย”
โม่เทียนเกอพูด “ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากถามท่าน”
เว่ยเฮ่าหลานมองไปทางด้านข้างที่ซย่าชิงผู้ซึ่งกำลังปรุงยาวิเศษอยู่ เช่นเดียวกับถังเซิ่นผู้ซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน หลังจากนั้นนางจึงพูด “หากเป็นเช่นนั้น เราลงไปชั้นล่างกันเถอะ”
“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้า พูดโดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนต้องไม่ถูกรบกวนเมื่อพวกเขากำลังปรุงยาหรือฝึกตน อย่างไรก็ตาม เพราะผู้อาวุโสทั้งสองคนกังวลว่ามันจะเป็นเรื่องยากลำบากถ้าไม่มีใครคอยดูแลพวกเขาเมื่อเกิดสิ่งที่ผิดปกติขึ้น พวกนางจึงปล่อยให้ทั้งสี่คนฝึกตนอยู่บนชั้นเดียวกัน โดยปกติแล้วทั้งสี่คนจะจัดการเรื่องของตัวเองไปคนเดียวและไม่เคยรบกวนคนอื่นๆ
เมื่อทั้งสองคนลงมาถึงที่ชั้นสอง พวกนางเจอเสื่อสวดมนต์อยู่สองผืนและนั่งลงบนนั้น หลังจากนั้นโม่เทียนเกอจึงยกหยกบันทึกในมือนางขึ้นมา “ท่านเจ้าสำนักเว่ย ขออภัยที่ข้าต้องถาม แต่เคยมีใครลองชำระล้างอาวุธเวทในบันทึกของผู้ก่อตั้งบ้างหรือไม่”
เว่ยเฮ่าหลานหยิบหยกบันทึกและสอดแทรกจิตสัมผัสของนางเข้าไป ครู่ต่อมานางก็พูดขึ้น “เป็นเวลาหลายรุ่น มีเพียงแค่ผู้อาวุโสของกลุ่มและเจ้าสำนักที่สามารถศึกษาบันทึกส่วนตัวของผู้ก่อตั้งสูงสุดได้เท่านั้น และบางคนได้ลองพยายามที่จะสร้างอาวุธเวทและยาวิเศษที่อธิบายอยู่ในนั้น ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็ก ผู้อาวุโสการก่อเกิดแก่นขุมพลังในเวลานั้นพยายามที่จะชำระล้างน้ำเต้าม่วงทอง ถึงแม้ว่ามันจะล้มเหลว ความพยายามนั้นก็พิสูจน์ว่าการชำระล้างอาวุธเวทนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วสิ่งนี้ล่ะ” โม่เทียนเกอถาม “พัดแห่งสวรรค์และโลกานี้ เคยมีใครลองชำระล้างมันดูบ้างหรือยัง”
เว่ยเฮ่าหลานดูคำอธิบายของสิ่งที่โม่เทียนเกอพูดถึงหลังจากนั้นจึงส่ายหน้า “สหายนักพรตเยี่ย พัดแห่งสวรรค์และโลกานี้ต้องใช้กระดูกของสัตว์วิเศษในระดับแปดหรือมากกว่านั้น เรามีเพียงแค่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนเดียวในสภาปี้เซวียนของเราหลังจากผู้ก่อตั้ง แล้วเราจะสามารถครอบครองสิ่งของเช่นนั้นได้อย่างไร”
“…” นี่ก็… มีเหตุผล
“ไม่ต้องพูดถึงกระดูกของสัตว์วิเศษระดับแปดเลย แต่แม้กระทั่งหินโมราอายุกว่าพันปีก็ยังหายาก ถึงแม้ว่าพวกมันอาจจะปรากฏอยู่ที่ตลาดการค้าขายโดยบังเอิญ แต่พวกมันก็มีราคาสูงถึงกว่าหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณเป็นขั้นต่ำ ยังคงมีหินฉีอวิ๋นหรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ซึ่งพวกข้าไม่ได้คุ้นเคย จากการคาดเดาของข้า เครื่องมือที่ต้องใช้สำหรับอาวุธเวทนี้น่าจะตกอยู่ที่ราคาประมาณหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณเป็นอย่างต่ำ ซึ่งจะต้องรวมถึงโชคดีและความแข็งแกร่งพอประมาณทีเดียว” เมื่อนางพูดมาถึงจุดนี้ เว่ยเฮ่าหลานส่ายหน้าพร้อมถอนใจ “ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าพวกเราไม่สามารถได้เครื่องมือเหล่านั้นมา แต่ถึงแม้ถ้าพวกเราทำได้ พวกเราก็ไม่มีทางที่จะชำระล้างอาวุธเวทที่พวกเราไม่มั่นใจว่าจะสามารถชำระล้างได้สำเร็จหรือไม่เช่นกัน พวกเราขาดสิ่งต่างๆ มากเกินไปที่จะทำเช่นนั้นได้”
“เช่นนั้นเอง…” โม่เทียนเกอค่อนข้างผิดหวัง ถ้าสภาปี้เซวียนเคยชำระล้างอาวุธเวทเหล่านี้ นางก็จะชำระล้างมันเหมือนกันและดูว่ามีชิ้นไหนที่เหมาะกับนางบ้าง ถ้ามี นางจะใช้สิ่งนั้นเป็นอาวุธเวทต้นกำเนิดของนาง อย่างไรก็ตาม พัดแห่งสวรรค์และโลกานี้แข็งแกร่งเกินไป มันสามารถทำได้ทั้งให้ติดกับ ทำให้สับสน และฆ่า คงยากมากที่จะสามารถหาอาวุธเวทที่แข็งแกร่งกว่าอันนี้ได้
“สหายนักพรตเยี่ย ท่านอยากชำระล้างสิ่งนี้หรือ” เว่ยเฮ่าหลานถาม
โม่เทียนเกอพยักหน้าหลังจากนั้นจึงส่ายหน้า “หลังจากที่ข้ากลับไปครั้งนี้ ข้าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อพยายามก่อขุมพลังของข้า ถ้าข้าทำสำเร็จ อย่างแรกที่ข้าต้องการจะทำคือการชำระล้างอาวุธเวทต้นกำเนิด ตอนแรกข้ารู้สึกว่าอาวุธเวทนี้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นข้าจึงมองว่าเป็นหนึ่งในทางเลือก แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจำเป็นต้องชำระล้างมัน”
เว่ยเฮ่าหลานพูด “ถ้ามันเป็นของสหายนักพรตเยี่ย ข้าเชื่อว่าการชำระล้างมันคงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าพวกข้า โรงเรียนของท่านเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ใหญ่ ทั้งข้อมูลและวัตถุดิบที่ท่านมีล้วนมีมากมายกว่าพวกข้านัก ยิ่งไปกว่านั้น สถานะอาจารย์ของท่านก็ยังสูง ดังนั้นถ้าท่านขาดเหลือสิ่งใด ท่านก็สามารถสั่งให้ศิษย์ในโรงเรียนของท่านค่อยๆ ตามหามันก็ยังได้”
“ก็คงเป็นเช่นนั้น แต่มันก็น่าจะต้องมีราคามากเช่นกัน วัตถุที่ต้องการนั้นก็หายากเกินไป… ข้าจะลองพิจารณาถึงมันอีกครั้ง หลังจากที่ข้ากลับไปที่โรงเรียน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับอาจารย์ของข้าก่อนแล้วถามท่านว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่”
เมื่อนางได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด เว่ยเฮ่าหลานแสดงท่าทางขึงขังขึ้นมาในทันที “สหายนักพรตเยี่ย ตอนนี้ท่านเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียนของเรา ดังนั้นท่านจึงสามารถอ่านบันทึกส่วนตัวนี้ได้ อย่างไรก็ตาม มันมีความลับของสภาปี้เซวียนบางอย่างอยู่ในนั้น ข้าหวังว่าท่านจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้กับคนอื่น”
โม่เทียนเกอตอบ “ขอให้ท่านจงวางใจ ท่านเจ้าสำนักเว่ย ข้าจะไม่นำบันทึกส่วนตัวนี้ออกไป ข้าเพียงแค่จะแสดงตำราของอาวุธเวทนี้ให้กับอาจารย์ของข้าเท่านั้น เพื่อที่เขาจะได้ประเมินมันได้”
ถึงแม้ว่าเว่ยเฮ่าหลานจะดูขัดแย้งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็พยักหน้า “ตกลง” ในสภาปี้เซวียน ตำราของอาวุธเวทนี้ถูกวางอยู่เฉยๆ อยู่ดี ไม่มีใครที่จะถือครองหรือชำระล้างมัน
โม่เทียนเกอยิ้ม หลังจากนั้นจึงถามอีกหนึ่งคำถาม “ท่านเจ้าสำนักเว่ย อาการบาดเจ็บของท่านเป็นเช่นไรบ้างแล้วตอนนี้”
เว่ยเฮ่าหลานพูด “ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของข้าจะถูกปกป้องไว้ได้ แต่บาดแผลที่ตานเถียนของข้านั้นสาหัสเกินไป ดังนั้นข้าจึงต้องจัดการอย่างช้าๆ แม้กระทั่งการที่จะต้องฟื้นพลังตัวเอง” ในจุดนี้ เว่ยเฮ่าหลานถอนใจ “ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้อาวุโสทั้งสองยังคงต้องใช้เวลาในการฝึกวิชาลับอีกนาน ดังนั้นข้าเองก็สามารถค่อยๆ ใช้เวลาในการฟื้นฟู สหายนักพรตเยี่ย แล้วท่านล่ะ ท่านดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
เว่ยเฮ่าหลานเป็นห่วงกับอาการของโม่เทียนเกออย่างมาก โม่เทียนเกอรู้ว่าตอนนี้นางเป็นผู้อาวุโสรับเชิญแล้ว และทั้งผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวคงบอกเว่ยเฮ่าหลานไปแล้วว่าพวกนางต้องการความช่วยเหลือจากนางในการสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเว่ยเฮ่าหลานจึงค่อนข้างเป็นห่วงนางนัก
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การที่มีใครสักคนเป็นห่วงท่าน มันก็เป็นรูปแบบของความปรารถนาดีเสมอ
“ตอนนี้ข้าดีขึ้นแล้ว” โม่เทียนเกอตอบ “พลังมรณะที่แทรกเข้ามาในตัวข้าไม่ได้มากนัก ดังนั้นมันจึงไม่ได้ทำร้ายฐานแห่งพลังของข้า ทว่าไฟตานเถียนแท้ของพวกเราผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นยังคงอ่อนแอเกินไปที่จะขจัดพลังมรณะนี้ ข้าคิดว่าข้าคงต้องใช้เวลาเจ็ดถึงสิบปีถึงจะสลายมันออกไปได้หมด”
เว่ยเฮ่าหลานนิ่งเงียบไประยะหนึ่งก่อนที่ในที่สุดนางจะพูดออกมา “หากเป็นเช่นนั้น ให้ศิษย์น้องซย่าปรุงยาวิเศษเพิ่มให้แก่ท่าน บางทีท่านอาจจะสามารถสลายมันออกไปได้เร็วขึ้นด้วยวิธีนั้น”
โม่เทียนเกอส่ายหัว “ข้าไม่ได้ขาดแคลนยาวิเศษ ท่านเจ้าสำนักเว่ยอย่าได้กังวลไป” ถึงแม้ว่าเจดีย์นี้จะเก็บของสะสมของสภาปี้เซวียน สุดท้ายแล้วพืชวิญญาณที่สดใหม่ก็เป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้ในการปรุงยา ดังนั้นพวกนางไม่สามารถปรุงยาวิเศษได้มากนักตอนนี้ เนื่องจากตอนนี้นางเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียน นางก็ต้องนึกถึงสภาปี้เซวียนด้วยเช่นกัน นางไม่ต้องการแย่งยาวิเศษเหล่านี้กับเว่ยเฮ่าหลานและถังเซิ่น