ภาคที่ 4 บทที่ 195 คทากระดูกต้นกำเนิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 195 คทากระดูกต้นกำเนิด

ซูเฉินรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใครในทันทีที่เขาเห็นคทากระดูกต้นกำเนิด

ราชันของเผ่าคนเถื่อน ราชาผู้บ้าคลั่ง อานู๋ปี่แห่งเพลิง

ในฐานะราชาคนเถื่อน มีเพียงอานู๋ปี่เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะควบคุมคทากระดูกต้นกำเนิด แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาก็ตาม

คทากระดูกต้นกำเนิดนี้ทำขึ้นมาจากแกนของกะโหลกศีรษะของมังกรสุริยะ ว่ากันว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่กระดูกแต่เป็นแก่นแท้ของจิตใจมังกรสุริยะ ที่รวมตัวกันและกลายเป็นผลึกหลังจากที่มันตาย แก่นแท้นี้ได้ถูกผสมลงในเศษกระดูกและหล่อหลอมให้เป็นรูปร่างที่เห็นในปัจจุบัน

แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกระดูกนี้มีพลังแห่งเวลาคล้ายคลึงกับเม็ดทรายกาลเวลา ซึ่งทำให้ผู้ใช้ได้มองดูทั้งอดีตและอนาคต

นักพยากรณ์กระดูกจะสื่อสารกับกระดูกต้นกำเนิด เพื่อหาคำตอบในคำถามของพวกเขาแล้วสละชีวิตของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน

อาจกล่าวได้ว่า เหล่านักพยากรณ์กระดูกใช้วิญญาณของพวกเขาหล่อเลี้ยงกระดูกต้นกำเนิด และในทางกลับกันกระดูกต้นกำเนิดก็ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นเรื่องราวผ่านกาลเวลาได้

ทั้งหมดนี้สามารถทำสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสกับตัวคทาโดยตรง

แต่มันก็ยังคงเงื่อนไขที่ต้องทำตามอยู่ พวกเขาจะต้องวางคทากระดูกต้นกำเนิดเอาไว้บนแท่นบูชาของอารามศักดิ์สิทธิ์ และมีเพียงนักพยากรณ์กระดูกเท่านั้นที่สามารถสื่อสารกับกระดูกต้นกำเนิดได้

ด้วยเหตุนี้ กระดูกต้นกำเนิดจึงควรถูกวางไว้อย่างปลอดภัยบนแท่นบูชาในอาราม ไม่ควรถูกเคลื่อนย้ายไปมา

ทว่า บุคลิกที่ไร้สาระของคนเถื่อนก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

18,000 ปีที่แล้ว หลังจากที่ซาเอ่อน่าแห่งอินทรีแดงฆ่าขวานสังหารอูเท่อเหลยเต๋อ แล้วประกาศตัวว่าเป็นกษัตริย์หญิงคนแรก ปาน่าเต๋อหนีไปเพราะเขาต่อต้านกฎของเผ่าอินทรีแดง ขณะที่เขาหลบหนี เขาได้นำเอาคทากระดูกต้นกำเนิดไปด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาตั้งชื่อเผ่าของตัวเองว่าเผ่ากระดูกเหล็ก

เพราะสูญเสียการสนับสนุนจากอารามไป ปาน่าเต๋อจึงไม่อาจใช้ความสามารถมองดูเรื่องราวผ่านกาลเวลาของกระดูกต้นกำเนิดได้

คนเถื่อนผู้ที่กลัวการคิดและไม่ลงมือทำ ได้แสดงสติปัญญาอันน่าเกรงขามอีกครั้งโดยการพยายามใช้กระดูกต้นกำเนิดในการต่อสู้จริง

หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ในที่สุดพวกเขาก็ทำได้สำเร็จจริง ๆ

เผ่ากระดูกเหล็กได้สังหารจักรพรรดิอสูรที่มีความสามารถในการควบคุมเวลา แล้วเอาผลึกแก้วต้นกำเนิดออกมาและติดไว้บนกระดูกต้นกำเนิด เพื่อมอบทักษะต้นกำเนิดทางเวลารูปแบบพิเศษให้กับกระดูกต้นกำเนิด

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกระดูกต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ได้กลายเป็นอาวุธที่ไม่เพียงจะมีคุณค่าในเชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการต่อสู้อีกด้วย

ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องดี

เพราะการกระทำที่ไร้สติและประมาทของเผ่ากระดูกเหล็ก พลังกาลเวลาของกระดูกต้นกำเนิดมังกรสุริยะกับความสามารถในการทำนายจึงลดลงอย่างมาก

การลดความสามารถเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ เป็นสิ่งที่มีเพียงคนเถื่อนที่เทิดทูนความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เลือกจะทำ

ในอดีตพวกเขาเคยทำเรื่องโง่ ๆ มามากมาย เพิ่มอีกสักเรื่องสองเรื่องก็คงไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตามข้อพิพาทเรื่องความเป็นเจ้าของ ของคทากระดูกต้นกำเนิดก็ยังคงมีอยู่

หลังจากที่เผ่ากระดูกเหล็กถูกกำจัด อารามศักดิ์สิทธิ์ก็พยายามกู้คทากระดูกต้นกำเนิดกลับคืนไป แต่เผ่าอินทรีแดงได้ตัดสินว่าคทากระดูกต้นกำเนิดที่สูญเสียพลังการทำนายไปส่วนหนึ่ง ในขณะที่ความสามารถในการต่อสู้เพิ่มขึ้น ควรจัดประเภทใหม่เป็นสมบัติของชาติและเก็บไว้ในพระราชวัง

ราชวงศ์กับอารามศักดิ์สิทธิ์จึงได้ต่อสู้กันมานับร้อยปี ก่อนที่จะตัดสินใจประนีประนอมกัน

ปกติแล้วคทากระดูกต้นกำเนิดจะจะถูกเก็บไว้ในอารามศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้สามารถใช้ความสามารถในการทำนายที่เหลืออยู่น้อยนิดของมัน ในขณะเดียวกันมันก็ถูกนับเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจของราชวงศ์ไป ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีพิธีสำคัญหรือเมื่อออกเดินสาย ราชาจึงมีอำนาจในการโยกย้ายคทา

พูดง่าย ๆ ก็คือราชาสามารถหยิบยืมคทาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการใช้ และเมื่อไม่ต้องการอารามศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำหน้าที่ดูแลมัน

จนธรรมเนียมนี้สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้

นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินรู้ว่าอีกฝ่ายคืออานู๋ปี่ ทันทีที่เขาเห็นคทาในมืออีกฝ่าย

แต่ทำไมจู่ ๆ อานู๋ปี่ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ ?

แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีมนุษย์แอบเข้ามา แต่ก็ไม่จำเป็นที่ทางนั้นจะต้องออกมาดูด้วยตัวเองนี่ ? และก็ไม่จำเป็นที่ต้องพกคทาออกมาด้วยจริงไหม ?

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ ซูเฉินก็รู้ว่าอานู๋ปี่คงจะไม่ได้มาหาเขา แต่มาด้วยเหตุผลอื่น

อานู๋ปี่เดินอย่างสบาย ๆ มือขวาถือคทาส่วนมืออุ้มไก่ตัวใหญ่

ไก่ ?

ไก่ตัวผู้ไร้ขน ?

ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาของเขา

เกิดอะไรขึ้น ?

และทำไมไก่ตัวนี้ถึงได้ดูคุ้นเคยนัก ?

ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบโต้ เขาได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนใส่เขา “ฝ่าบาทอานู๋ปี่แห่งเพลิง ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่คุกเข่า !”

ซูเฉินแสดงสีหน้าสับสนเล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “หลงถูคำนับฝ่าบาทอานู๋ปี่ ขอราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้ปกครองทุกสรรพสิ่งทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน !”

อานู๋ปี่ผู้อุ้มไก่ก้าวออกมาด้านหน้า “เจ้าชื่อหลงถู ? ภักดีไม่เลว ข้าชอบคำพูดของเจ้า เพื่อเป็นรางวัล … ”

เขาฝ่ามือฟาดใส่ซูเฉิน

ซูเฉินไม่เคยคิดว่าราชาองค์นี้จะลงมือจู่โจมเขาในทันทีที่พูดชื่นชมเสร็จ ชายหนุ่มจึงพลันเร่งขับเคลื่อนพลังต้นกำเนิดเพื่อป้องกันการโจมตีโดยสัญชาตญาณ หลังเสียงปะทะดังก้อง ซูเฉินถูกส่งลอยไปแล้ว

ต้องขอบคุณที่อานู๋ปี่ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาในการโจมตีนี้ รวมกับที่ความแข็งแกร่งของซูเฉินในตอนนี้ไม่สามารถเทียบได้กับเมื่อก่อน ทั้งการควบคุมพลังต้นกำเนิดและความแข็งแกร่งทางกายภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มิฉะนั้นหากไม่ถึงตายก็คงต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

ซูเฉินรู้ว่ามันคงจะไม่ดีนักหากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เขาจึงกัดลิ้นตัวเองแล้วพ่นเลือดออกมา ก่อนจะทิ้งตัวลงฟุ่บไปกับพื้น

โชคดีที่อานู๋ปี่ไม่ได้ลงมือต่อ เมื่อเขาเห็นว่าซูเฉินยังไม่ตาย เขาก็หัวเราะขึ้น “โอ้ ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะพอแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่ควรปล่อยให้ข้ารอข้างนอกนานเช่นนี้”

ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจว่าทำไมชายผู้นี้ถึงได้โจมตีเขา อานู๋ปี่คงจะรออยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว เนื่องจากเมื่ออารามศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้งานอยู่ ประตูจะไม่สามารถเปิดออกได้ ‘ราชันศักดิ์สิทธิ์’ จึงทำได้เพียงยืนรออยู่ข้างนอก

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดมาก

เอาล่ะ ข้าคงโชคไม่ดีเอง

ซูเฉินได้แต่บ่นในใจอยู่คนเดียว

กลุ่มทหารคนเถื่อนเดินเข้าไปข้างในโดยไม่สนใจเขาเลย ซูเฉินจึงถอยกลับออกมาเงียบ ๆ

ตานปาเข้ามาหาเขาและกระซิบถาม “เจ้าเป็นไรไหม ?”

“ข้าไม่เป็นไร” ซูเฉินตอบ “เขามาทำอะไรที่นี่ ?”

“สังเกตไก่ที่อยู่ในแขนนั่นไหม ?”

ซูเฉินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “รึจะเป็น … ”

ตานปาพยักหน้า “เจ้าตัวที่เราทำหายไป”

“บัดซบ ! ที่นี้เราก็มีปัญหากันแล้ว” ซูเฉินถอนหายใจ

เขาเข้าใจในทันทีว่าทำไมอานู๋ปี่ถึงได้มาปรากฏตัวที่อารามพลังต้นกำเนิด

เป็นเพราะไก่ตัวนี้ได้รับพิธีเจิมน้ำมนต์มา

ไม่ว่าคนเถื่อนจะโง่แค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่เห็นถึงร่องรอยของพิธีเจิมน้ำมนต์ เพราะอย่างไรซะ นี่ก็เป็นประเพณีที่พวกเขาทำกันมานานนับพันปีแล้ว

ดังนั้น ทันทีที่ไก่ตัวนี้ถูกพามาที่วังเค่อเท่อหลู่ คนเถื่อนทั้งหมดจึงตกตะลึง

ทำไมไก่บ้านธรรมดา ๆ ถึงได้มีร่องรอยของพิธีเจิมน้ำมนต์อยู่กัน ?

เหตุใดมันจึงสามารถทนต่อความรุนแรงของพิธีเจิมน้ำมนต์ได้ ?

เหตุใดผลลัพธ์จากพิธีเจิมน้ำมนต์ของมันถึงได้แตกต่างไปจากคนเถื่อน ไม่เพียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้แต่ยังสติปัญญาด้วย ?

คำถามมากมายทำให้ทุกคนในวังเค่อเท่อหลู่ตกอยู่ในความสงสัยไปทันที เจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนของคนเถื่อนต่างก็พากันโต้เถียงเรื่องนี้ และแม้แต่อานู๋ปี่เองก็เกิดความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก

แม้ว่าเขาจะเป็นคนบ้า แต่เขาก็ไม่ได้โง่ และเขาก็รู้ถึงความสำคัญเบื้องหลังของเรื่องนี้ดี

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะพาไก่ตัวนี้ไปที่อารามพลังต้นกำเนิดด้วยตัวเอง ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ไม่ค่อยจะจริงจังและรักสนุกตามปกติของเขาโดยสิ้นเชิง เขาอยากจะรู้ว่าจะได้เบาะแสอะไรกลับไปบ้างหรือไม่

ตามบุคลิกพื้นฐานของอานู๋ปี่แล้ว คนผู้นี้นั้นชอบในความเด่นดัง ดังนั้นถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาก็ยังยืนยันที่จะพกคทากระดูกต้นกำเนิดติดตัวมาด้วย ทั้งยังแอบคิดกับตัวเองว่าคทานี้ได้สะสมพลังต้นกำเนิดมาสักพักแล้ว แค่ได้พกมันไว้อวดก็สร้างความสุขให้เขาได้แล้ว

ถ้าซ่าเค่อเอ่อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาคงไม่กล้าที่จะใช้สมบัติของชาติมาสร้างความสุขส่วนตนเช่นนี้เป็นแน่ ทว่าตอนนี้ไม่มีใครมาคอยคุมเขาแล้ว อานู๋ปี่จึงสามารถทำทุกอย่างได้ตามเขาต้องการโดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ถึงความคิดของอานู๋ปี่ พวกเขาแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูจริงจังและขยันเป็นพิเศษเท่านั้น และเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญจริง ๆ ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่อารามพลังต้นกำเนิดแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ

ทั้งไก่และอารามก็อยู่ที่นี่เรียบร้อย

แล้วพวกเขาจะหาอย่างไรว่าทั้งไก่ทั้งอารามเกี่ยวข้องกันยังไง ?

การสืบสวนสอบสวนครั้งใหญ่ไร้ซึ่งทิศทาง ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันดูน่าตลกไปในทันใด

ขณะที่พวกเขากำลังถกเถียงและวิเคราะห์สถานการณ์กันอยู๋ในอาราม ซูเฉินกับตานปาเริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบ ๆ

“นี่ก็นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี” ซูเฉินกล่าวกับตานปา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่คทากระดูกต้นกำเนิด

“เจ้าคิดที่จะลงมืออีกแล้วหรือ ? อย่าแม้แต่จะคิด เรื่องครานี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแน่” ตานปาตอบ

“อย่าได้พูดเช่นนั้น ข้าจำได้ว่าเราเคยตกลงกันว่า ข้าจะมอบวิชาลับที่ทำใช้คนเถื่อนสามารถฝึกฝนได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าเอากระดูกต้นกำเนิดมามอบให้แก่ข้า … ”

“แต่เจ้าให้วิชาลับกับข้ามาแล้ว” ตานปาตอบ

“ …ก็ยังมีวิชาระดับสูงกว่านั้นอยู่ไม่ใช่หรือ ?”

“ลืมความจริงที่ว่าเจ้ายังไม่ได้ศึกษามันไปก่อน หากเจ้าทำมันสำเร็จแล้ว เจ้าจะเต็มใจที่จะมอบมันข้าจริง ๆ หรือ ?” ตานปาสวนกลับ

“ข้าสร้างวิธีที่จะทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้แล้ว การปล่อยให้คนเถื่อนแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับหนึ่งย่อมไม่ใช่ปัญหา”

“แต่วิธีของเจ้ายังไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน !”

ซูเฉินตอบกลับอย่างใจเย็น “ถ้าข้าได้สิ่งนั้นมา ข้าก็สามารถทำให้มันใช้กับทุกคนได้”

ตานปาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจ “เจ้าต้องการที่จะใช้คทากระดูกต้นกำเนิดทำการทดลอง ?”

ซูเฉินพยักหน้า “สมบัติที่สามารถสอดส่องได้ทั้งอดีตและอนาคต น่าจะมีประโยชน์มากต่อการค้นหาความจริง”

“อนาคตเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความจริงนั้นเป็นนิรันดร์ หากเจ้าวางแผนที่จะใช้คทากระดูกต้นกำเนิดเพื่อดูว่าเจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้สำเร็จหรือไม่ รวมทั้งรู้สามารถยืนยันถึงวิธีที่จะใช้พัฒนาได้ ก็เท่ากับว่า… ”

“มันจะช่วยข้าประหยัดเวลาได้อย่างมาก” ซูเฉินตอบ

การทำนายอนาคตนั้นนับเป็นเรื่องยากเพราะอนาคตไม่เคยแน่นอน แต่การรู้อนาคตก็เท่ากับว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้

ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่พวกเขาพยายามจะใช้คทากระดูกต้นกำเนิดเพื่อทำนายอะไรบางอย่าง คำตอบส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้รับจึงคลุมเครือและมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจน

ยิ่งหลังจากที่ความสามารถในการทำนายของคทากระดูกต้นกำเนิดลดลง คำตอบที่คลุมเครือเหล่านี้ก็ทำความเข้าใจได้ยากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม หากคำถามที่ถามเกี่ยวกับความจริง สถานการณ์มันจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะความจริงนั้นคงที่และเป็นนิรันดร์

มันเหมือนกับถามว่าโลกมีแรงโน้มถ่วงหรือไม่ คำตอบก็คือใช่และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้จะใช้ทักษะต้นกำเนิดเพื่อต่อต้านแรงโน้มถ่วงและบินขึ้นไปในอากาศ ความจริงที่ว่าโลกมีแรงโน้มถ่วงก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

และแน่นอนว่า คทากระดูกต้นกำเนิดไม่ใช่สารานุกรมที่รู้เรื่องทั้งหมด อันที่จริงตัวมันเองไม่รู้คำตอบอะไรเลย

แต่มันก็ยังมองเห็นอนาคตได้

ตัวอย่างเช่น ด้วยความช่วยเหลือของคทากระดูกต้นกำเนิดที่ทำให้เขาสามารถเห็นคำตอบล่วงหน้า งานของซูเฉินต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์อาจจะสามารถทำให้สำเร็จได้ในทันที

ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าสิบปีจะกลายเป็นคืนเดียวหรือ แต่ผลลัพธ์ที่ว่าเขาทำมันสำเร็จก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้น ซูเฉินจึงเป็นผู้ที่ให้คำตอบ ส่วนคทานั้นเป็นแค่ตัวช่วยแสดงออกมาให้เขาเห็น

ตราบใดที่เป็นสิ่งที่ซูเฉินมีความสามารถพอที่จะค้นหาคำตอบ คทากระดูกต้นกำเนิดก็สามารถให้เขาเห็นได้

ในทางกลับกัน ถ้าตลอดทั้งชีวิตนี้ซูเฉินไม่อาจค้นหาคำตอบเจอ คทากระดูกต้นกำเนิดก็ไม่สามารถให้เขาเห็นได้เช่นกัน

นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันสามารถช่วยให้ซูเฉินไม่ต้องเสียเวลาเดินไปผิดทาง

นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่คทากระดูกต้นกำเนิดมีต่อซูเฉินได้อย่างชัดเจน

แน่นอนว่าข้อจำกัดการใช้งานที่หลากหลาย ทำให้ซูเฉินไม่สามารถใช้มันได้ตามที่ต้องการ และคำตอบอาจจะไม่ชัดเจนนัก แต่การมีไว้ก็ยังดีกว่าไม่มี และการเห็นภาพที่คลุมเครือก็ยังดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย

คทากระดูกต้นกำเนิดจะกลายเป็นเข็มทิศนำทางสู่อนาคตให้แก่ซูเฉิน หากเขาได้รับมา มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของเขา ถัดมาจากเนตรมองโลกจุลภาคกับผลึกวิญญาณ

แล้วจะไม่ให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้น และพยายามคิดหาวิธีให้ได้มาครองได้อย่างไร ?

ตานปาส่ายหัว “ฝันต่อไปเสียเถอะ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะขโมยมันมาได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอานู๋ปี่แข็งแกร่งแค่ไหน ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญกี่คนที่ปกป้องอยู่ข้างกายนั้น ?”

ซูเฉินยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่เคยบอกเลยนะว่าจะขโมยมันมา”

“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ ?”

“หาทางเข้าไปใกล้ ในคทาอยู่ในมือของอีกฝ่าย การเข้าไปใกล้และกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาซะ นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

ตานปาส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่มีทางที่อานู๋ปี่จะยอมรับคนแปลกหน้าให้ไปเป็นผู้พิทักษ์ของเขาง่าย ๆ แน่”

“ราชาทั่วไปอาจเป็นไปไม่ได้ แต่กับราชาผู้บ้าคลั่งแล้ว มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ซูเฉินตอบ

ในฐานะคนบ้า หากไม่มีความกล้าที่จะแหกกฎและเพิกเฉยต่อสามัญสำนึก จะเรียกว่าเป็นราชาผู้บ้าคลั่งได้อย่างไร ?

“แล้วเจ้าคิดยังไงให้เขาสนใจเจ้า ?”

“ยังต้องถามด้วยหรือ ? เจ้าไม่เห็นสิ่งที่เขาถืออยู่ในอ้อมแขนหรืออย่างไร ?” ซูเฉินยิ้ม