ตอนที่ 217 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ลำนำสตรียอดเซียน

เนื่องจากทุกๆ วันถูกใช้ไปกับการฟื้นตัว ฝึกตน และศึกษาบันทึกที่โม่เหยาชิงทิ้งไว้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา เวลาหลายต่อหลายปีได้ผ่านไปเช่นนั้นเอง

 

 

นางสามารถทนกับความเดียวดายได้และก่อนหน้านี้นางยังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่หลายปี ตอนนี้นางหมกมุ่นกับเคล็ดลับการฝึกตนของโม่เหยาชิงเต็มที่ นางจึงไม่ได้รู้สึกทนไม่ได้ที่ต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่น ไม่ว่ากรณีใด นางก็แค่คิดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิก็ได้ อย่างไรเสียก็ไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานจะอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเป็นเวลาหลายปีจนถึงมากกว่าสิบๆ ปี

 

 

เว่ยเฮ่าหลานเองก็เหมือนกัน เวลาส่วนใหญ่ของนางถูกใช้ไปกับการฟื้นตัวและสลายพลังมรณะ บางครั้งบางคราวนางก็จะพูดคุยกับโม่เทียนเกอถึงเรื่องที่เกี่ยวกับกลุ่ม ทำให้โม่เทียนเกอเข้าใจสถานการณ์ในสภาปี้เซวียนได้ดียิ่งขึ้น

 

 

คาดว่าเว่ยเฮ่าหลานจงใจทำเช่นนี้ นางกำลังแบกความรับผิดชอบหนักหน่วงของการสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่ แต่กระนั้นนางกลับไม่สามารถแบ่งความรับผิดชอบนี้ให้กับทั้งซย่าชิงหรือถังเซิ่นได้เลย ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอเป็นคนที่ผู้อาวุโสทั้งสองมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยนางสร้างกลุ่มขึ้นมาใหม่ ดังนั้นอย่างน้อยโม่เทียนเกอจึงควรจะมีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของสภาปี้เซวียนไว้บ้าง

 

 

ซย่าชิงก็มักจะมาหาโม่เทียนเกอเพื่อปรึกษาถึงศาสตร์แห่งการปรุงยาบ้างเป็นบางครั้ง นางเป็นคนซื่อๆ ถึงแม้นางจะติดอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่นางก็ยังคงคิดถึงเรื่องการปรุงยาอยู่

 

 

สำหรับถังเซิ่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความอดทนมากพอ ระดับการฝึกตนของเขาอยู่แค่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้นและเขาก็ยังอายุน้อย คาดว่าเขาแทบจะไม่ได้ใช้เวลาไปกับการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเลยหลังจากเขาสร้างฐานแห่งพลังงานได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีความแค้นที่ต้องชำระ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าเขาต้องมุมานะ ในตอนแรกมันมักจะยากสำหรับเขาในการจดจ่อกับการฝึกตน แต่ภายหลังเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนพวกเขามากขึ้นและใช้เวลาหลายวันถึงหลายเดือนไปกับการทำสมาธิทันทีเมื่อเขานั่งลง

 

 

ส่วนเรื่องของเริ่นอวี่เฟิงผู้ที่อยู่ด้านนอกเจดีย์ บางครั้งเขาก็จะหายตัวไปเป็นเวลานาน นานเสียจนพวกเขาคิดว่าเขาหมดความอดทนไปแล้ว ทว่าจากนั้นเขาก็จะกลับมาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้ง

 

 

ตอนแรกเริ่นอวี่เฟิงยังอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการจะโอ้อวดพลังของเขาให้กับคนในเจดีย์ ทว่าพวกเขาไม่เคยสนใจเขาแม้แต่น้อย ตอนหลังเขาดูเหมือนจะเบื่อกับเรื่องนี้และกลายเป็นนกพิราบที่อาศัยอยู่ในรังของนกกางเขน เขายึดครองอารามของสภาปี้เซวียน เล่นสนุกกับการสร้างสำนัก เขาจับผู้ฝึกตนเดี่ยวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงและผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียนบางคนมาและให้พวกเขาเป็นสมาชิก โดยตั้งชื่อสำนักว่า “สำนักเทพมังกร” และคิดว่าตัวเขาเป็นเจ้าสำนัก

 

 

เพื่อปกป้องชีวิตตนเอง ผู้ฝึกตนเหล่านั้นล้วนกลายเป็นลูกกระจ๊อกที่เห็นดีเห็นงามไปเสียหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น สิ่งนี้ทำให้เริ่นอวี่เฟิงผู้ที่กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทพมังกรพึงพอใจอย่างมาก เขาเพิ่งมอบหมายงานให้ผู้ฝึกตนสองคนเพื่อเฝ้าประตูแห่งเจดีย์บรรลุเต๋าแล้วจากนั้นจึงหยุดสนใจพวกเขาไป

 

 

โม่เทียนเกอจำได้ว่าครั้งแรกที่เริ่นอวี่เฟิงรวบรวมลูกกระจ๊อกของเขาและจัดพิธีก่อตั้งสำนักที่ว่านั้นด้านนอกเจดีย์บรรลุเต๋า เว่ยเฮ่าหลานมองคนที่อยู่ด้านล่างนั้นพร้อมกับกลั้นน้ำตาเอาไว้

 

 

ในหมู่คนกลุ่มนั้น นางเห็นคนที่นางรักดูผอมแห้งหนังติดกระดูกและปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นทั่วทั้งร่างกาย พวกเขาคงจะต้องทนทุกข์กับการโดนทรมานทุกอย่างเพราะพวกเขาดูเหมือนกับศพเดินได้ไม่มีผิด

 

 

ครั้งหนึ่งโม่เทียนเกอเคยถามเว่ยเฮ่าหลานว่ามีผู้ฝึกตนสภาปี้เซวียนกี่คนที่นางคิดว่ายังมีชีวิตอยู่

 

 

เว่ยเฮ่าหลานเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่นางจะตอบ นางบอกว่าพวกเขาอาจจะยังมีคนรอดชีวิตเหลืออยู่อีกมาก แต่หลังจากโดนทรมานเช่นนั้น คนพวกนั้นอาจจะไม่เหลือความเคารพตัวเองใดๆ อีกแล้ว มันคงไม่ยากที่จะสร้างกลุ่มขึ้นอีกครั้งและเรียกศิษย์กลับมา แต่จะยากมากที่จะช่วยให้พวกเขาฟื้นความมั่นใจที่พวกเขาเคยมีในฐานะผู้ฝึกตนกลับคืน

 

 

โม่เทียนเกอไม่สามารถพูดตอบอะไรได้ ตัวนางเองไม่มีความสามารถในการจัดการใดๆ เพราะฉะนั้นกับเรื่องพวกนี้… นางจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเหลือได้เลย

 

 

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล

 

 

หลังจากสิบปี ในที่สุดโม่เทียนเกอก็สลายพลังมรณะที่เกาะกินร่างกายของนางและกลับสู่สภาพที่ดีที่สุดของนาง ดังนั้นนางจึงจดจ่ออยู่กับการฝึกตนอย่างเต็มที่อีกครั้ง

 

 

ในระหว่างช่วงเวลานี้ ม่านพลังเคลื่อนย้ายบนชั้นสี่ยังปิดอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยได้ยินข่าวจากผู้อาวุโสทั้งสองเลยแม้แต่นิดเดียว นอกเหนือจากการรอคอย ศิษย์ผู้น้อยทั้งสี่คนไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้เลย

 

 

ผ่านไปอีกห้าปี ด้วยความช่วยเหลือจากยาวิเศษของซย่าชิง ในที่สุดถังเซิ่นก็ก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ นำมาซึ่งกำลังใจเล็กๆ สู่เจดีย์บรรลุเต๋าซึ่งจมอยู่กับบรรยากาศน่าหดหู่มามากกว่าสิบปี

 

 

เพื่อให้กำลังใจทุกคน เว่ยเฮ่าหลานแนะนำว่าพวกเขาควรจะพักสักหนึ่งวันและฉลองให้กับความก้าวหน้าของถังเซิ่น

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาติดอยู่ในเจดีย์มามากกว่าสิบสองปี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจัดงานเลี้ยงหรืออะไรได้ โชคยังดีที่เว่ยเฮ่าหลานมีเหล้าองุ่นอย่างดีอยู่ในกระเป๋าเอกภพของนาง นางจึงนำมันออกมาและดื่มกับทุกคน

 

 

“ศิษย์น้องถัง นี่คือการเฉลิมฉลองให้กับเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าต้องดื่มมากกว่าคนอื่นนะวันนี้” เว่ยเฮ่าหลานกระตุ้นให้เขาดื่มเหล้าองุ่นด้วยรอยยิ้ม

 

 

ซย่าชิงที่งดเรื่องการปรุงยาไว้ชั่วคราวก็พยักหน้าเช่นกัน “ถูกต้อง! ศิษย์พี่ถัง การบรรลุผ่านดินแดนครั้งล่าสุดของท่านก็เพิ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนใช่ไหม การพัฒนาสู่ขั้นกลางได้ในเวลาน้อยกว่าสามสิบปี… ท่านยอดเยี่ยมมาก!”

 

 

รู้สึกค่อนข้างอาย ถังเซิ่นจับจมูกของเขาแล้วจึงพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเราติดอยู่ในเจดีย์แห่งนี้ซึ่งบังคับให้ข้าตั้งใจ ข้าก็คงไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นได้เร็วนัก… ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์น้องซย่ามักจะปรุงยาวิเศษสำหรับข้าเสมอ สหายนักพรตเยี่ยอธิบายความรู้เชิงลึกของนางให้กับข้า และศิษย์พี่เจ้าสำนักก็มักจะแก้ไขสิ่งผิดของข้าอยู่เสมอ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ข้าสามารถพัฒนามาได้เร็วขนาดนี้” หลังจากมากกว่าสิบปีแห่งการฝึกตนอย่างเต็มที่ ถึงแม้เขาจะยังเป็นคนขี้อาย แต่เขาก็ไม่ได้แก้มแดงง่ายเหมือนเดิมแล้วในตอนนี้ และอารมณ์ของเขาก็ยังสงบขึ้นมากด้วย

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพูดด้วยรอยยิ้ม “ความช่วยเหลือของเราจำกัดอยู่แค่นั้น ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ต้องพึ่งตัวเจ้าเองในการฝึกตน ศิษย์น้องถัง ตอนนี้เจ้ายังอายุไม่ถึงหกสิบด้วยซ้ำแต่เจ้าก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เจ้าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสภาปี้เซวียนของเรา”

 

 

ถังเซิ่นยิ้มแต่ในครู่ต่อมาสีหน้าของเขากลับสิ้นหวัง “สภาปี้เซวียน… ตอนนี้มีแค่พวกเราเหลืออยู่”

 

 

ทั้งเว่ยเฮ่าหลานและซย่าชิงต่างเงียบเมื่อได้ยินสิ่งที่ถังเซิ่นพูด ด้านนอกของเจดีย์บรรลุเต๋ามีผู้ฝึกตนผ่านไปผ่านมาบ้างบางครั้ง แต่พวกเขาไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียนเลยสักคน

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม เว่ยเฮ่าหลานฝืนตัวเองให้ยิ้มแล้วจึงพูดว่า “เราจะกลัวอะไรเล่า เมื่อท่านผู้อาวุโสทั้งสองออกจากการเข้าฌานและฆ่ามารผู้ฝึกตนคนนั้น เราก็จะสามารถสร้างกลุ่มขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งเป็นธรรมดา อีกอย่าง ยังมีศิษย์ดั้งเดิมเหลืออยู่ค่อนข้างมาก เมื่อถึงเวลานั้นเราก็แค่เรียกพวกเขากลับมา”

 

 

ถังเซิ่นก็รู้ตัวว่าเขาไม่ควรยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ดังนั้นเขาจึงยิ้มและตามน้ำไปกับสิ่งที่เว่ยเฮ่าหลานพูด “ใช่ ใช่! สิ่งที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักพูดนั้นถูกต้อง เราสามารถสร้างกลุ่มขึ้นมาใหม่ได้หลังจากเราออกไปแล้ว มาเถิด มาดื่มกัน”

 

 

นาทีที่เขาพูดจบ ถังเซิ่นเทเหล้าองุ่นทั้งหมดในถ้วยของเขาเข้าปากทันที ใครจะไปคิดว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นคนที่ทนของมึนเมาไม่ได้เลยสักนิด! นอกจากนี้ เหล้าองุ่นนี้ก็ค่อนข้างแรงทำให้เขาแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นทันที ช่างเป็นภาพที่น่าหัวเราะยิ่งนัก!

 

 

สีหน้าเขาทำให้ผู้หญิงทั้งสามคนระเบิดหัวเราะออกมา นี่คือคุณชายน้อยถังเซิ่น ชายรูปงามที่โด่งดังที่สุดในสภาปี้เซวียนผู้ที่มักจะอ่อนช้อยและสง่างาม เมื่อไหร่กันที่เขาเคยลืมตัวเช่นนี้

 

 

“ศิษย์น้องถัง ดื่มน้อยกว่านี้ก็ได้ถ้าเจ้าดื่มไม่เก่ง เอ้านี่ เช็ดปากเสียก่อน” เว่ยเฮ่าหลานยังคงไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้ขณะที่นางส่งผ้าสะอาดให้เขา

 

 

โม่เทียนเกอเพิ่งจะคิดว่าตอนนี้เขาสงบขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ครั้งนี้เขายังอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดถังเซิ่นก็สามารถกลืนเหล้าองุ่นที่อยู่ในปาก เขารับผ้ามาแล้วจึงเช็ดคราบเหล้ารอบๆ ปากพร้อมกับไอไปด้วย “ข้าปล่อยให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้หญิงต้องมาเห็นเรื่องตลกเข้า…”

 

 

ซย่าชิงโบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไรหรอก ศิษย์พี่ถัง ครั้งหนึ่งข้าเคยป้ายผงดอกทานตะวันทองสามใบบนยาวิเศษของศิษย์พี่หวา สีหน้าของนางตอนนั้นน่ะสุดยอดเลย!”

 

 

ดอกทานตะวันทองสามใบคือพืชวิญญาณทั่วไปชนิดหนึ่ง ไม่ได้มีประโยชน์มากมายนัก แต่ก็เผ็ดร้อนมากถ้ากินเข้าไปและจะทำให้ปากของคนที่กินแสบร้อน โดยเฉพาะถ้าพวกเขาไม่สามารถกินของเผ็ดได้ โม่เทียนเกอเคยใช้มันเป็นเครื่องปรุงมาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้จักมันดี เมื่อนางได้ยินสิ่งที่ซย่าชิงพูด นางจึงถามทันที “ที่เจ้าพูดว่าศิษย์พี่หวา เจ้าหมายถึงสหายนักพรตหวาอี้หลินอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ใช่” ซย่าชิงตอบ “ข้าไม่เคยชอบศิษย์พี่หวาเลย แม้ด้วยอายุของนาง แต่นางกลับชอบทำวางก้ามและมักจะมีสีหน้าน่าเกลียดเวลานางคุยกับข้า แต่นางไม่เคยคิดถึงความจริงที่ว่าข้าเป็นคนดูแลยาวิเศษของนาง!” เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของซย่าชิงกลับกลายเป็นเศร้าหมองขึ้นมาทันที “ข้าเคยไม่มีเหตุผลมาก่อน ข้ามักจะคิดว่าศิษย์พี่หวานั้นเลวร้ายและข้าจะทำให้นางอับอายเมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าได้โอกาส อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงศิษย์พี่หวาไม่เคยทำอะไรไม่ดี นางแค่หยิ่งยโสและบ้าอำนาจนิดหน่อยเท่านั้น… ข้าสงสัยว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง…”

 

 

พวกเขาจมลงสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ไม่ว่าพวกเขาจะบังคับตัวเองให้ยิ้มอย่างมีความสุขมากแค่ไหน แต่ความทรงจำแสนเจ็บปวดก็ยังปรากฏขึ้นในจิตใจพวกเขาอยู่เสมอ

 

 

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย” ครั้งนี้เป็นถังเซิ่นที่เป็นคนพูดขึ้นมา เขาหันไปทางเว่ยเฮ่าหลานและพูดว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นหรือยังตอนนี้”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้เกือบจะหายดีแล้ว พลังมรณะทั้งหมดสลายไปแล้ว ตราบใดที่ข้าทำสมาธิอย่างช้าๆ และพักฟื้นตั้งแต่นี้ต่อไป อาการบาดเจ็บของข้าก็จะรักษาหายได้”

 

 

ซย่าชิงพูด “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ครั้งนี้ข้าจะปรุงยาวิเศษรักษาอาการอีกชุดหนึ่งให้ท่าน ท่านต้องไม่ใช้ยาอย่างขี้เหนียวล่ะ ถ้าท่านไม่สบาย สภาปี้เซวียนก็จะไม่สบายไปด้วย ดังนั้นท่านต้องบำรุงตัวเองให้ดี”

 

 

“ใช่” ถังเซิ่นจึงพูดตามบ้าง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ค่อยช่างคิดและมักจะก่อปัญหาให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักเสมอ ในอนาคตข้าจะขยันฝึกตนอย่างแน่นอน”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานยิ้มและมันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ตอนนี้พวกเจ้าล้วนมีเหตุผลกันหมดแล้ว ดีจริง…” จากนั้นสายตาของนางหันมาหาโม่เทียนเกอผู้ที่เงียบมาโดยตลอด “สหายนักพรตเยี่ย ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะศิษย์น้องถังอยู่เสมอในหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าเกรงว่าศิษย์น้องซย่าและตัวข้าคงไม่มีโอกาสที่จะก้าวหน้าไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่ท่านและศิษย์น้องถัง”

 

 

โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มเล็กๆ “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสรับเชิญแห่งสภาปี้เซวียน ดังนั้นข้าก็ต้องให้ความช่วยเหลือบ้างเป็นธรรมดา” ที่จริงแล้วถังเซิ่นถือได้ว่าค่อนข้างฉลาดทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีปราณหยางบริสุทธิ์และรากวิญญาณของเขาก็ไม่แย่เช่นกัน ในอดีตอาจจะเป็นเพราะข้อบกพร่องในนิสัยของเขาที่เขามักจะไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกตนได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ เขาต้องตั้งใจถึงแม้เขาจะไม่สามารถทำได้และเขายังมีความแค้นมาคอยกระตุ้นอีกด้วย เขามักจะเตือนตัวเองว่าเขาต้องเข้มแข็ง ดังนั้นเขาจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอคิดว่าถึงแม้ความสามารถในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ของเขานั้นยังคงน่ากังขา แต่การก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขา

 

 

“ใช่ สหายนักพรตเยี่ยเป็นพวกเดียวกับเราแล้วในตอนนี้” จู่ๆ ซย่าชิงก็แทรกเข้ามา “ดังนั้นสหายนักพรตเยี่ยไม่ควรขี้งก เราต้องปรึกษาเรื่องการปรุงยากันบ่อยๆ …”

 

 

ทั้งสามคนที่เหลือต่างหัวเราะ เหมือนเคย หัวข้อของบทสนทนาถูกซย่าชิงดึงเข้าเรื่องการปรุงยาอีกครั้ง

 

 

หลังจากหยุดนิดหนึ่ง เว่ยเฮ่าหลานก็พูดขึ้น “ในเมื่อสหายนักพรตเยี่ยเป็นพวกเดียวกับเราแล้วตอนนี้ หากพวกเรายังคงเรียกนางว่าสหายนักพรตเยี่ย จะไม่เป็นทางการไปหรือ”

 

 

“ก็จริง…” ซย่าชิงพูด “ข้าเหมือนจะจำได้ว่าท่านผู้อาวุโสทั้งสองเรียกสหายนักพรตเยี่ยด้วยชื่ออื่นมาก่อนหน้านี้ ชื่ออะไรนะ ข้าจำไม่ได้เพราะมันผ่านมานานมากแล้ว”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “แซ่ที่แท้จริงของข้าคือโม่ และชื่อข้าคือเทียนเกอ”

 

 

“อ้อ… จริงสิ! ดูเหมือนพวกเขาจะเรียกท่านว่าเทียนเกอ! สหายนักพรตเยี่ย ทำไมท่านต้องใช้ชื่อปลอมด้วยเล่า โอ้ ไม่ ข้าจะเรียกท่านว่าศิษย์พี่โม่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”

 

 

“เยี่ยเสี่ยวเทียนไม่ถือว่าเป็นชื่อปลอมหรอก” นี่เป็นครั้งแรกที่นางอธิบายถึงชื่อของนางให้กับคนอื่นฟัง “โม่เป็นแซ่ของแม่ข้า แซ่ของพ่อข้าคือเยี่ย เยี่ยเสี่ยวเทียนเป็นชื่อที่อาของข้าเลือกให้”

 

 

“เยี่ย… โม่” ซย่าชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ฟังดูดีทั้งคู่ แต่ในเมื่อโม่เทียนเกอคือชื่อจริงของท่าน เราจะเรียกท่านว่าศิษย์พี่โม่จากนี้ไป ตกลงไหม”

 

 

“ใครแก่กว่าและใครเด็กกว่ายังไม่ได้กำหนดกันเลย” เว่ยเฮ่าหลานที่รู้เกี่ยวกับพื้นเพของโม่เทียนเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องซย่า หากเราจะแค่พิจารณาถึงระดับการฝึกตน เจ้าทั้งสองต้องเรียกนางว่าศิษย์พี่ แต่ถ้าเราจะเอาอายุมาพิจารณาด้วย… เราควรเรียงตามอายุของเจ้าก่อน อืม เจ้าไม่จำเป็นต้องนับข้าเข้าไปด้วย ข้าเป็นหญิงแก่แล้วเมื่อเทียบกับพวกเจ้า”

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านอายุแค่ร้อยปีเท่านั้นเอง ตรงไหนของท่านที่แก่กันเล่า” ซย่าชิงพูดทื่อๆ “ตอนนี้ข้า… ข้าดูเหมือนจะอายุห้าสิบสามปีแล้ว ข้ายังรู้เกี่ยวกับศิษย์พี่ถังด้วย ท่านก็น่าจะแก่กว่าข้าประมาณ… หกปี ท่านน่าจะอายุห้าสิบเก้าปีแล้วตอนนี้ ใช่ไหม”

 

 

ถังเซิ่นยิ้มและพยักหน้า

 

 

“ศิษย์พี่โม่ แล้วท่านล่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะ “ถ้าเราจะนับตามอายุกันเช่นนี้ เจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ข้าอายุห้าสิบห้าปีแล้วตอนนี้ แก่กว่าเจ้าสองปีพอดี”

 

 

“อ้า!” ซย่าชิงอุทานด้วยความประหลาดใจและแม้แต่ดวงตาถังเซิ่นยังเบิกกว้างด้วยความตกใจ

 

 

เนื่องจากพวกเขาบาดเจ็บและติดอยู่ในเจดีย์บรรลุเต๋า โม่เทียนเกอจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังระดับการฝึกตนของนางอีกต่อไป ดังนั้นทั้งซย่าชิงและถังเซิ่นจึงรู้แล้วว่านางเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เพราะผู้อาวุโสทั้งสองคนและเว่ยเฮ่าหลานไม่เคยสนใจกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงไม่เคยออกความเห็นถึงมัน นี่จึงเป็นเหตุผลอีกอย่างว่าทำไมซย่าชิงถึงเรียกนางว่าศิษย์พี่อย่างมั่นใจ

 

 

ตอนนี้นางอายุห้าสิบห้าปีและพวกเขาก็หลบซ่อนอยู่ในเจดีย์บรรลุเต๋านี้มาประมาณสิบหกปีแล้ว ไม่ได้หมายความว่าตอนนั้นนางเพิ่งอายุแค่สามสิบเก้าปีหรอกหรือ ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานอายุสามสิบเก้าปี… นี่มันช่างน่าทึ่งเสียจริง!

 

 

ถังเซิ่นเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาได้ จากนั้นเขาพูดอย่างจริงใจ “ที่แท้สหายนักพรตเยี่ยก็เป็นอัจฉริยะจริงๆ! ตอนนั้นข้าช่างหยาบคาย”

 

 

คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่โม่เทียนเกอได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา อย่างไรก็ตาม ถังเซิ่นเข้าใจเรื่องนี้ผิดไป ปีนั้นเมื่อนางปฏิเสธข้อเสนอการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของเขา โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธเขาเพราะนางคิดว่าต้นทุนของเขาไม่ดีพอหรือเขาไม่คู่ควรกับนาง นางปฏิเสธเขาแค่เพราะนางไม่ต้องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับเขา