โม่เทียนเกอไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ปฏิเสธข้อเสนอการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ไปนานแล้วและนางก็คงจะไม่ได้คบค้าสมาคมกับถังเซิ่นมากมายในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ
ถังเซิ่นเองก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาพูดอีกต่อไปเช่นกัน เขากลับยิ้มแทนและเอ่นว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ควรจะเรียกท่านว่าศิษย์พี่ ศิษย์พี่โม่อายุยังน้อยอยู่แต่มีระดับการฝึกตนที่สูงมากแล้ว การเรียกท่านว่าศิษย์พี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
ในโลกแห่งการฝึกตน การลำดับอาวุโสไม่เคยกำหนดด้วยอายุ มีเพียงคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกันอย่างศิษย์พี่น้องที่อยู่ภายใต้อาจารย์ท่านเดียวกันเท่านั้นจึงจะใช้อายุมาเป็นตัวกำหนดอาวุโสในความสัมพันธ์ และยังคงไว้ซึ่งวิธีเรียกเช่นนั้นด้วยความเคารพโดยไม่ได้คำนึงถึงความก้าวหน้าในการฝึกตนใดๆ
พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันภายในเจดีย์แห่งนี้มามากกว่าสิบปี ถึงแม้พวกเขาจะต่างสนใจอยู่กับธุระของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ยังแตกต่างเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ที่มีต่อคนอื่นๆ นี่จึงเป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถพูดคุยเรื่องอายุกันได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอสูงกว่าเขามากแม้อายุของนางจะน้อยกว่า ถังเซิ่นจึงรู้สึกว่าเขาควรเรียกนางว่าศิษย์พี่
ซย่าชิงพูดว่า “ข้ายังต้องเรียกท่านว่าศิษย์พี่ไม่ว่ากรณีใด ศิษย์พี่โม่ ในเมื่อท่านสุดยอดขนาดนี้ ท่านต้องคอยดูแลข้าในอนาคตด้วยนะ”
“ศิษย์น้องซย่า!” เว่ยเฮ่าหลานเหลือบมองนางด้วยสายตารุนแรงแต่สุดท้ายนางก็หัวเราะ “แต่ที่จริงเจ้าก็พูดถูก สหายนักพรตเยี่ยเป็นผู้อาวุโสของสภาปี้เซวียนของเราแล้วในตอนนี้ ดังนั้นนางก็ต้องคอยดูแลพวกเรามากขึ้น”
โม่เทียนเกอโบกมือ “ท่านทั้งสองไม่ควรหยอกข้า ความสำเร็จของข้าเป็นเพราะข้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสของข้าเท่านั้นเอง”
ขณะเว่ยเฮ่าหลานกำลังจะพูด จู่ๆ ทั้งสี่คนก็รู้สึกถึงความผันผวนของพลังวิญญาณทันที พวกเขาทุกคนหยุดนิ่งจากนั้นจึงหันไปมองที่ม่านพลังเคลื่อนย้ายโดยพร้อมเพรียงกัน
ม่านพลังเคลื่อนย้ายเปล่งแสงสีขาวระเบิดออกมา ทันทีหลังจากนั้น เสียงของผู้อาวุโสชิงอี้ดังขึ้น “มานี่สิ พวกเจ้าทุกคน”
ทั้งสี่คนรู้สึกหวั่นไหวที่ในที่สุดก็ได้ยินเสียงผู้อาวุโสของพวกเขาอีกครั้งหลังจากสิบห้าปี
เว่ยเฮ่าหลานเอามือวางไว้ที่หน้าอกขณะที่นางพยายามสงบสติตัวเองที่กำลังตื่นเต้น “ดูเหมือนว่าท่านผู้อาวุโสทั้งสองจะปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเสร็จสิ้นแล้ว ขึ้นไปข้างบนและทักทายพวกท่านกันเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่มีใครคัดค้าน ทั้งสี่คนวางถ้วยเหล้าองุ่น ยืนขึ้นแล้วจึงเดินไปทางม่านพลังเคลื่อนย้าย
ภายในเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา ม่านพลังเคลื่อนย้ายปิดอยู่ตลอดเวลาแต่ตอนนี้มันถูกเปิดใช้ขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ทั้งสี่คนยังถูกเรียกขึ้นไปข้างบน ดังนั้นจึงคาดว่าผู้อาวุโสได้จบการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสี่คนยืนอยู่บนม่านพลังเคลื่อนย้ายและด้วยแสงแสบตาระเบิดออก พวกเขาจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ชั้นสี่ ถึงแม้พวกเขาต้องการจะพบผู้อาวุโสทั้งสองใจจะขาด แต่เว่ยเฮ่าหลานและอีกสองคนที่เหลือล้วนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
พวกเขาทุกคนต่างก็รู้ถึงผลของการฝึกวิชาห้ามเลือดลับ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมาสิบห้าปี แต่การได้เห็นผลลัพธ์เช่นนั้นด้วยตัวเองนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย
ด้วยเหตุนั้น คนแรกที่เห็นรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสทั้งสองคือโม่เทียนเกอ
นางเห็นทั้งสองกำลังนั่งอยู่เคียงข้างกันบนเสื่อสวดมนต์บนที่นั่งหลัก พวกนางดูปกติดี ต่างก็ใส่ผ้าคลุมและหมวกผ้าโปร่ง
ผ้าคลุมและหมวกผ้าโปร่งนี้ไม่ได้เพียงแค่บดบังสายตาอันสงสัย แต่ยังบดบังจิตสัมผัสอีกด้วย รวมกับความจริงที่ว่าระดับการฝึกตนของผู้อาวุโสทั้งสองสูงกว่าของพวกเขามากนัก ทั้งสี่คนจึงไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกนางได้เลยแม้แต่น้อย
“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสอง” โม่เทียนเกอทำความเคารพ ตอนนี้นางถือว่าเป็นสมาชิกแห่งสภาปี้เซวียนเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องเรียกพวกนางว่าศิษย์พี่อีก
เมื่อได้ยินว่าโม่เทียนเกอฟังดูเป็นปกติ อีกสามคนที่เหลือจึงเงยหน้ามองในที่สุด พวกเขาดูโล่งใจแต่ดวงตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเศร้า ผู้อาวุโสทั้งสองคงจะกลัวว่าจะทำให้พวกเขากลัว ดังนั้นพวกนางจึงซ่อนรูปลักษณ์ของตัวเองไว้
“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสอง” เว่ยเฮ่าหลานเป็นคนเริ่มทำความเคารพ
ผู้อาวุโสชิงอี้พยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย “สิบห้าปีมานี้… พวกเจ้าทุกคนคงจะผ่านความยากลำบากมามากเลยสินะ” เสียงของนางแหบแห้งขึ้นมากกว่าที่เคย
เว่ยเฮ่าหลานพูดอย่างนอบน้อม “เทียบกับสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองต้องเจอ ความลำบากของเรานั้นไม่สำคัญเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นเด็กดี” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูด ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ของนางได้ แต่ตัดสินจากเสียง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางแก่ขึ้นมากแล้ว “เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก นี่เป็นความรับผิดชอบที่เราต้องแบกรับในฐานะผู้อาวุโสแห่งสภาปี้เซวียน”
ถังเซิ่นก้มหน้างุดและขยี้หางตาของเขาอยู่เงียบๆ
เมื่อผู้อาวุโสชิงอี้มองเขา นางพูดโพล่งออกมา “เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าเลื่อนระดับแล้วหรือ”
“ขอรับ” ถังเซิ่นพูดพร้อมก้มหัวลง “ข้า… ข้าขอโทษ ท่านผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย”
คำพูดของเขาทำให้ผู้อาวุโสชิงอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้า เจ้าเด็กคนนี้นี่… ในที่สุดเจ้าก็โตขึ้นเสียที ถ้าท่านทวดของเจ้าในยมโลกได้รับรู้ นางจะต้องมีความสุขมาก”
ถังเซิ่นคือทายาทที่รักของผู้อาวุโสชิงซี เขาโตขึ้นภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสทั้งสามคน ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งสองจึงเห็นเขาเป็นเสมือนผู้น้อยของพวกนางเช่นกัน ตอนนี้ที่พวกนางเห็นว่าเขาพัฒนาขึ้นและโตขึ้นมาก หัวใจของพวกนางจึงได้รับการปลอบประโลม
ขณะที่เช็ดน้ำตา ถังเซิ่นตอบด้วยเสียงอู้อี้ “ขอรับ ในอนาคต เซิ่นเอ๋อร์จะฝึกตนอย่างหนักแน่นอน เซิ่นเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านผู้อาวุโสทั้งสองและท่านทวดต้องผิดหวังอีก”
จากนั้นความสนใจของผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนมาอยู่ที่พวกเขาที่เหลือ ผู้อาวุโสชิงอี้ถามขึ้น “เฮ่าหลาน เทียนเกอ อาการบาดเจ็บของพวกเจ้ารักษาหายแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ” เว่ยเฮ่าหลานตอบ “วางใจเถิดเจ้าค่ะท่านผู้อาวุโส อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้วไม่มากก็น้อย ผู้อาวุโสโม่สลายพลังมรณะที่อยู่ภายในได้เสร็จสิ้นเมื่อห้าปีก่อนด้วยซ้ำ”
“อ้อ” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวมุ่งสายตาตรงมาที่โม่เทียนเกอ “เทียนเกอ มานี่สิ มาให้เราดูเจ้าหน่อย”
“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอพูดแล้วจึงเดินเข้าไป
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยื่นมือออกมาด้วยความเร็วแสงและคว้าข้อมือนางซึ่งหลังจากนั้นนางใส่พลังวิญญาณของนางเข้าไป
โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเส้นลมปราณของนางชาและเจ็บเท่านั้น พลังวิญญาณของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวแกร่งกว่าที่นางคาดไว้ เหมือนกับว่าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวได้เข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว แต่ถึงอย่างไรพลังวิญญาณนั้นก็แปลกมากเช่นกัน ดูเหมือนจะมีความบ้าคลั่งบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
นางก้มลง จ้องมองมือคู่หนึ่งที่เผยออกมาซึ่งกำลังจับข้อมือนางอยู่ มือนั้นแห้งและเ**่ยวย่น เหมือนกับเปลือกไม้ของต้นไม้แก่ๆ และซีดมากราวกับไม่มีเลือด สิ่งนี้แทบจะไม่สามารถเรียกว่ามือได้อีกต่อไป… นางจำได้ถึงตอนที่นางเจอผู้อาวุโสชิงเมี่ยวครั้งแรกเมื่อสิบหกปีก่อน ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่ได้ดูอ่อนวัยแต่นางก็ยังสวยและมีเสน่ห์น่ามอง
ถึงแม้นางจะไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งเช่นนั้นต่อผู้อาวุโสทั้งสองเหมือนอย่างเว่ยเฮ่าหลานและคนอื่นๆ แต่ความเศร้าเล็กๆ ก็ยังเกิดขึ้นในใจของโม่เทียนเกอเมื่อได้เห็นภาพเช่นนั้น นี่คือโลกซึ่งเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นโลกที่ไร้หัวใจไปเสียหมดเช่นกัน
ทันทีหลังจากนั้น ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวปล่อยมือของนางแล้วจึงพูดด้วยความโล่งอก “ดีมากเทียนเกอ ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บของเจ้าจะรักษาหายแล้วทั้งหมด แต่แม้กระทั่งพลังวิญญาณของเจ้าก็ยังบริสุทธิ์มากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย คาดว่าเจ้าคงฝึกหนักมามากตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้สินะ”
ขณะที่นางถอยกลับ โม่เทียนเกอตอบ “ท่านผู้อาวุโสมอบอะไรให้ข้ามากมาย ในเมื่อศิษย์น้องยอมรับความเมตตาจากท่านผู้อาวุโส มันก็เป็นธรรมดาที่ศิษย์น้องจะทำอะไรเพื่อสภาปี้เซวียนบ้าง”
“หากเจ้าคิดเช่นนั้น แสดงว่าเราก็ไม่ได้มองเจ้าผิดไป” ผู้อาวุโสชิงอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ตอนนี้เราเรียกพวกเจ้าขึ้นมาอย่างแรกเพื่อบอกพวกเจ้าว่าเราฝึกวิชาห้ามเลือดลับเสร็จเรียบร้อยแล้วและเราสิ้นสุดการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิในวันนี้ อย่างที่สอง สิ่งที่เราทำยังคงไม่เพียงพอที่จะจัดการกับมารผู้ฝึกตนผู้นั้น เรายังต้องเตรียมการบางอย่างอีก”
“ท่านผู้อาวุโส” เว่ยเฮ่าหลานกล่าว “แค่บอกเราว่าต้องเตรียมสิ่งใด เราจะเตรียมมันอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เราต้องเตรียมของสองอย่าง” ผู้อาวุโสชิงอี้พูดอย่างใจเย็น “อย่างแรก พลังมรณะของมารผู้ฝึกตนนั้นน่ากลัวเกินไป ถ้ามันสัมผัสโดนพวกเจ้าเข้า มีแนวโน้มอย่างมากที่เจ้าจะไม่สามารถทนได้ หลังจากตามหามานาน ในที่สุดเราก็เจอเครื่องรางชนิดหนึ่งซึ่งสามารถปกป้องเจ้าได้จากพลังมรณะชนิดนั้น เพราะเหตุนั้น เจ้าไม่ควรทำอะไรในวันต่อๆ ไป แค่วาดเครื่องรางนี้ก็พอ ยิ่งเจ้าทำขึ้นมาได้เยอะเท่าไรก็ยิ่งดี”
“ท่านผู้อาวุโส” ซย่าชิงพูด “ไม่มีใครในหมู่พวกเราสามารถวาดเครื่องรางได้ เราจะเชี่ยวชาญขึ้นมาในเวลาแค่สั้นๆ ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็หัดเรียนรู้จนกว่าเจ้าจะวาดได้ดี” ผู้อาวุโสชิงอี้พูดตรงๆ “ส่วนของอย่างที่สอง มันคืออาวุธเวท พวกเจ้าไม่สามารถช่วยเราได้กับสิ่งนี้ ดังนั้นศิษย์น้องชิงเมี่ยวและตัวข้าจะต้องขัดเกลามันด้วยตัวพวกเราเอง”
ในกลุ่มนี้ไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการขัดเกลา การขัดเกลาเครื่องมือนั้นแตกต่างจากการวาดเครื่องราง สำหรับการวาดเครื่องรางนั้น ต่อให้พวกเขาขาดวัสดุของเครื่องรางอย่างเช่น กระดาษ พู่กัน และของอื่นๆ แต่วัสดุเหล่านั้นก็ยังหาได้ง่าย ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าชั้นเจ็ดของเจดีย์บรรลุเต๋าแห่งนี้คือสถานที่เก็บของสำหรับของสะสมอายุหลายพันปีของสภาปี้เซวียน แต่สำหรับการขัดเกลาเครื่องมือ ในทางกลับกัน วัตถุพวกนั้นโดยทั่วไปมักจะมีค่ามาก ของหายากสำหรับอาวุธเวทไม่สามารถจะเสียเปล่าไปได้อย่างง่ายดายนัก
“ถูกต้อง” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดขณะที่ส่งหยกบันทึกให้พวกเขา “เฮ่าหลาน หลังจากนี้จงไปที่ชั้นเจ็ดและดึงกระดาษเครื่องรางและพู่กันที่จำเป็นมา วาดเครื่องรางตามภาพวาดนี้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เจ้าต้องวาดเครื่องรางให้ได้อย่างน้อยหลายพันอัน นั่นเป็นวิธีเดียวที่เราจะสามารถจัดการกับมารผู้ฝึกตนผู้นั้นได้”
“เจ้าค่ะ” เว่ยเฮ่าหลานพูดอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นนางลังเลครู่หนึ่งก่อนนางจะพูดขึ้นอีกครั้งในที่สุด “ท่านผู้อาวุโส จะ… ทนไหวหรือไม่เจ้าคะ”
คนที่ฝึกครึ่งหลังของวิชาห้ามเลือดลับ ถึงแม้จะเป็นแค่ “การฝึก” สุดท้ายก็ยังต้องตายอยู่ดี อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมีเวลาอีกนานแค่ไหนก่อนที่พวกนางจะตาย
ผู้อาวุโสชิงอี้พูดแผ่วเบา “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรา ก่อนที่เราจะช่วยเจ้ากำจัดปัญหาในอนาคตได้ พวกเราหญิงแก่ไม่กล้าตายหรอก”
การได้ฟังคำพูดนั้นทำให้สายตาของเว่ยเฮ่าหลานส่ายไปมา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่กล้าถามต่อและแค่คำนับ “เจ้าค่ะ”
“เทียนเกอ”
โม่เทียนเกอก้าวขึ้นมาข้างหน้า “เจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโส”
“ไปกับเฮ่าหลาน ทักษะการปรุงยาของเจ้ายอดเยี่ยม ถ้าเจ้าคิดว่ามียาวิเศษอะไรที่อาจเป็นประโยชน์กับเรา เจ้าสามารถเอาวัตถุนั้นมาและขัดเกลามันได้”
โม่เทียนเกอตะลึงแต่ไม่นานหลังจากนั้นจึงประกบมือ “ข้าเข้าใจ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไว้ใจที่พวกเขามีต่อนาง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะยอมให้นางเข้าคลังสมบัติที่เก็บของสะสมของกลุ่มไว้เท่านั้น แต่พวกเขายังยอมให้นางเอาของออกมาจากที่นั่นได้เองอีกด้วย ถ้าพวกเขาไม่เห็นว่านางเป็นศิษย์ที่น่าไว้ใจ พวกเขาคงไม่มีทางทำเช่นนี้แน่
นางถอนหายใจอยู่ภายใน รู้สึกว่าพวกเขาเจอจุดอ่อนของนางเข้าให้โดยบังเอิญ นางยอมรับว่านางไม่ใช่คนใจบุญ แต่ถ้าคนอื่นปฏิบัติกับนางอย่างดี นางก็ต้องการจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดีตอบแทนเช่นกัน ตอนนี้ที่ผู้อาวุโสทั้งสองใจดีกับนางและไว้ใจนาง นางจะตอบแทนพวกเขาได้อย่างไรอีก นางต้องรับตำแหน่งผู้อาวุโสรับเชิญนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และยิ่งไปกว่านั้น ถ้านางประสบความสำเร็จในการฝึกตนของนาง นางควรจะดูแลพวกเขาให้บ่อยยิ่งขึ้น
“เอาละ เจ้าทั้งสองควรกลับไปก่อน ตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ” คนทั้งสี่ตอบรับพร้อมๆ กัน จากนั้นซย่าชิงและถังเซิ่นกลับไปที่ชั้นสาม ขณะที่โม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานไปที่ชั้นเจ็ด
เพราะรู้สึกสะเทือนใจจากการพบกับผู้อาวุโสทั้งสอง คนทั้งสองจึงเงียบมาตลอดทาง หลังจากที่พวกเขามาถึงชั้นเจ็ดและนางเปิดกำแพงอาคมเสร็จแล้วเท่านั้น เว่ยเฮ่าหลานจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ผู้อาวุโสโม่ ตรงนั้นคือบริเวณยาครอบจักรวาลวิญญาณ ท่านสามารถหยิบอะไรก็ตามที่จำเป็นไปได้ เมื่อท่านทำเสร็จแล้ว ท่านแค่ต้องบันทึกไว้ว่าเอาอะไรไปบ้าง”
“ตกลง” โม่เทียนเกอมองรอบๆ และพยักหน้า
สิบหกปีก่อนเมื่อพวกเขาหนีเข้ามาในเจดีย์แห่งนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองพานางและถังเซิ่นขึ้นมาที่ชั้นเจ็ด ในตอนนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองเลือกยาวิเศษมากมายให้กับพวกเขาและยังมอบอาวุธเวทให้กับถังเซิ่นและซย่าชิงอีกด้วย นอกจากนี้ เพราะพวกเขารู้เกี่ยวกับประวัติของนาง พวกเขาจึงกรุณามอบบันทึกส่วนตัวของโม่เหยาชิงให้นาง
ถึงแม้บันทึกส่วนตัวจะไม่ได้ดูมีค่าเท่ากับอาวุธเวท แต่เว่ยเฮ่าหลานเคยพูดว่ามีแต่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อ่านบันทึกส่วนตัวของผู้ก่อตั้งของพวกเขา การที่พวกเขาเต็มใจมอบให้นางนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ อีกอย่าง สำหรับนาง บันทึกส่วนตัวของโม่เหยาชิงนั้นสำคัญยิ่งกว่าอาวุธเวทใดๆ
ผู้อาวุโสทั้งสองคงปฏิบัติกับนางอย่างดีเช่นนั้นเพราะพวกเขาหวังว่านางจะช่วยเว่ยเฮ่าหลานสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ความกรุณาก็คือความกรุณา ในเมื่อนางยอมรับความกรุณาของพวกเขา นางก็ควรจะทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้างเป็นการตอบแทน
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ นางหยิบพืชวิญญาณหลายสิบอย่างออกมาอย่างเร็ว เมื่อนางหยิบเสร็จ นางเดินไปหาเว่ยเฮ่าหลานอีกครั้ง “ท่านเจ้าสำนัก ข้าเสร็จแล้ว”
“อ้อ” ในที่สุดเว่ยเฮ่าหลานก็เจอโถใส่เลือดสัตว์หลายใบหลังจากค้นหาผ่านๆ แร่ชาดและของอื่นๆ “เช่นนั้นไปกันเถอะ เราต้องบันทึกของพวกนี้ก่อนแล้วเราค่อยลงไปข้างล่าง”
“อืม!”
โม่เทียนเกอตามเว่ยเฮ่าหลานไปที่โต๊ะบูชา จากนั้นเว่ยเฮ่าหลานเอาบัญชีรายการสินค้าออกมาแล้วจึงเริ่มบันทึกของที่พวกเขานำออกไป ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอเงยหน้าและจ้องมองที่รูปปั้นของโม่เหยาชิง
บรรพบุรุษท่านนี้ของนางมีชีวิตที่ยากลำบากแต่นางก็มักจะมีจิตใจเด็ดเดี่ยว เคารพตัวเอง และพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถ้านางรู้ว่ากลุ่มที่นางก่อตั้งขึ้นมาด้วยตัวเองถูกหยามอย่างร้ายแรงจนเกือบจะกลายเป็นกลุ่มที่ล่มสลายโดยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานที่ฝึกวิชามารชั่วร้าย นางจะต้องโกรธจนเดือดดาลแน่นอน จริงไหม
นางจะต้องโกรธมากแต่ในขณะเดียวกันนางก็อาจจะรู้สึกโล่งใจมากเช่นกัน ถึงแม้คนในกลุ่มของนางจะไม่เก่งเท่ากับนางผู้ที่เป็นอัจฉริยะสวรรค์ประทาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้หลงออกจากนิสัยเด็ดเดี่ยวและทะนงตนของนาง ตราบใดที่ทุกคนยังมีนิสัยเด็ดเดี่ยวและทะนงตนเช่นนั้น สภาปี้เซวียนก็ยังสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง
“ผู้อาวุโสโม่”
“อืม” โม่เทียนเกอดึงสตินึกคิดกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของเว่ยเฮ่าหลาน
“ท่านมั่นใจหรือเปล่า” แทนที่จะมองที่โม่เทียนเกอ เว่ยเฮ่าหลานกลับถือหยกบันทึกในมือนางเล่นไปมา
“… ไม่” โม่เทียนเกอตอบตามตรง “ข้าชอบที่จะเป็นฝ่ายควบคุม แต่ครั้งนี้มันเกินกว่าความสามารถของข้า และข้าก็ไม่ใช่คนที่จะลงมือ ข้าไม่มั่นใจเลยสักนิด อย่างไรก็ตาม มันไม่เป็นไรหากเราไม่มั่นใจ แค่ผู้อาวุโสทั้งสองคนมั่นใจก็เพียงพอแล้ว”
“จริงด้วย” เว่ยเฮ่าหลานเงยหน้าและจ้องที่รูปปั้น นางค่อยๆ คุกเข่าและพูดว่า “ท่านผู้ก่อตั้งที่เคารพ ได้โปรดอวยพรให้สภาปี้เซวียนของเราด้วย ขอให้เรากำจัดศัตรูได้และยึดอารามของเรากลับคืนมาให้ได้!”