ภาคที่ 4 บทที่ 192 ไก่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 192 ไก่

ภายในห้องแห่งหนึ่ง

ผลึกแก้วต้นกำเนิดขนาดเล็กหมุนอยู่ในอากาศ คอยปล่อยพลังต้นกำเนิดออกมา พลังงานเหล่านี้จะถูกรวบรวมและส่งผ่านอักขระของค่ายกลพลังต้นกำเนิด ก่อนที่จะไหลบ่าเข้าสู่ร่างของไก่ตัวใหญ่

เจ้าไก่ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด หากไม่ใช่เพราะซูเฉินใช้ยาฟื้นพลังอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาชีวิตน้อย ๆ นี้เอาไว้ มันก็คงจะตายไปนานแล้ว ถึงกระนั้นกระแสพลังต้นกำเนิดที่ไหลบ่าเข้าไปในร่างของมันก็ยังสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก จนทำให้มันร้องโหยหวนและคร่ำครวญไม่หยุด

ถึงชายหนุ่มจะไม่มีตัวแยกพลังต้นกำเนิดอย่างของอารามศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็ยังใช้ผลึกแก้วต้นกำเนิดแทนได้

ผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับกลางถูกเอามาใช้งานกับไก่บ้าน ๆ ธรรมดาตัวหนึ่ง หากเรื่องนี้มีใครรู้เข้า พวกเขาจะต้องเสียน้ำตาอย่างแน่นอน

ทว่าซูเฉินก็ไม่ได้สนใจ

การทดลองมักจะผลาญเงินอยู่เสมอ

เมื่อเขาใช้พลังงานภายในผลึกแก้วต้นกำเนิดจนหมดแล้ว มันก็สลายกลายเป็นผงไป ซูเฉินปล่อยมือและจ้องไปที่ไก่แล้วพูดว่า “แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว”

“แค่นี้ ?” ตานปาจ้องมองที่ไก่อย่างสงสัย

สิ่งที่ซูเฉินทำในตอนนี้ การจำลองพิธีเจิมน้ำมนต์ของอารามศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ามันโหดร้ายกว่าของจริงมาก เนื่องจากเขาได้ใช้ผลึกแก้วต้นกำเนิดแทนตัวแยกพลังต้นกำเนิด และใช้แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดแบบง่ายแทนที่อักขระค่ายกลอันซับซ้อน แต่อัจฉริยะแบบไหนกันที่สามารถสร้างอารามพลังต้นกำเนิดแบบฉบับจำลองขึ้นมาได้เพียงวันเดียว หลังจากที่ได้เห็นอักขระค่ายกลอาราม ? ตานปาไม่สามารถเข้าใจได้เลยจริง ๆ

เป้าหมายของการทดลองนี้คือไก่ตัวผู้ที่ว่านี้

ไม่ใช่ว่าซูเฉินไม่สามารถหาเป้าหมายที่ดีกว่านี้ได้ แต่เพราะนี้คือแบบจำลองอย่างง่ายที่สามารถจัดการได้แค่พลังจากผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับกลางเท่านั้น และผลึกแก้วระดับนี้สามารถใช้เสริมความแข็งแกร่งได้เพียงไก่หรือสิ่งที่ระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น กล่าวก็คือพิธีเจิมน้ำมนต์นั้นใช้พลังงานสิ้นเปลืองอย่างมาก แต่เพราะตัวแยกพลังต้นกำเนิดที่ช่วยดึงพลังต้นกำเนิดออกมาจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ โดยตรง มันจึงเป็นต้นทุนต่ำกว่าผลึกแก้วต้นกำเนิดมาก

ดังนั้นแม้ว่าซูเฉินสามารถสร้างอารามพลังต้นกำเนิดขึ้นมาได้ แต่ทั้งขนาดและผลลัพธ์ล้วนไม่คุ้มค่า ทั้งยังเหมาะสำหรับทำการทดลองเท่านั้น

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย” ตานปากล่าว

“รอก่อน อย่าเพิ่งรีบ” ซูเฉินตอบ

ทันทีที่เขาพูดจบ เจ้าไก่ก็โก่งคอขันขึ้น ก่อนจะเริ่มจิกกรงเหล็กที่ขังมันเอาไว้

ถึงแม้กรงที่ทำมาจากเหล็กเส้นธรรมดาจะไม่ใช่ของอะไรที่แข็งแรงนัก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ปีกธรรมดาทั่วไปจะจิกกัดจะมันหักได้

อย่างไรก็ตาม พริบตานั้นเรื่องเกินคาดก็ได้เกิดขึ้น จะงอยปากไก่ได้จิกทำลายกรงเหล็กจนพัง

ไก่ตัวนั้นพุ่งออกจากกรง มันกระพือปีกอย่างเต็มกำลังแล้วบินขึ้นไปในอากาศ การกระพือปีกนี้แรงมากพอที่จะถูกนับเป็นการโจมตีได้เลย

ซูเฉินกับตานปาหันมามองหน้ากันและตะโกนพร้อมกันว่า “สำเร็จแล้ว !”

แม้ว่าไก่จะบินได้ แต่มันก็ถูกจำกัดด้วยรูปร่างตามธรรมชาติ จึงทำได้เพียงลอยไปมารอบ ๆ ในความสูงระดับต่ำเท่านั้น ดังนั้นหลังจากกระพือปีกสองสามครั้งมันก็ร่อนกลับลงมา ทว่าท่าทางของมันกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันเริ่มชูคอเดินเตร่ไปมาอย่างเย่อหยิ่ง บางครั้งมันก็ก้มลงจิกพื้นแล้วทิ้งหลุมลึกไว้เบื้องหลัง

ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ทรงพลังพอที่จะถูกนับเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำสุด

ถึงการใช้ผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับกลางเพื่อสร้างสัตว์อสูรระดับต่ำสุดจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมาก แต่ซูเฉินกับตานปาก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย การประสบความสำเร็จในการสร้างอารามพลังต้นกำเนิดแบบจำลอง นั่นหมายความได้ว่าซูเฉินเข้าใจถึงวิธีการทำงานของอารามพลังต้นกำเนิดอย่างถ่องแท้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ก็เพียงเพราะปัญหาด้านทรัพยากรที่ขาดไปแค่นั้นเอง

สำหรับซูเฉินผู้ที่สนใจเพียงหลักการเบื้องหลังและไม่ได้คิดอยากที่จะสร้างอารามขึ้นมาใหม่แล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น

ความสำเร็จของการทดลองทำให้ทั้งตานปาและซูเฉินตื่นเต้นอย่างยิ่ง จนลืมความแค้นที่ผ่านมาระหว่างพวกเขาไปสิ้น แล้วเริ่มลงมือวิจัยขั้นต่อไปด้วยกันแทน

ณ จุด ๆ นี้ตานปาได้กลายเป็นผู้ช่วยของซูเฉินไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับตานปา โลกของซูเฉินนั้นทั้งลึกลับและกว้างใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำในสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้ แต่เขาก็ยังคงหวังว่าจะสามารถขยายมุมมองของตัวเองและเข้าใจโลกมากขึ้น ผ่านการพูดคุยหรือทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับซูเฉิน – คนฉลาดที่แท้จริงต้องเก่งเรื่องการใช้สมองในการคว้าโอกาสเพื่อเรียนรู้

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องมีทั้งความรู้และไหวพริบ แค่ฉลาดแต่ไม่เฉลียวไม่อาจเรียกว่าคนฉลาดที่แท้จริงได้

ทั้งสองหมกมุ่นไปกับการค้นคว้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักพวกเขาก็ทั้งลืมเวลาและทุกสิ่งทุกอย่าง

แน่นอนว่ารวมไปถึง ‘ไก่’ ตัวหนึ่งด้วย

มันก็แค่ไก่ตัวหนึ่ง และไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สังเกตว่า ‘ไก่’ ตัวที่ว่านั้นได้หายตัวไปแล้ว

————————————————

ฮาเล่อจี้เป็นตลาดสดแห่งหนึ่งในปราการกู่หลาน ผู้คนมักจะมาแลกเปลี่ยนสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่นี่กันซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนเถื่อนที่มีสถานะระดับล่างสุดอย่างชาวนาหรือข้ารับใช้

วันนี้เหล่าคนเถื่อนในตลาดฮาเล่อจี้ก็ยังคงทำมาค้าขายกันอย่างคึกคักดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา

แม้ว่าพวกคนเถื่อนจะเคยชินกับการถูกปล้นและการปล้นคนอื่น แต่พวกเขาก็ยังมีกฎระเบียบภายในของตัวเอง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่คนเถื่อนเหล่านี้ก็ยังคงดูเหมือนคนที่กำลังจะสู้กันเองมากกว่าเวลาโต้เถียงต่อรองกัน เมื่อดูจากสายตาอาฆาตกับจิตสังหารที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

“ดาบเล่มนี้ราคาเท่าไหร่ ?”

“ 20 เหรียญกระดูก”

“นั่นมากเกินไป ข้าให้เจ้า 10 เหรียญ”

“ไสหัวออกไปซะ”

“นี่เจ้ากล้าสาปส่งข้างั้นรึ หาที่ตาย !”

ปัง !

แล้วพวกเขาก็สู้กันทั้งอย่างนั้น

ฉากแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดามากและมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมันก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรเกิดขึ้น พวกเขามักจะแยกกันไปทางใครทางมันหลังจากการต่อสู้จบลง คนเถื่อนคุ้นเคยกับการต่อสู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ในสายตาของพวกเขาการต่อสู้ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการเจรจา ฝ่ายที่ชนะมักจะมีข้อได้เปรียบในการกำหนดราคา และหากอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย พวกเขาจะต่อยตีกันต่อไป

เห็นได้ชัดว่าคนเถื่อนให้ความสำคัญกับการตัดสินกันด้วยกำลังมาก ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดมากแค่ไหนหากไร้ซึ่งกำลัง แม้แต่การซื้อขายก็ยังเป็นเรื่องยาก

ในขณะที่กลุ่มคนเถื่อนในตลาดกำลังเจรจากันอย่างวุ่นวาย ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นไก่ตัวหนึ่งเดินเข้ามา

เป็นท่าทีการเดินที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกราวกับว่า มันกำลังเดินเอามือสองข้างล้วงกระเป๋าและเชิดคออย่างอวดดีประหนึ่งอันธพาลเจ้าถิ่นยังไงอย่างงั้น และยังชวนให้มนุษย์รอบข้างรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง

เสียดายคนที่เห็นฉากนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นคนเถื่อน

เหล่าคนเถื่อนอาศัยและเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเสมอ ดังนั้นเมื่อเห็นไก่ตัวนี้ ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกายขึ้น

“ไก่ !” เขาคำรามขณะที่พุ่งออกไปข้างหน้าเพื่อพยายามจับมัน

ตามกฎของฝูงชนแล้ว ไก่ตัวนี้ที่ไม่ได้ถูกขังอยู่ในกรงนั้นนับว่าเป็นไก่ที่ไม่มีเจ้าของ ดังนั้นใครก็ตามที่จับมันได้ก็จะได้เป็นเจ้าของมัน แม้ว่าอดีตเจ้าของจะมาพบแล้วอ้างสิทธิ์ครอบครอง พวกเขาก็ต้องต่อสู้เพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็นเจ้าของใหม่ของไก่

เหล่าคนเถื่อนต่างก็เพ่งความสนใจไปที่การขัดขวางคนเถื่อนข้างตัว จึงไม่มีใครสนใจปฏิกิริยาของ ‘ไก่’ ตัวที่ว่านั้นเลยสักคน

เมื่อเจ้าไก่ที่กำลังเดินกรุยกรายอยู่ เห็นคนเถื่อนกระโจนเข้าใส่ ร่างของมันก็สั่นขึ้นชั่ววูบ

ท่าทีของมันดูราวกับมนุษย์ผู้หนึ่งที่กำลังสะดุ้งตกใจ

จากนั้นมันก็ยกกรงเล็บขึ้น

จากนั้นมันก็เตะกรงเล็บเล็ก ๆ ข้างนั้นออกไปด้านหน้า

พริบตาต่อมาฉากที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น คนเถื่อนที่กระโจนเข้าใส่ไก่ถูกส่งบินออกไปด้วยกรงเล็บเล็ก ๆ ของไก่ตัวที่ว่า

ก้อนเนื้อก้อนใหญ่ลอยพุ่งกระแทกเข้าใส่ฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่รอบ ๆ

และในทันทีที่คนเถื่อนผู้ถูกเตะกระเด็นหันไปมองเจ้าไก่หลังตกถึงพื้น เขาก็เห็นว่ามันกำลังหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไป

หากเป็นคนทั่วไปแล้ว ก็คงจะมีใครสักคนสังเกตเห็นถึงความแปลกประหลาดของสถานการณ์ในตอนนี้ และคงจะไม่บุ่มบ่ามเคลื่อนไหวอะไรอีก

อย่างไรก็ตาม คนพวกนี้คือคนเถื่อนไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาส่วนใหญ่มักจะทำตามสัญชาตญาณมากกว่าหลักเหตุผล หลายหมื่นปีที่พวกมันเลี้ยงไก่มาไม่เคยมีใครต้องระมัดระวังสัตว์ตัวน้อยนี้

หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้มีความระมัดระวังเป็นสิ่งหายากในหมู่คนเถื่อน เมื่อเห็นว่าไก่พยายามที่จะวิ่งหนี พวกเขาทั้งหมดจึงพุ่งไปไล่จับมันทันที

เจ้าไก่สะดุ้งด้วยความตกใจอีกครั้ง และก็เริ่มกระพือปีกโผทะยานไปข้างหน้า

ถึงกระนั้น ความเร็วของฝูงคนเถื่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่การบินหนีจะช่วยได้ สำหรับสิ่งมีชีวิตบางประเภท การวิ่งเร็วกว่าการบินจริง ๆ

คนเถื่อนบางคนที่รวดเร็วกว่าคนอื่น ได้ยกมือขึ้นตบไก่ที่บินอยู่ในความสูงระดับต่ำขณะที่พวกเขาพากันแย่งตะโกนว่า “มันเป็นของข้า !”

เจ้าไก่ที่ดูเหมือนกำลังจะถูกฟาด หันกลับมาและถีบหน้าส่งหนึ่งในคนเถื่อนที่ไล่ตามมาจนใกล้มันบินกลับไป จากนั้นมันก็กระพือปีกเหวี่ยงตัวกลับในอากาศ ก่อนจะใช้กรงเล็บของมันจิกและโยนคนเถื่อนอีกหนึ่งลอยกลับไป หลังจากส่งผู้โชคร้ายกระเด็นไปแล้วมันก็ร่อนลงจอดบนพื้นอย่างสง่างาม

“กะตัก ! กะต๊าก !”

เจ้าไก่ยืดคอส่งเสียงร้องก่อนจะสะบัดหน้ากลับเตรียมจะจากไป

ทว่าจู่ ๆ คนเถื่อนที่มันเตะก่อนหน้านี้ กลับยกมือขึ้นและคว้าขาของมันเอาไว้ “มาดูกันว่าทีนี้เจ้าจะเตะข้ายังไง !”

เจ้าไก่โกรธจัดและจิกมืออีกฝ่ายอย่างแรง ทำให้คนเถื่อนผู้นั้นต้องร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มือของเขาถูกจิกจนหัก เมื่อพันธนาการคลายออกมันก็หลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย

เหตุการณ์ที่เกิดอย่างกะทันหันเบื้องหน้าทำให้ทุกคนตะลึงงันไป และในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่าไก่ตัวนี้ไม่ใช่ไก่ปกติธรรมดา

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าเจ้าไก่ในตอนนี้ยังคงโกรธไม่หาย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะถูกคนเหล่านี้ไล่ตามมาไม่หยุดก็เป็นได้

มันไม่ได้พยายามจะหลบหนีอีกต่อไป มันกลับหันมาและพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนเถื่อนแทน

มันพุ่งเข้าจู่โจมด้วยความคิดริเริ่มของตัวเอง !

“หาที่ตาย !” พวกคนเถื่อนร้องตะโกนขณะเหวี่ยงแขนขึ้นไปในอากาศ

แค่มีจะงอยปากกับกรงเล็บที่ทรงพลัง ก็คิดว่าแข็งแกร่งแล้วงั้นหรือ ?

ไก่ตัวนั้นพุ่งตรงมาอย่างก้าวร้าว ขณะที่ทุกคนกำลังพยายามที่จะกดมันลงกับพื้น ทันใดนั้นมันก็สลัดขนบนตัวของมัน ขนเหล่านั้นพลันกระจายตัวออกเป็นรูปพัด เมื่อขนหลุดออกมาความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และปักลงบนตัวของคนดุจศรคมลูกเล็ก ๆ เปลี่ยนฝูงชนให้กลายเป็นกลุ่มหมอนอิงขนนก

เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาตระหนักขึ้นมา ว่าไก่ตัวนี้ที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่อาจจะเป็นตัวพวกมันเอง เป็นเหล่าคนเถื่อนมีสถานะระดับล่างเองที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ

ไก่ส่งเสียงร้องและสลัดขนมากมายบนตัวมันออกไปอีกครั้ง จนเหลือแต่ตัวเปล่า

มันกระพือปีกกลับลงพื้น เหลือบมองร่างเปลือยเปล่าของมัน ก่อนจะโก่งคอขันจากนั้นมันก็วิ่งเข้าไปอาละวาดต่อในตลาดสด

มันวิ่งไปทั่วอย่างดุเดือด กรงเล็บทั้งสองกระหน่ำเหยียบลงบนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทิ้งรอยกรงเล็บลึกเอาไว้ตามทาง คนเถื่อนมากมายถูกมันทั้งถีบทั้งจับโยนกระเด็นใส่แผงลอยข้างทาง

เหล่าคนเถื่อนยังคงไล่ล่ามันไปรอบตลาดสด ทำให้เกิดเสียงกระแทกโครมครามขึ้นมาหลายครั้งขณะที่ไก่และผู้ติดตามของมันทำลายแผงขายของและร้านค้าต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในตลาด

หลังพวกเขาได้มองดูไก่ตัวนั้นวิ่งไปมาทั่วตลาด ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า

นี่มันไก่บ้าอะไรกัน ? ทำไมมันถึงได้ทำตัวผิดธรรมชาติเช่นนี้ ?!

พวกเขาไม่เคยเห็นไก่ตัวผู้ที่ไหนแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อนเลย

ไม่มีใครเคยเห็นสัตว์อสูรที่ดูเหมือนไก่มาก่อน แต่มันก็มีพลังเกินกว่าจะเป็นแค่ไก่บ้านเช่นกัน !

แม้ในใจจะยังคงสงสัย แต่พวกเขาก็ยังต้องจับมันเอาไว้ให้ได้

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายอันเหลือเชื่อที่เกิดขึ้น ในที่สุดเจ้าไก่ก็ถูกจับตัว

อาจเป็นเพราะมันเหนื่อยล้าจากการวิ่งพล่านไปทั่วมานาน หัวของไก่จึงห้อยลงมาเล็กน้อย ราวกับว่าตอนนี้มันอ่อนแอและไม่มีเรี่ยวแรง

เมื่อเห็นแบบนั้น ทุกคนก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมันดี

หนึ่งในคนเถื่อนใช้ความคิดของเขาและตะโกนออกมาว่า “เหตุใดเราไม่ถวายมันให้ฝ่าบาทเล่า ?”