ภาคที่ 4 บทที่ 193 สู่พิสดาร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 193 สู่พิสดาร

“ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่า ตราบใดที่เส้นเลือดที่ถูกทำลายโดยพิธีเจิมน้ำมนต์ของอารามพลังต้นกำเนิดถูกสร้างขึ้นมาใหม่พวกมันก็ยังสามารถฝึกฝนได้หรอกหรือ ? แล้วเหตุใดจึงยังต้องทดลองมากมายอีก ?”

ตานปากับซูเฉินพูดคุยกัน ขณะที่พวกเขากำลังศึกษาค้นคว้า

ซูเฉินดึงเอาผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับกลางออกมา ใช้ทดลองกับหนูต่อไปอย่างฟุ่มเฟือยและตอบคำถามอีกฝ่าย

“ในเชิงทฤษฎีนั้นก็ใช่ แต่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายอย่างนั้น เจ้าเองก็รู้ดีใช่ไหมล่ะว่าสาเหตุที่คนเถื่อนไม่สามารถฝึกฝนพลังต้นกำเนิดได้ ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าไม่สามารถสัมผัสถึงพลังงานพวกนั้น แต่เป็นเพราะร่างกายของพวกเจ้าจะแปลงพลังต้นกำเนิดทั้งหมดที่พวกเจ้าสัมผัสเป็นพลังชีวิต ซึ่งจะไปช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายแทน วิธีที่ข้าคิดค้นขึ้นนี้คือการยับยั้งความสามารถการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เพื่อให้ร่างกายของพวกเจ้าสามารถเก็บพลังต้นกำเนิดเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ด้วยวิธีนี้ร่างกายของพวกเจ้าก็จะเริ่มสะสมมีพลังต้นกำเนิดเพิ่มขึ้นทีละน้อย”

ตานปาไม่เข้าใจ “แล้วมันหมายความว่ายังไง ?”

“จริง ๆ แล้ววิธีนี้มีส่วนที่ต้องจ่ายแลกไปอยู่ ก็คือความแข็งแกร่งทางกายภาพของเจ้าจะลดลง ทว่าสำหรับคนเถื่อนแล้ว มันก็นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง สมมุติว่าหากเราแทนที่ความแข็งแกร่งของร่างกายคนเถื่อนที่ยังไม่ได้เข้าพิธีเจิมน้ำมนต์ให้เท่ากับ 100 หน่วย และเมื่อสละความแรงกายนั้นไปสัก 20 หน่วย เจ้าก็จะได้รับความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดมา พลังที่จะช่วยทำให้พวกเจ้าสามารถควบคุมดินน้ำลมไฟ และฟ้าฝนได้ จากนั้นพวกเจ้าก็จะมีทักษะการต่อสู้และกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้ใช้งานได้มากขึ้น แม้ว่าปริมาณของพลังจะมีเท่า ๆ กัน แต่การรวมกันของพลังต้นกำเนิดกับความแข็งแกร่งทางกายภาพ นับว่าทรงพลังและยืดหยุ่นมากกว่าการมีพลังงานชีวิตที่แกร่งกล้าเพียงอย่างเดียว”

“ข้าเข้าใจหลักการนี้”

“แต่วิธีการของอารามพลังต้นกำเนิด เป็นการบีบบังคับพลังต้นกำเนิดให้เข้าสู่ร่างกายเป้าหมาย พลังต้นกำเนิดจำนวนมากจะไหลเข้าสู่ร่างกายของคนเถื่อน ในระดับที่เร็วเกินกว่าร่างกายจะแปลงพวกมันเป็นพลังชีวิตได้ทัน โดยพื้นฐานแล้ว การสร้างสถานการณ์เกินขีดจำกัดและบังคับสร้างทะเลพลังต้นกำเนิดขึ้นในร่างกายนั้น เป็นวิธีที่ดูเรียบง่าย แต่กลับทั้งรุนแรงและไร้เหตุผล จนถึงขั้นที่ส่งผลเสียต่ออายุขัยของพวกเจ้าด้วยซ้ำ”

“เจ้าต้องการที่จะลดผลกระทบต่ออายุขัย ?” ตานปาเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ซูเฉินพยักหน้า

“จะลดไปได้มากแค่ไหน ?”

“นั่นขึ้นอยู่กับการทดลอง” ซูเฉินกล่าวขณะตบหนูตัวน้อยเบา ๆ “ทุกอย่างล้วนมีวิธีการ ยิ่งพัฒนาวิธีการที่ดีมากขึ้นเท่าไร ผลกระทบก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น”

“ข้ามีเวลาอยู่ไม่มาก”

“ข้าเองก็เช่นกัน” ซูเฉินหัวเราะ “ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานหรอก”

“ไม่รู้เพราะอะไร แต่ยิ่งได้ยินเจ้าพูดแบบนั้น ข้ากลับรู้สึกกังวลยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ข้าอดไม่ได้ที่รู้สึกเหมือนกับว่าเจ้ากำลังปิดบังอะไรจากข้าอยู่เสมอเลย” ตานปาพูดอย่างระมัดระวัง

ซูเฉินยักไหล่ “เจ้าก็แค่คิดมากไป คนฉลาดมักจะสงสัยอยู่เสมอ”

“งั้นหรือ ? ถ้าเช่นนั้น เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเหตุใดเจ้าถึงได้สนใจเผ่าคนเถื่อนมากขนาดนี้” ตานปาถามขึ้น

“ในใจเจ้าไม่ได้คิดว่าคนเถื่อน เป็นเพียงแค่กลุ่มสุนัขที่เจ้าต้องการจะควบคุมหรอกหรือ ? นี่ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนทางธุรกิจใช่หรือไม่ ? เจ้าช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ข้า ในขณะที่ข้าให้ความรู้แก่เจ้า ในเมื่อเราบรรลุเป้าหมายการแลกเปลี่ยนแล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้สนใจเรื่องอายุขัยของพวกข้ามากนัก ?”

มือของซูเฉินยังคงกดหนูตัวเล็กไว้แน่น เขากล่าวว่า “ข้าก็แค่พยายามทำตามสัญญาของข้าให้ดีที่สุด”

ตานปาพูดต่อด้วยความสงสัย “ช่วยข้าทำลายข้อจำกัดของพิธีเจิมน้ำมนต์ นั่นคือคำสัญญาของเจ้า ส่วนราคาที่พวกข้าต้องจ่ายนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะกังวล หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงจะไม่ทำเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่า … ”

“เว้นแต่ข้าจะมีแรงจูงใจแอบแฝงที่จะทำเช่นนั้น ?” ซูเฉินถามกลับ

ตานปาพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังคิด”

จิ๊ด !

แสงจากผลึกแก้วต้นกำเนิดส่องไปที่หนูตัวน้อย และทำให้มันส่งเสียงกรีดร้องออกมา

ซูเฉินถอนหายใจ “มันไม่ง่ายเลยที่จะหลอกตาเจ้า”

“งั้นเจ้าก็มีเป้าหมายอื่นแฝงอยู่จริง ๆ สินะ”

ซูเฉินไม่ได้พูดอะไร จุดแสงพลังต้นกำเนิดเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนมือของเขาลามไปหาหนูตัวน้อย และดึงเอาพลังต้นกำเนิดในร่างกายของหนูออกมา ปรับเปลี่ยนและควบแน่นมันภายนอก

“นี่มัน …” ตานปาหรี่ตาลง

“ก็อย่างที่เจ้าเห็น … มันคือแท่นบงกช” ซูเฉินตอบ

“เจ้ากำลังสร้างแท่นบงกช ?”

“ข้าแค่กำลังพยายามหาวิธีที่เหมาะสมในการสร้างแท่นบงกช” ซูเฉินกล่าว

ตานปาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างถมึงทึง

สุดท้ายแล้วชายผู้นี้ก็แค่กำลังตามหาอะไรบางอย่าง

เขาไม่ได้ศึกษาค้นคว้าวิธีรักษาอายุขัยของคนเถื่อนเลย แต่กำลังค้นคว้าวิธิทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดของเขา ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาปฏิเสธที่จะบอกความจริง เพราะผู้ชายคนนี้กำลังใช้งานตานปาเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง

ตานปาถามต่อ “เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีที่จะลดผลกระทบเรื่องอายุขัยของพวกข้าได้เลยหรือ ?”

ซูเฉินหัวเราะและตอบว่า “มันช่วยได้เล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วผลกระทบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อย่างที่เจ้าพูด ข้าไม่ได้สนใจมัน และเจ้าเองก็ไม่ได้สนใจผลกระทบเพียงเล็กน้อยนั้นเช่นกันมิใช่หรือ”

“เจ้ารู้ตัวใช่ไหมว่าเจ้านี่มันสารเลวจริง ๆ”

“ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ใส่ใจ เรื่องนี้สำคัญสำหรับข้ามาก”

“แน่นอน วิธีทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดจะไม่สำคัญได้อย่างไร” ตานปาถอนหายใจ “ในเมื่อเจ้ามีเวลามาศึกษาเพิ่มเติมได้ แสดงว่างานทดลองของเจ้าคงใกล้จะสำเร็จแล้วใช่ไหม ?”

“อันที่จริงคือข้าทำมันสำเร็จแล้ว” ซูเฉินตอบ

ตานปาตกตะลึง

อะไรนะ ? ทำสำเร็จแล้ว ?

ความปรารถนาของวีรบุรุษมนุษย์นับไม่ถ้วนนานนับพันปี ความใฝ่ฝันของใครหลายคนที่พยายามจะทำมันให้สำเร็จ เขาประสบความสำเร็จนั้นแล้วอย่างนั้นเหรอ ?

ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจของตานปา แล้วเขาก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น “อารามพลังต้นกำเนิด ?”

ซูเฉินพยักหน้า

แรกเริ่มเดิมที ซูเฉินได้เผชิญกับปัญหาใหญ่อยู่ 2 ประการเมื่อพยายามจะหาวิธีทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร หนึ่งคือวิธีการควบแน่นพลังต้นกำเนิดเพื่อให้พลังงานที่เป็นเหมือนของเหลวแข็งตัวขึ้น สองคือการใช้แรงกดจากภายนอกเพื่อขึ้นรูป แกะสลัก และหล่อหลอมพลังต้นกำเนิดเพื่อสร้างทักษะพิเศษ

หลังจากที่สร้างวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ขึ้นมาแล้ว ซูเฉินก็สามารถแก้ไขปัญหาแรกได้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่สองได้

แรงกดดันจากภายนอกนี้จำเป็นต้องทรงพลังอย่างยิ่ง – ต้องมีพลังต้นกำเนิดเพียงพอ และพลังงานทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของซูเฉินโดยสมบูรณ์ ทั้งยังต้องเข้ากันได้กับพลังต้นกำเนิดภายในร่างกายของเขา เพราะความต้องการที่สูงมากนี้ จึงทำให้ซูเฉินไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญคนใดคนหนึ่งมาช่วยสร้างกดดันให้เขาได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อซูเฉินได้เห็นวิธีการของอารามพลังต้นกำเนิด หนทางในการแก้ปัญหาทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นมาในทันใด

ไม่ใช่ว่านี่คือแรงกดดันจากภายนอกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารหรอกหรือ ?

พลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังและบ้าคลั่งของอารามพลังต้นกำเนิด และความจริงที่ว่าไม่มีสิ่งใดที่ควบคุมพลังงานเหล่านั้นได้ทำให้มันเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับปัญหาที่สอง ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะลองวิเคราะห์และหาวิธีที่จะนำพลังต้นกำเนิดมาใช้ในกระบวนการพัฒนาของเขา

แน่นอนว่าหนูและไก่ไม่จำเป็นจะต้องสร้างแท่นบงกช ซูเฉินแค่ยืมร่างกายของพวกมันมาทดลองเพื่อเก็บประสบการณ์และฝึกให้เชี่ยวชาญ …ทั้งหมดก็เพื่อเตรียมการให้พร้อม !

ทว่าตานปากลับมองออก ก่อนที่เขาจะทันได้ทำทุกสิ่งให้สำเร็จ

“เป็นเช่นนั้นเอง” หลังจากได้ยินคำอธิบายของซูเฉิน ตานปาก็เข้าใจอย่างกระจ่าง “พูดอีกอย่างก็คือ หากเจ้าต้องการจะทะลวงเข้าด่านสู่พิสดาร เจ้าต้องใช้อารามพลังต้นกำเนิดใช่หรือไม่ ?”

“อย่างน้อยที่สุดก็ใช่สำหรับข้า ข้าฝึกฝนวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ ดังนั้นพลังต้นกำเนิดของข้าจึงมีมากกว่าผู้เชี่ยวชาญคนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกันหลายเท่า วิธีปกติจึงช่วยอะไรข้าไม่ได้มากนัก มีเพียงพลังต้นกำเนิดขนาดใหญ่และทรงพลังเช่นเดียวกับที่อารามพลังต้นกำเนิดเท่านั้น ที่จะตอบสนองความต้องการของข้าได้”

“หรือก็คือเจ้ายังไม่สามารถสร้างวิธืทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารให้เสร็จสมบูรณ์ได้ เพราะท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่สามารถให้ทุกคนมาที่อารามพลังต้นกำเนิดเพื่อทะลวงเข้าด่านสู่พิสดารได้ อย่างนั้นสินะ”

นั่นคือความจริง ถึงแม้ว่าซูเฉินจะพบวิธีที่จะทะลวงฝ่าไปได้ แต่วิธีนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้ได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรกับเผ่ามนุษย์เลย

ซูเฉินพยักหน้า “แต่ถ้าข้าสามารถไปถึงด่านสู่พิสดารได้ ข้าก็อาจจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เจ้าควรรู้ก่อนว่ามีแต่การกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจริง ๆ เท่านั้น ถึงจะช่วยให้เข้าใจการทำงานของแท่นบงกชได้มากยิ่งขึ้น ข้าจะแก้ปัญหาส่วนตัวก่อน แล้วจึงแก้ปัญหาของทุกคน นี่อาจเป็นหนึ่งในวิธีที่ข้าจะใช้พัฒนาทักษะต่าง ๆ ในภายภาคหน้า”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าควบคุมได้”

เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ซูเฉินก็หัวเราะ “ฟังดูแล้วเหมือนเจ้าเต็มใจที่จะช่วยข้า ?”

“ข้ายังมีทางเลือกอยู่อีกหรือ” ตานปาสวนกลับ

“เจ้าช่วยให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น แล้วข้าก็ช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น ก็ยุติธรรมดี”

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

——————————————

การพาซูเฉินไปที่อารามพลังต้นกำเนิด และทำให้เขาได้เข้าพิธีเจิมน้ำมนต์นั้นง่ายกว่าการพยายามลอบเข้าไปมากโข ทั้งหมดที่ชายหนุ่มต้องทำคือสวมรอยเป็นคนเถื่อนจากนั้นตานปาก็จะขอนัดหมายให้แก่เขา

สามวันต่อมา ซูเฉินก็ได้เข้าสู่อารามพลังต้นกำเนิดภายใต้ใบหน้าของคนเถื่อน

เมื่อประตูบานใหญ่ของอารามได้ปิดลง ซูเฉินก็เห็นแสงที่คุ้นเคยเริ่มรวมตัวกันเหนือศีรษะของเขาอีกครั้ง

ซูเฉินนั่งอยู่ในสระน้ำ ชูมือขึ้นไปบนฟ้าและเริ่มรับพลังต้นกำเนิดที่พุ่งเข้ามาหาเขา

กระแสพลังต้นกำเนิดพุ่งทะลุผ่านร่างของเขาราวกับมังกรที่ก่อตัวขึ้นจากลม

ถ้าเป็นคนเถื่อน ตอนนี้ก็ถือเป็นเวลาที่พวกเขาควรจะเริ่มรับพลังต้นกำเนิดเข้าไปและพัฒนาตัวเองได้แล้ว

แต่ซูเฉินไม่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อพลังต้นกำเนิดพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา พลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขาก็จะตอบสนองและผลักมันกลับออกไป

พลังต้นกำเนิดที่ถูกซูเฉินขัดขวาง เริ่มสะสมและกลายเป็นคลื่นขนาดใหญ่ที่กระจายตัวไปทั่วอารามพลังต้นกำเนิด ส่องแสงระยิบระยับราวกับหมู่ดาวที่กระจัดกระจาย

ซูเฉินไม่ได้สนใจมัน และยังคงปล่อยพลังงานของตัวเองออกมาภายใต้กระแสพลังต้นกำเนิดนี้ แล้วทำให้มันเริ่มควบแน่นและแข็งตัว

เส้นใยพลังต้นกำเนิดจำนวนมากถักทอไปมาราวกับเส้นร่างขีดเขียนบนแผ่นกระดาษ ในตอนแรก พวกมันดูยุ่งเหยิงและวุ่นวาย แต่เมื่อได้ลองตรวจสอบดูอย่างละเอียด แท้จริงแล้ว พวกมันกลับซ่อนความลึกล้ำของจักรวาลเอาไว้ เส้นใยเหล่านั้นยังคงสะบัดพัวพันกันไปมา ก่อนที่มันจะเริ่มควบแน่นแล้วก่อตัวขึ้นเป็นแท่น

ลวดลายของแท่นบงกชค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

พลังของอารามพลังต้นกำเนิดทำหน้าที่เสมือนค้อนพลังต้นกำเนิดขนาดใหญ่ มันคอยทุบตีแท่นบงกชภายใต้การชักนำของซูเฉินอย่างต่อเนื่อง ทำให้แท่นบงกชค่อย ๆ แข็งตัวและก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง

มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังต้นกำเนิดของเขาอย่างเต็มที่ด้วยพลังที่มีอยู่ ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงต้องการแรงกดดันจากภายนอกเพื่อช่วยทุบตีและปรับแท่นบงกชไปพร้อม ๆ กัน

ในระหว่างกระบวนนี้ ซูเฉินก็ไม่ได้อยู่เฉยอย่างเกียจคร้าน

แม้ว่ารูปร่างของแท่นบงกชของทุกคนจะมีความคล้ายคลึงกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่บางประการ ทำให้พวกมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไปตามแต่ละคน

แท่นบงกชมีประโยชน์หลากหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือความสามารถในการเสริมความแข็งแกร่งของทักษะต้นกำเนิด

พูดง่าย ๆ ก็คือ ทักษะต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีรูปแบบพิเศษบางอันสามารถฝังลงบนแท่นบงกชได้ วิธีนี้จะทำให้สามารถเปิดใช้งานได้เร็วกว่าปกติมาก ยิ่งทักษะต้นกำเนิดทรงพลังมากเท่าใด ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น และข้อจำกัดในการใช้งานเองก็มากขึ้น แท่นบงกชจึงช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมาก เพราะทักษะวิชาที่ถูกเปิดใช้งานผ่านแท่นบงกชจะแข็งแกร่งขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และปลดปล่อยได้ง่ายขึ้นมาก

ทักษะต้นกำเนิดที่ปล่อยออกมาจากแท่นบงกชเหล่านี้จะถูกระบุว่าเป็นวิชาธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้ การเลือกทักษะต้นกำเนิดที่จะเปลี่ยนเป็นวิชาธรรมชาติจึงมีความสำคัญยิ่ง

ซูเฉินได้เลือกวิชาธรรมชาติอันแรกที่เขาต้องการเอาไว้แล้ว

ขณะที่แท่นบงกชวของเขากำลังก่อตัว ลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของพลังงานก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนผิวรอบแท่น ก่อตัวเป็นลวดลายอักขระที่ซับซ้อนและลึกลับ ความผันผวนจาง ๆ ทำให้ลวดลายอักขระดูราวกับกำลังเต้นเป็นจังหวะ

วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย

นี่เป็นวิชาธรรมชาติอย่างแรกที่ซูเฉินเลือก

ไม่มีทักษะต้นกำเนิดใดที่สามารถเปรียบเทียบกับทักษะนี้ได้อีกแล้ว ทั้งในแง่ของความซับซ้อนและการใช้งานได้จริงในการต่อสู้ !