ภาคที่ 4 บทที่ 194 ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 194 ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว

อารามพลังต้นกำเนิดยังคงเทพลังต้นกำเนิดใส่เขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับน้ำตกที่ไหลลงมาไม่หยุด

แท่นบงกชชั้นหนึ่งของซูเฉินค่อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายใต้แรงกระแทกอย่างต่อเนื่องจากค้อนพลังต้นกำเนิดขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม เมื่อสลักอักขระของวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเสร็จสิ้น ซูเฉินก็พบว่าแท่นบงกชของเขาแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่

โดยปกติแล้ว แท่นบงกชจะมีขนาดประมาณหนึ่งกำปั้นที่เกิดจากการควบแน่นของพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาล

ทว่าแท่นบงกชของซูเฉินนั้น กลับมีขนาดใหญ่เกือบจะเท่ากับหัวคน

ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เพราะพลังต้นกำเนิดของเขาถูกควบแน่นเพียงพอ แต่เป็นเพราะวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ที่ฝึก พลังต้นกำเนิดของเขาจึงหนาแน่นกว่าคนทั่วไป

ผลคือหลังจากสลักวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายไปแล้ว เขายังสามารถสลักวิชาธรรมชาติเพิ่มได้อีก

ซูเฉินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

คนส่วนใหญ่มักจะเลือกเปลี่ยนทักษะต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาให้กลายเป็นวิชาธรรมชาติ แต่ซูเฉินทำเช่นนั้นไม่ได้ ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไม่สามารถสลักลงในแท่นบงกชได้ ส่วนวิชาจิตหงส์เพลิงที่แข็งแกร่งรองมาเป็นอันดับสองนั้น อยู่ในฐานพลังจิตของเขาและไม่จำเป็นต้องสลักไว้บนแท่นบงกช หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจสลักสุเมรุสูญของฉือไคฮวงลงไป

สุเมรุสูญของฉือไคฮวงเป็นทักษะต้นกำเนิดประเภทเชิงพื้นที่ มันสามารถปิดผนึกพื้นที่-เวลาที่กำหนด เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตามซูเฉินไม่ได้เชี่ยวชาญในทักษะต้นกำเนิดนี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยได้ใช้มันในการต่อสู้ ตอนนี้ชายหนุ่มก็มีแท่นบงกชแล้ว มันยังสามารถช่วยเขาประหยัดเวลาในการฝึกฝนได้หลายชั่วยาม

ลวดลายอักขระที่ซับซ้อนขยายครอบคลุมแท่นบงกช ในที่สุดสุเมรุสูญก็ถูกสลักลงไปสำเร็จพร้อมกับแท่นบงกชที่ควบแน่นเรียบร้อย

อย่างไรก็ตามขั้นตอนการสร้างแท่นบงกชยังไม่เสร็จสิ้นดี แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีวิชาธรรมชาติสลักไว้ถึง 2 อันแล้ว

ต่อไปซูเฉินจำเป็นต้องลงตราประทับวิญญาณบนแท่นบงกชของเขา

ในการทำเช่นนั้น เขาจะต้องใส่จิตวิญญาณลงในแท่นบงกชเพื่อหล่อเลี้ยงและเสริมสร้างมัน ในขณะเดียวกันก็นับเป็นการเพิ่มพลังจิตไปในตัว

นี่คือสาเหตุที่มนุษย์จะมีพลังจิตเพิ่มมากขึ้นเมื่อฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้ ตราประทับวิญญาณเองยังสามารถทำให้แท่นบงกชมีจิตสำนึก และเคลื่อนไหวได้เองราวกับมีชีวิต

เมื่อซูเฉินประทับจิตวิญญาณของเขาลงในแท่นบงกช มันก็เริ่มส่งเสียงดังกึกก้อง เสียงฮึ่มฮัมพร้อมกับกลีบดอกก็ปรากฏขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ โปรยปรายลอยลงมาอย่างงดงาม

กลีบดอกไม้เหล่านั้นทั้งหมดก่อตัวขึ้นจากพลังต้นกำเนิด พลังจิตของซูเฉินผลต่อทิศทางที่พวกมันร่วงลงมาเมื่อสัมผัสโดน

โชคดีที่ในอารามปิดผนึกแห่งนี้มีชายหนุ่มอยู่เพียงผู้เดียว มิเช่นนั้นหากมีใครด้านนอกเห็นฉากนี้ พวกเขาอาจจะตกใจจนกรามหลุดได้

ปกติแล้ว ตราประทับวิญญาณจะทำให้ขยับเล็กน้อยหรือเรืองแสงจาง ๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าตอนนี้มัน ‘มีชีวิต’ แต่ยามนี้แท่นบงกชของซูเฉินกำลังขยับอยู่อย่างชัดเจน ดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าส่องแสงเป็นประกายและเริ่มผลิบาน หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มควบคุมอย่างระมัดระวัง แท่นบงกชอาจแบ่งออกเป็น 4 หรือ 5 อันเล็ก ๆ ร่างมนุษย์ขนาดจิ๋วที่ดูเหมือนซูเฉินราวร่างแบ่ง นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงกลางแท่นบงกช

ไม่เคยมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคนใดได้ครอบครองมาก่อน

แท่นบงกชบัลลังก์สวรรค์ !

ในตอนนี้อารามพลังต้นกำเนิดสว่างไสวไปด้วยแสงอันเจิดจ้าจากดอกบัวที่กำลังบานสะพรั่ง จิตวิญญาณของซูเฉินที่ฝังแน่นอยู่ภายในนั้น เหมือนจะระเบิดพลังออกมาในทันใด เขาสัมผัสได้ว่าพลังจิตของตนเติบโตขึ้นอีกครั้งจากการหล่อเลี้ยงของแท่นบงกช

แต่เขาไม่สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว ความสนใจถูกเทไปที่ขั้นตอนสุดท้ายในการสร้างแทนบงกชให้เสร็จสมบูรณ์

โซ่ที่ก่อตัวขึ้นจากพลังต้นกำเนิดหลอมรวมกับพลังจิต เริ่มหมุนวนล้อมแท่นบงกชทอดยาวไปยังที่ที่ยังไม่รู้จัก

สะพานนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องสร้างขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ามนุษย์กับแท่นบงกชเชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์

แม้แต่โซ่เหล่านี้ก็แตกต่างจากคนส่วนใหญ่เช่นกัน

โซ่ของคนส่วนใหญ่นั้นเป็นสีขาวโปร่งและไร้ตัวตน ส่วนจำนวนโซ่นั้นมักจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน ถึงจำนวนจริง ๆ จะไม่แน่นอน แต่ไม่เคยเจอเกิน 6 ถึง 7 เส้น

ในกรณีของซูเฉิน โซ่ของเขามีสีทอง ทั้ง 18 เส้นทอดยาวไปสู่ความว่างเปล่า แต่ละเส้นล้วนเต็มไปด้วยอักขระลึกลับที่ปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา

เพื่อให้สามารถควบคุมพลังของธรรมชาติได้ การสร้างสะพานนี้ขึ้นคือข้อกำหนดขั้นสุดท้ายที่จำเป็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร

หลังจากมาถึงจุดนี้ ก็กล่าวได้ว่ารากฐานขั้นพื้นฐานของด่านสู่พิสดารได้ถูกสร้างขึ้นเรียบร้อยแล้ว นอกเหนือจากการสร้างวิชาธรรมชาติแล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดของการเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร นั่นก็คือความสามารถในการยืมพลังจากสวรรค์และปฐพี

ปริมาณพลังงานที่สามารถยืมมาได้ขึ้นตรงกับสะพานเหล่านี้

ซูเฉินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยืดโซ่สีทองของเขาเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่า

มันคือความลึกในอีกระดับหนึ่ง ราวกับว่าโซ่ทั้งหมดกำลังเข้าสู่มิติต่างแดนที่แยกจากความเป็นจริง ทว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันก็ยังคงทำให้กระแสพลังงานภายในร่างกายของชายหนุ่มปั่นป่วน

แท่นบงกชซูเฉินสั่นสะท้านส่องแสงเปล่งประกาย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดโซ่สีทองทั้ง 18 เส้นก็เสถียร หมายความว่าสะพานได้เชื่อมโยงระหว่างความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์จักรวาลอันลึกลับ กับทะเลต้นกำเนิดของซูเฉินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นโซ่ได้อีกต่อไป แต่พันธะระหว่างทั้ง 2 ก็ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

แท่นบงกชลอยลงมาอย่างช้า ๆ และหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา

ตู้ม !

ลำแสงที่ส่องประกายออกมาจากร่างของซูเฉิน บ่งบอกว่าเขาได้เข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้สำเร็จแล้ว

ฟูว !

ซูเฉินลืมตาและถอนหายใจยาว

ในที่สุดก็สำเร็จ

ชายหนุ่มรู้ดีว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาได้เปิดประตูแห่งการฝึกฝนบานใหม่ให้แก่มนุษยชาติอีกครั้งแล้ว

แม้ว่า ‘ประตู’ นี้ยังคงมีข้อจำกัดอย่างมากในการใช้งาน แต่ในอนาคตข้างหน้า ซูเฉินมั่นใจว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ และทำให้วิธีนี้กลายเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนทุกคนสามารถใช้ได้

เมื่อเขาเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออยู่ และพลังงานต้นกำเนิดยังคงไหลลงมาจากเพดานของอารามพลังต้นกำเนิด ซูเฉินจึงตัดสินใจที่จะเริ่มฝึกฝนวิชาเผ่าพันธุ์ของคนเถื่อน เพื่อเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดส่วนเกินไปเป็นพลังชีวิต

ร่างกายโดยกำเนิดของคนเถื่อนนั้นมีความแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่น หลังจากค้นคว้าข้อมูลมาสักพักซูเฉินก็ได้พัฒนาวิธีการบางอย่างเพื่อเลียนแบบ ความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังร่างกายของพวกเขา ชายหนุ่มต้องกินยาก่อนจะกระจายผลของยาไปทั่วร่างกาย เมื่อพลังต้นกำเนิดหลั่งไหลลงมาหาเขา จากนั้นรัศมีพลังชีวิตของซูเฉินก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป

เขายังคงดูเหมือนคนเถื่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่เหมือน แม้กระทั่งภายในก็เริ่มมีลักษณะทางกายภาพที่เหมือนคนเถื่อนมากขึ้น

เพราะพื้นฐานพลังชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ซูเฉินมีคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างที่เป็นของเผ่าคนเถื่อน

มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดที่ดูดซับเข้าไปเป็นพลังทางกายภาพ ที่ทำให้เขามีพลังชีวิตที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามมันยังไม่เพียงพอ ซูเฉินกำลังจะย้อนกลับการทำงานของอารามพลังต้นกำเนิด โดยการแปลงพลังงานต้นกำเนิดเป็นความแข็งแกร่งทางกายภาพ

นี่คือสิ่งที่มีเพียงซูเฉินผู้ที่เข้าใจค่ายกลพลังต้นกำเนิดของอารามพลังต้นกำเนิดเท่านั้นที่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้

ในขณะเดียวกัน เขาจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อไปถึงสู่พิสดารแล้วเท่านั้น

แท่นบงกชที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ ลอยออกจากร่างของเขาและบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของเขา

พลังต้นกำเนิดทั้งหมดถูกชะล้างผ่านแท่นบงกชแล้วไหลเข้าสู่ร่างกายของซูเฉิน

ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างกายที่เลียนแบบเผ่าคนเถื่อนของซูเฉินก็เริ่มมีบทบาท ระหว่างที่เขาเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดที่ไหลเข้าสู่ร่างกายให้เป็นพลังชีวิต

แม้ว่าความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มจะยังต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับคนเถื่อนจริง ๆ แต่ปริมาณพลังต้นกำเนิดที่น่าสะพรึงกลัวของอาราม ทำให้เขาสามารถรักษาความเร็วในการเปลี่ยนแปลงให้คงที่เอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ร่างกายของซูเฉินจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

หากคนเถื่อนคนใดมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เข้า จิตใจของพวกเขาจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน

อารามพลังต้นกำเนิดที่มีเพื่อใช้เพิ่มพลังต้นกำเนิด กลับถูกใช้เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างพลังชีวิตแทน มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ?

ร่างกายของซูเฉินนั้นมีพื้นฐานที่ค่อนข้างดีอยู่ก่อนแล้ว เนื่องมาจากการฝึกฝนวิชากายาเวหาเวียน แต่ท้ายที่สุดค่อนข้างดีก็เป็นได้แค่ค่อนข้างดี ในเผ่ามนุษย์ ร่างกายเช่นนี้จัดอยู่ในระดับทั่ว ๆ ไป มีผู้ฝึกฝนคนอื่นที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดอีกมากมายหลายคนที่มีร่างกายแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา

อย่างไรก็ตาม ภายใต้พลังต้นกำเนิดที่ถูกชะล้างรวมกับความสามารถในการแปลงมันเป็นพลังชีวิตของเผ่าคนเถื่อน ทำให้พลังชีวิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ร่างกายของเขาเริ่มแผ่แรงกดดันออกมาทีละน้อย กล้ามเนื้อเริ่มนูนขึ้น ผิวกายก็เข้มขึ้น ร่างกายที่ดูบอบบาง แต่เต็มเต็มไปด้วยพลังที่น่าตกใจในทุกเซลล์

ตู้ม !

ซูเฉินชกหมัดขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้เกิดการระเบิดของอากาศเสียงดัง

นี่คือผลลัพธ์จากพลังกายบริสุทธิ์

เป็นการโจมตีที่ไร้ซึ่งการสนับสนุนจากพลังต้นกำเนิด ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียว ๆ ที่ซูเฉินปลดปล่อยออกมานั้นช่างน่าอัศจรรย์

ถ้ารวมความแข็งแกร่งนี้เข้ากับพลังต้นกำเนิด พลังที่ปะทุออกมาย่อมจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

นี่คือพลังที่เคยมีเพียงนักรบอารามเท่านั้นที่ได้ครอบครอง แต่ตอนนี้ซูเฉินเองก็ได้ครอบครองมันเช่นกัน

ทว่าในแง่ของความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิดให้มีประสิทธิภาพ นักรบอารามนั้นแย่กว่าซูเฉินอยู่มาก ในวันข้างหน้าพลังที่น่าสะพรึงที่อยู่ในมือของเขาจะทรงพลังมากขึ้นเพียงใด ไม่ใช่สิ่งที่เกินจะจินตนาการได้เลย

ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะออกไปเสียที

ซูเฉินสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว

เขาไม่ใช่คนเถื่อน ดังนั้นการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น จึงผลักเขาไปถึงขีดจำกัดเร็วพอ ๆ กัน แม้ว่าขีดจำกัดเหล่านี้จะไม่ใช่ว่าทำลายไม่ได้ แต่ในตอนนี้ซูเฉินยังไม่มีเวลาพอให้ทำเช่นนั้น

เวลาใช้งานอารามเองก็ใกล้จะหมดลงแล้ว

พลังต้นกำเนิดที่ไหลลงมาจากด้านบนเพดานเริ่มสว่างขึ้น ก่อนที่การทำงานของอารามพลังต้นกำเนิดจะค่อย ๆ หยุดลง

ซูเฉินถอนหายใจและลุกขึ้นจากสระน้ำ ใส่เสื้อผ้าของเขาก่อนจะไปยืนรออยู่ที่หน้าประตู

การเดินทางมาอารามพลังต้นกำเนิดในครั้งนี้ให้ประโยชน์กับเขาอย่างมาก ไม่เพียงแค่ช่วยเขาเข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้ แต่ยังช่วยให้พลังชีวิตของเขาเพิ่มขึ้นไปอีกโข ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้แก่ชายหนุ่ม

ก่อนที่เขาจะเลื่อนระดับ ชายหนุ่มก็สามารถสู้กับด่านสู่พิสดารขั้นต้นได้แล้ว ตอนนี้ทั้งร่างกายและระดับของเขาต่างก็ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น การเผชิญหน้ากับด่านสู่พิสดารที่มีแท่นบงกช 6 ถึง 7 ชั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป หากซูเฉินมีเวลาให้ทำความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ร่างกาย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถสู้กับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณได้ก็เป็นได้

เมื่อพลังต้นกำเนิดหยุดไหลลง ประตูขนาดใหญ่ของอารามก็เปิดออก

ซูเฉินเดินออกจากอารามพลังต้นกำเนิด

เขาได้รับการต้อนรับจากฝูงคนเถื่อนกลุ่มใหญ่ที่ด้านหน้าอารามอย่างไม่คาดคิด

คนเถื่อนเหล่านี้มีอุปกรณ์ที่ครบครันและมีระเบียบวินัยต่างไปจากผู้พิทักษ์ของอารามพลังต้นกำเนิด การเดินขบวนของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงวินัยอย่างชัดเจน

ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก สำหรับเผ่าพันธุ์ที่มักใช้แต่ความรุนแรงและกำลังอย่างคนเถื่อน

พวกเขาสวมชุดเกราะที่ทำจากหนังสัตว์อสูร แทนที่จะใช้ขวานและค้อนธรรมดาพวกเขากลับถือดาบสงคราม บนหัวสวมไว้ด้วยหมวกประดับเขา พวกเขาแต่ละคนต่างก็ดูแข็งแกร่งและสง่างามอย่างยิ่ง

องครักษ์ราชวงศ์เหล็กเลือด !

นามนี้วาบขึ้นมาในหัวของซูเฉินทันที

หลังจากที่อยู่ในปราการกู่หลานมาช่วงหนึ่ง ซูเฉินก็ได้เข้าใจถึงลำดับชั้นทหารของคนเถื่อนอย่างคร่าว ๆ แล้ว

ทหารเหล่านี้เป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของชนเผ่าเพลิง !

เหตุใดองครักษ์ส่วนพระองค์ของราชาคนเถื่อนถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ ?

ตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยแล้วหรือ ?

หรือตานปาทรยศเขา ?

ความคิดนับไม่ถ้วนแวบเข้ามาในหัวของซูเฉิน

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ขบวนองครักษ์ราชวงศ์เหล็กเลือดก็แยกออกเปิดทางเป็นทางเดินระหว่างสองฝั่ง

พรมผ้าไหมสีแดงพรมผ้าไหมสีแดงกลิ้งไปจนถึงหน้าขั้นบันไดของอาราม

จากนั้นคนเถื่อนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกมาจากฝูงชน

ผู้นำที่อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มมีมงกุฎสวมเอาไว้บนหัวของเขา พร้อมเสื้อคลุมสีแดงเลือดบนบ่าและคทาติดอัญมณีที่ส่องประกายแวววาวงดงามไว้บนหัวคทา มันคือผลึกแก้วต้นกำเนิดของจักรพรรดิอสูร

อย่างไรก็ตามหากลองได้เทียบกับหนึ่งในผลึกแก้วที่ซูเฉินครอบครองแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าผลึกแก้วต้นกำเนิดอันนี้เป็นของมีตำหนิ โดยดูจากประกายแสงที่ไม่ค่อยสว่างแล้วกับสีสันที่ดูจางลงของมัน

ถึงกระนั้นมันก็ยังคงเปล่งประกายเป็นแสงที่ดูน่าหลงใหล

แต่แสงที่มีเสน่ห์นั้น ก็ไม่อาจเทียบได้กับตัวคทา

ตัวโครงของคทานั้นถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูก

กระดูกสีแดงเพลิง มันไม่ได้เปล่งแสงอะไรออกมา ทว่าแค่ได้เหลียวเพียงครั้งเดียวก็เกินพอที่จะสัมผัสได้ถึงความลึกลับไม่รู้จบของมันแล้ว ใครก็ตามมองมันก็จะทำให้ตาพร่าไปทันที

มันคือกระดูกต้นกำเนิด !!!