ตอนที่ 6 เพลิงโทสะ Ink Stone_Fantasy
ขณะที่ฮูหยินใหญ่ฉานอวี้เยี่ยนเจินกำลังพยายามปกปิดพิรุธทั้งหมดอย่างสุดกำลังนั้น ณ ค่ายกลส่งถ่ายอันใหญ่โตในเมืองอัคคีโชติ
“วิ้ง”
ค่ายกลส่งถ่ายมีน้ำวนราวกับคูหาดำมืดอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น เงาร่างสองสายเดินออกมาจากในนั้น พวกเขาสวมอาภรณ์สีดำขลิบทองกันถ้วนหน้า พลงมองไปทางจวนโหวไกลออกไป
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ทางสายของท่านโหวหั่วเลี่ยจะมีบุตรที่กำเนิดออกมาก็เป็นเทพอากาศด้วย หาได้ยาก หาได้ยากนัก”
“ก่อนหน้านี้พวกเราตระกูลอิงซานเพิ่งเคยให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ขึ้นมาทั้งหมดเพียงสองคนเท่านั้น พวกเขาล้วนสำเร็จเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งได้อย่างรวดเร็วมาก ในจำนวนนั้นคนหนึ่งสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก่อตั้ง ‘จวนโหวเก้ามังกร’ ขึ้นมา แม้อีกคนหนึ่งจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง แต่ก็บุกฝ่าวังปฐมเทพระดับชั้นที่หกได้แล้ว” ผู้อาวุโสสองคนจากตระกูลอิงซานพูดคุยยิ้มแย้นมกัน
พวกเขาก็อิจฉาเป็นอันมาก
เพราะเกิดมาก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว แสดงให้เห็นว่าสายเลือดแข็งแกร่งมาก ยิ่งสายเลือดแข็งแกร่งมากเท่าใด ก็ยิ่งบำเพ็ญได้ง่ายขึ้นเท่านั้น พวกผู้ที่สายเลือดอ่อนแอ…เมื่อพินิจดูสายเลือดภายใน ก็เลือนรางราวกับชมบุปผากลางหมอก! ส่วนผู้ที่มีสายเลือดแข็งแกร่งและเข้มข้น สายเลือดก็ชัดเจนมากทีเดียว ความยากในการฝึกฝนก็ง่ายดายขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า
“สวบ”
พวกเขาทั้งสองเคลื่อนที่ในพริบตาเร่งตรงไปทันที เมืองอัคคีโชติใหญ่โตเกินไป ลำพังแค่บินทะยานไปเพียงอย่างเดียวก็ช้าเกินไปแล้ว พวกเขาผู้อาวุโสของตระกูลทั้งสองถูกส่งมา…ในจำนวนนั้นมีคนหนึ่งสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้
ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็มาถึงจวนโหวหั่วเลี่ย
“ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสอง ขอเชิญมาด้วยเถิด” เสียงสายหนึ่งดังก้องขึ้นข้างหูของพวกเขา การกดดันของค่ายกลของจวนโหวหั่วเลี่ยที่ส่งผลต่อผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองจางหายไปชั่วคราว
“ท่านโหว” ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองก็เคลื่อนที่ในพริบตาเร่งเดินทางไปทันที แยกแยะได้ง่ายเกินไปแล้ว ลำแสงน้ำวนพลังฟ้าดินนั้นยังคงสะดุดตา แสงสีทองรำไรนั้นก็ยังสามารถแยกแยะออกมาได้
……
ขณะที่ผู้อาวุโสประจำตระกูลสองคนเร่งมานั้น ท่านโหวหั่วเลี่ยและผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งของจวนโหวรวมทั้งผู้มีสถานะสูงส่งทั้งหลายของตระกูลอิงซานและยอดฝีมือซึ่งเป็นเค่อชิงทั้งหลายล้วนพากันมองดูจากกลางฟากฟ้ารอบด้าน ลานบ้านเบื้องล่างเล็กเกินไปแล้วจริงๆ พวกเขาจะร่อนลงไปทั้งหมดก็มิอาจบรรจุได้พอ
“ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองเดินทางมาไกล โปรดรออีกสักประเดี๋ยว สักครู่เด็กคนนี้ก็จะออกมาแล้วล่ะ” ท่านโหวหั่วเลี่ยบุรุษอาภรณ์สีแดงยืนอยู่ข้างหนึ่งยิ้มๆ
รอบด้านมีผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง ส่วนผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยล้วนมิกล้าเข้าใกล้ ฮูหยินใหญ่ ‘ฉานอวี้เยี่ยนเจิน’ ก็อยู่กลางท้องฟ้าค่อนไปทางด้านหลังของกลุ่มคน นางมองเห็นผู้อาวุโสประจำตระกูลและท่านโหวพากันมองดูก้อนเนื้อสีแดงกลมดิกซึ่งเปล่งประกายสีทองอยู่เบื้องล่างอย่างใจจดใจจ่อ นางอดขบกรามกรอดมิได้ “ข้อบกพร่องสุดท้ายก็ต้องเติมเต็มเสีย”
วิ้ง
สีหน้าของนางขาวซีดเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป เหมือนกับผ่านไปเชื่องช้ามาก
ยามนี้เหล่าบุคคลระดับสูงของจวนโหวหั่วเลี่ยต่างพากันมองดูเบื้องล่าง หรงซิงหลันได้สติกลับคืนมาแล้ว นางและอิงซานซีเยว่บุตรสาวก็ตั้งตารอคอยเช่นกัน
“ฟิ้ววว…” ก้อนเนื้อสีแดงกลมดิกพลันปริแตกออก เด็กน้อยปากแดงฟันขาวคนหนึ่งปรากฏขึ้น บนร่างของเด็กน้อยคนนั้นสวมเพียงเสื้อบางเบาแนบกายเท่านั้น
กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาจากเด็กน้อยกลับยิ่งใหญ่เป็นถึงกลิ่นอายเทพอากาศ
ทันใดนั้นเด็กน้อยปากแดงฟันขาวเท้าเปล่าเปลือยสวมเสื้อบางเบาแนบกายก็ถลาไปตรงหน้าหรงซิงหลัน ก่อนจะคุกเข่าพรวดลงไปแล้วกล่าวว่า “ลูกขอคารวะท่านแม่!”
การคุกเข่าของตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้มาจากความยินยอมพร้อมใจ เนื่องจากเมื่อเขาอยู่ในครรภ์มารดาก็สามารถสัมผัสผ่านอากาศและรับรู้ท่าทางของมารดาและพี่สาวที่สู้สุดชีวิตขณะเผชิญหน้ากับพ่อบ้านเถียนที่อยู่ภายนอกได้ และยังมองเห็นน้ำตาอันสิ้นหวังของมารดาด้วย…เขารู้สึกว่ามารดาเห็นเขาสำคัญกว่าชีวิตเสียอีก ความรู้สึกนั้นสัมผัสซึ่งกันและกันได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคารพมารดาคนนี้ของตน
ส่วนบิดาของตนในโลกนี้น่ะหรือ เฮอะๆ ตนอยู่ในครรภ์มาสิบห้าปี บิดาผู้นั้นก็ไม่เคยมาแลดูมาก่อน! ตอนนี้ตนยังไม่รู้จักบิดาเสียด้วยซ้ำ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกอะไรแล้ว
“เอาล่ะๆ” หรงซิงหลันรีบยื่นมือออกไปดึงบุตรของตนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น แขนเล็กๆ เต็มไปด้วยเนื้อนุ่มนิ่ม ทำเอาหัวใจของหรงซิงหลันแทบจะละลายอยู่รอมร่อแล้ว รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้าของนาง นั่นคือความปีติยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ฮ่าฮ่า…เด็กคนนี้นับว่ากตัญญูมากทีเดียว” ผู้อาวุโสประจำตระกูลกลางอากาศผู้หนึ่งพูดยิ้มๆ ท่านโหวหั่วเลี่ยหัวเราะพลางพยักหน้า บุคคลระดับสูงของจวนโหวรอบด้านก็พลันชื่นชมขึ้นมา
พวกเขาไม่แปลกใจในสติปัญญาของตงป๋อเสวี่ยอิงเลยแม้แต่น้อย
เพราะต่อให้เป็นทารกของตระกูลอิงซานที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญ เมื่อจะกำเนิดออกมาก็ล้วนอยู่ในครรภ์หลายสิบปีทั้งสิ้น สติปัญญาก็ไม่ธรรมดา
ท่านโหวหั่วเลี่ยก็หัวเราะพลางพูดเสียงดังกังวานว่า “หรงซิงหลัน เจ้าตั้งชื่อให้บุตรคนนี้แล้วหรือยัง”
“ยังไม่เคยเลยเจ้าค่ะ” หรงซิงหลันกล่าว
นางมีสถานะต่ำต้อย ก่อนหน้านี้ไม่มีคุณสมบัติพอจะได้ตั้งชื่อ โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นอิงซานเลี่ยฮู่ที่ตั้งชื่อทั้งสิ้น
“ข้าตั้งชื่อให้ตัวเองไว้แล้ว” เด็กน้อยในอ้อมแขนนางกระโดดขึ้นมา เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่อยู่กลางอากาศก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงใสกังวานแต่กลับสะท้อนก้องไปรอบด้าน “นามว่าเสวี่ยอิง!”
“เสวี่ยอิง อิงซานเสวี่ยอิงรึ” ท่านโหวหั่วเลี่ยที่อยู่กลางอากาศพูดยิ้มๆ “เจ้าหนูน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เกิดมาก็รู้จักตั้งชื่อให้ตนเองแล้ว”
“พรสวรรค์ไม่ธรรมดา ย่อมไม่เหมือนกับคนทั่วไปอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสประจำตระกูลร่างผอมสูงด้านข้างชมเชย ผู้อาวุโสประจำตระกูลที่อ้วนเล็กน้อยอีกคนหนึ่งด้านข้างก็หยิบอาวุธสีทองซึ่งหน้าตาเหมือนกับตะขอสีทองอันแปลกประหลาดขนาดเท่าฝ่ามือออกมาพลางหัวเราะแหะๆ ก่อนจะโยนตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้าหนูอิงซานเสวี่ยอิง ข้าและคนอื่นๆ รับคำสั่งให้มาส่งป้ายบัญชาทองคำอิงซาน”
เด็กน้อยยื่นมือออกไปคว้าป้ายบัญชาทองคำอิงซานมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ป้ายบัญชาทองคำอิงซานนี้ เป็นสิ่งที่ลูกหลานตระกูลอิงซานคนสำคัญยิ่งกว่าสำคัญเท่านั้นจึงมีสิทธิ์จะได้รับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนมอบให้ด้วยตนเอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยพูดยิ้มๆ “เมื่อได้รับป้ายคำสั่งนี้แล้ว สถานะของเจ้าในจวนโหวก็จะทัดเทียมกันกับผู้อาวุโสในจวนโหวเลยทีเดียว ทั้งยังสามารถมุ่งหน้าไปยังเรือนประจำตระกูลเพื่ออ่านคัมภีร์ต่างๆ ภายในเรือนประจำตระกูลได้ ทางเรือนประจำตระกูลก็จะส่งสมบัติล้ำค่าจำนวนมากให้เจ้าด้วย”
ผู้คนทั้งหลายกลางอากาศรอบด้านพากันอิจฉาเป็นอันมาก
เนื่องจากจวนโหวใหญ่โตเกินไป จำนวนผู้บำเพ็ญก็มากมายยิ่งนักจึงย่อมมีการแบ่งระดับเป็นธรรมดา สมาชิกภายในจวนโหวทั้งหมดแบ่งออกเป็นหกระดับด้วยกัน
เช่นบ่าวรับใช้จำนวนนับไม่ถ้วนเป็นระดับหกซึ่งเป็นระดับต่ำสุดแทบจะทั้งหมด
บรรดา ‘ฮูหยิน’ ที่มิเคยให้กำเนิดบุตรทั้งหลาย ก็เป็นระดับหกซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเช่นเดียวกัน อย่างหรงซิงหลัน เนื่องจากเคยให้กำเนิดบุตรมาแล้ว อิงซานซีเยว่นับว่าเป็นทายาทสายตรง พวกนางทั้งสองจัดเป็นระดับห้า
ระดับห้า…ก็ยังคงต่ำมาก เพราะถึงอย่างไรหัวหน้าบ่าวรับใช้คนหนึ่งก็เป็นระดับห้าแล้ว แม้พวกนางสองคนจะมีสถานะสูงกว่าบ่าวรับใช้อยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดการอะไรบ่าวรับใช้ได้ ดังนั้นสาวใช้ที่ปรนนิบัติพวกนางจึงดูแคลนพวกนาง
ระดับสี่ คือผู้ที่มีสถานะสูงส่งมากในบรรดาบ่าวรับใช้ อย่างพ่อบ้านเถียนก็นับว่าเป็นระดับสี่
สมาชิกของจวนโหวระดับสี่ถึงระดับหก จัดว่าเป็นสามระดับล่าง
ส่วนระดับสามถึงระดับหนึ่งคือสามระดับบน! มีแต่สามระดับบนเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนของจวนโหวหั่วเลี่ยได้ คนของจวนโหวหั่วเลี่ย…มีเพียงสามระดับบนเท่านั้นที่เมื่อเดินอยู่ภายนอกแล้วมีคุณสมบัติพอจะพูดว่าเป็น ‘คนของตระกูลอ๋องโหว’ ได้ อย่างอิงซานซีเยว่ซึ่งมีพลังเพียงระดับเทพแท้ เมื่อเดินอยู่ภายนอกก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เรียกตนเองว่าเป็นคนของตระกูลอ๋องโหวแต่อย่างใด
เพราะถึงอย่างไร…
ตระกูลอ๋องโหวก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาตลอดคืนวันอันยาวนาน สายเลือดมีจำนวนนับไม่ถ้วน หากไม่ยอดเยี่ยมพอ ย่อมมิอาจเป็นตัวแทนของตระกูลอ๋องโหวได้
คนของตระกูลอ๋องโหวก็มีสิทธิพิเศษมากมาย ซึ่งสิทธิพิเศษนี้ได้กำหนดเอาไว้ในกฎหมายของรัฐเมฆทักษิณา
“ป้ายบัญชาทองคำอิงซานหรือ ทัดเทียมกับผู้อาวุโสหรือ และยังมีสิทธิพิเศษต่างๆ ในเรือนประจำตระกูลด้วยหรือ” คนจำนวนมากพากันอิจฉา ฮูหยินใหญ่ฉานอวี้เยี่ยนเจินก็รู้สึกซับซ้อนในใจเหลือแสน นางก็เป็นคนของตระกูลอ๋องโหว ตนมีพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่สี่ ทั้งยังสมรสกับอิงซานเลี่ยฮู่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอิงซานแล้ว นางจัดการเรื่องต่างๆ มานานปีก็เพิ่งจะขึ้นมาเป็นเพียงระดับสองเท่านั้น!
ยังห่างชั้นจากเด็กน้อยที่เพิ่งจะเกิดมาอยู่ขั้นหนึ่ง…แม้จะเป็นเพียงขั้นเดียว แต่ขั้นนี้กลับยิ่งใหญ่นัก
เนื่องจากทั้งจวนโหว นอกจากท่านโหวแล้ว ทั้งหมดก็มีผู้อาวุโสเพียงสิบห้าท่านเท่านั้น! หรือกล่าวได้ว่าผู้ที่มีสถานะสามารถเทียบกับเด็กน้อยได้มีเพียงผู้อาวุโสสิบห้าท่านเท่านั้น
“หรงซิงหลัน เจ้าสร้างคุณูปการใหญ่หลวง เลื่อนระดับขึ้นเป็นระดับสองในจวนโหว!” ท่านโหวหั่วเลี่ยเอ่ยปากพูดยิ้มๆ มารดาสูงส่งเพราะบุตร นี่คือกฎของจวนโหว
“ขอบคุณท่านโหวเจ้าค่ะ” หรงซิงหลันตื่นเต้นหาใดเปรียบ เพียงพริบตาถลาขึ้นสู่ฟ้าในก้าวเดียวแล้วหรือนี่ นับจากนี้ไปก็จะมีบ่าวรับใช้เป็นฝูง จะออกไปไหนก็เป็นแขกที่ทหารรักษาการณ์จำนวนมากต้องดูแลแล้วหรือนี่
ผู้อาวุโสแห่งจวนโหวคนหนึ่งซึ่งมีหลังค่อมเอ่ยถามขึ้นว่า “หรงซิงหลัน ครั้งนี้เจ้าตั้งครรภ์นานเท่าใดกัน”
“ตั้งครรภ์สิบห้าปีเจ้าค่ะ” หรงซิงหลันตอบทันที เวลาที่ทารกแต่ละคนอยู่ในท้องล้วนต้องได้รับการบันทึกเอาไว้ อภิชาตบุตรอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ก็ยิ่งต้องบันทึกเอาไว้
“สิบห้าปีหรือ” ท่านโหวหั่วเลี่ยสะดุ้ง
“ไยจึงสั้นถึงเพียงนี้ได้เล่า” ผู้อาวุโสประจำตระกูลสองคนด้านข้างก็สงสัย
“สั้นเกินไปแล้ว แค่สิบห้าปีเท่านั้นเองหรือ” บรรดายอดฝีมือแทบจะทั้งหมดของจวนโหวที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ นั้นต่างก็ตื่นตระหนกเหลือแสน เนื่องจากยิ่งบุตรที่ถือกำเนิดขึ้นมาไร้เทียมทานมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งอยู่ในครรภ์นานขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้แทบจะเป็นความรู้ทั่วไป! หากตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในครรภ์สักสามสี่ร้อยปี พวกเขาก็จะไม่แตกตื่นอะไรนัก แต่กลับเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าตกใจ
“เดิมทีข้าต้องมิได้ออกมารวดเร็วถึงเพียงนี้หรอก” เสียงใสกังวานดังก้องขึ้น
ทันใดนั้นสายตาของบุคคลระดับสูงแทบจะทั้งหมดในจวนโหวก็จับจ้องมาที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เด็กน้อยเจ้าเนื้อฟันขาวปากแดงเท้าเปล่าเปลือย ทว่าเด็กน้อยกลับพูดอย่างโมโหอยู่บ้างว่า “ข้ากำลังอยู่ในท้องท่านแม่อย่างสุขสบาย แสนสุขสบาย กลับได้ยินว่าข้างนอกมีผู้ที่ชื่อว่าพ่อบ้านเถียนจะบังคับกรอกน้ำยาพิษเข้าปากท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้าดิ้นรนสุดชีวิตก็มิอาจขัดขวางได้ ข้าสามารถสัมผัสรับรู้ทุกสิ่งที่โลกภายนอกได้ รู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงรีบตัดขาดความสัมพันธ์กับสายรกในทันที และทำได้เพียงเกิดก่อนกำหนดเท่านั้น หากไม่เชื่อ พวกท่านสามารถตรวจสอบดูได้ จะต้องพบยาพิษอย่างแน่นอน” เขาพูดพลางชี้ไปทางก้อนเนื้อที่แยกออกมาก้อนนั้น
“อะไรนะ”
“ถูกบีบบังคับให้คลอดก่อนกำหนดอย่างนั้นหรือ”
“ยาพิษหรือ”
แต่ละคนในที่นั้นต่างพากันตกใจ ท่านโหวหั่วเลี่ยก็ยิ่งสีหน้าคล้ำเขียว ผู้อาวุโสบางคนถึงขั้นย้อนเวลาเพื่อตรวจสอบ แม้กาลมิติจะถูกรบกวนจนมองไม่เห็นฉากที่พ่อบ้านเถียนบีบบังคับ แต่ก็เพราะถูกรบกวนนี่เอง…จึงไม่ปกติ! นอกจากนี้การย้อนเวลาก็ทำให้พวกเขามั่นใจว่าตั้งครรภ์เพียงแค่สิบห้าปีจริงๆ
“แค่สิบห้าปีจริงด้วย สิบห้าปีก็บ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ขึ้นมาได้ แต่กลับถูกบังคับให้คลอดก่อนกำหนด หากเป็นตามปกติแล้ว บ่มเพาะสักหลายร้อยถึงพันปี เกรงว่าสายเลือดก็คงเข้มข้นกว่ามาก เกิดมาก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งได้กระมัง” ทุกคนในที่นั้นต่างพากันใจสะท้าน คนจำนวนไม่น้อยพากันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เกิดออกมาก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือ
ทั้งรัฐเมฆทักษิณา ผู้ที่เกิดมาเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ พวกเขาล้วนได้รับการปกป้องและบ่มเพาะอย่างเต็มกำลัง แต่ละคนล้วนสำเร็จเป็นขั้นอลวนได้อย่างง่ายดาย แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ผู้ที่ได้เป็นอ๋องมีมากถึงสองคนด้วยกัน!
“บังอาจ!” ผู้อาวุโสประจำตระกูลร่างสูงผอมตะคอกอย่างโมโห “อภิชาตบุตรเช่นนี้ของตระกูลอิงซานเรากลับถูกบังคับให้คลอดก่อนกำหนด อยู่ในครรภ์เพียงสิบห้าปีเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วอนาคตของเจ้าหนูอิงซานเสวี่ยอิงก็คงสูงกว่านี้มาก! ท่านโหวหั่วเลี่ย จวนโหวของท่านมีผู้ที่หาญกล้าฝ่าฝืนกฎของตระกูลอิงซานเราด้วย”
ท่านโหวหั่วเลี่ยก็มีเพลิงโทสะสูงเทียมฟ้าเช่นเดียวกัน
“อิงซานเลี่ยฮู่เล่า คนเป็นบิดาอย่างเขาไปอยู่ที่ไหนกัน” ท่านโหวหั่วเลี่ยมีเพลิงโทสะสูงเทียมฟ้า สายตาพลันกวาดมองไปคราหนึ่งก็ไม่เห็นบุตรชาย
“เขา เขาคงจะยังอยู่ในหอม่านเมฆน่ะ” ชายชราคนหนึ่งด้านข้างพูดเสียงต่ำ
อิงซานเลี่ยฮู่ พลังอ่อนแอ มักจะท่องไปตาม บุคคลระดับสูงผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงภายในตระกูลล้วนคร้านจะไปมาหาสู่กับเขา จึงย่อมมิมีผู้ใดตั้งใจถ่ายเสียงไปบอกเขาโดยเฉพาะ ผู้เป็นบิดายังคงดื่มด่ำอยู่ภายในแหล่งเริงรมย์ ก็ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก ทว่าอิงซานเลี่ยฮู่มีบุตรตั้งสามร้อยสี่สิบคนแล้วก็ยังไม่เคยใส่ใจมาก่อน
“ตรวจสอบ ตรวจสอบ ตรวจสอบให้ข้าเสีย ว่าที่แท้แล้วผู้ใดลงมือกันแน่ ยังมีอีก จับตัวเจ้าทึ่มอิงซานเลี่ยฮู่นั่นกลับมาด้วย” เสียงของท่านโหวหั่วเลี่ยดังก้องไปทั่วฟ้า แต่ละคนรบด้านล้วนมิกล้าเปล่งเสียง ฉานอวี้เยี่ยนเจินยิ่งรู้สึกใจสะท้านไปหมด
……………………………..