บทที่ 196 เข้าวัง
ภายในอาราม คนเถื่อนกลุ่มใหญ่ยังคงทะเลาะกันก่อนล้อมเจ้าไก่ไว้
บ้างบอกว่าต้องผ่า แต่จะให้ผ่าในอารามพลังนั้นหรือ ? น่าขันไปหน่อยกระมัง ? อีกทั้งผ่าไก่ตัวนี้ออกมาแล้วจะได้อะไร ?
บ้างก็บอกว่าให้ลองเจิมน้ำมนต์ให้มันอีกครั้งหนึ่งว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นคนเถื่อนกลุ่มใหญ่จึงมายืนดูไก่อาบน้ำกัน
บ้างบอกว่าในเมื่อมันสามารถผ่านการเจิมน้ำมนต์มาได้ สัตว์เล็กอื่นก็อาจทนได้เช่นกัน ให้ลองกับสิ่งมีชีวิตอื่นดูบ้าง
คำแนะนำนี้ดูเป็นเชิงวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง อย่างน้อยหลาย ๆ คนก็อยากเห็นผลการทดลอง
ปัญหาคือซูเฉินเพิ่งจะผ่านการเจิมน้ำมนต์มา อย่างน้อยต้องรออีก 2 ชั่วยามให้อารามพลังต้นกำเนิดฟื้นพลังและทำการเจิมน้ำมนต์ได้อีกครั้ง
ในเมื่อพากันยืนมองไม่มีอะไรทำมาก จึงได้แต่ถกเถียงถึงสาเหตุที่มันผ่านการเจิมน้ำมนต์มาได้
ความคิดคาดไม่ถึงทั้งหลายผุดขึ้นมา บ้างบอกว่ามันเป็นไก่ศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมาจากชั้นฟ้า อีกคนบอกว่าจังหวะและเวลามันได้พอดี บรรพบุรุษของมันคงมอบพรให้ หรือจริง ๆ แล้วเป็นอสูรกายปลอมตัวมา ความคิดทั้งหลายถูกหยิบยกขึ้นมาระหว่างการถกเถียง ยังมีคนบอกว่าอารามพลังต้นกำเนิดได้รับความเสียหายและควรทำลายมันทิ้งเพื่อสร้างใหม่ ทว่าสุดท้ายความคิดนี้ก็ถูกบีบจนตกไป
คนที่ไม่เข้าใจในหลักวิทยาศาสตร์ก็มีแต่เกิดความไร้สาระเช่นนี้
ซูเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงลุกขึ้นเอ่ยคำ “ไก่ตัวนี้ไม่ได้ผ่านการเจิมน้ำมนต์ ทว่าผ่านกระบวนการที่คล้ายกันแต่มีความกดดันน้อยกว่ามากก็เท่านั้น”
ฟึ่บ !
คนเถื่อนทั้งหลายหันมามองซูเฉิน
แม้คนเถื่อนจะมีกฎเกณฑ์ไม่มาก แต่หากคนชั้นต่ำกล้าขัดคำพูดของคนชั้นสูงเช่นเขา ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกตัดลิ้นไม่ก็ถูกตัดคอไปพร้อมกัน
แต่ราชาผู้บ้าคลั่งก็มีนิสัยสมชื่อ ทั้งกฎเกณฑ์และธรรมเนียมไร้อิทธิพลต่อเขา หวังเพียงจะใช้ชีวิตอิสระที่ไร้ข้อจำกัด ทำอะไรตามอำเภอใจได้ก็เท่านั้น
ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่โกรธที่ถูกซูเฉินเอ่ยขัด แต่กลับถามเสียงตื่นเต้นขึ้นแทน “น่าสนใจไม่น้อย ทำไมถึงคิดเช่นนั้น ?”
ทำไมถึงคิดเช่นนั้นหรือ ? ก็เพราะข้าเป็นคนลงมืออย่างไรเล่า !
แต่คำที่ออกมาคือ “ฝ่าบาทลองดู มงกุฎของหัวไก่ตัวนี้มีขนสีขาวบาง ๆ กระจายอยู่ท่ามกลางสีแดง เป็นผลมาจากการสัมผัสพลังต้นกำเนิดโดยตรง อาจเป็นผลข้างเคียงหนึ่งจากการเจิมน้ำมนต์ แต่ดูจากสีและความมันวาว เห็นได้ชัดว่าพลังจากการเจิมน้ำมนต์ค่อนข้างอ่อน ไม่ได้ใกล้เคียงกับพลังที่อารามปลดปล่อยออกมา อีกทั้งขนของมันเริ่มร่วง จึงสามารถเห็นร่องรอยอักขระการเจิมน้ำมนต์ที่ผิวหนังได้ ซึ่งมีรูปแบบค่อนข้างหยาบ ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนอักขระจากอารามพลังต้นกำเนิด แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันบ้างในเรื่องของอักขระโดยพื้นฐาน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าไก่ตัวนี้ผ่านการเจิ้มน้ำมนต์ที่ลอกเลียนแบบมาจากอารามพลัง แต่เป็นแบบที่ใช้พลังและมีความกดดันน้อยกว่า”
อานู๋ปี่เห็นว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาว่าจึงพยักหน้ารัว ๆ “มีเหตุผลมาก แต่ใครจะสามารถเลียนแบบอักขระอารามพลังได้กัน ? แล้วจะทำไปเพื่ออะไร ?”
ซูเฉินยังเงียบ เขาไม่จำเป็นต้องตอบ
คนเถื่อนบางคนลองคาดเดา “ฝ่าบาท อาจเป็นเผ่าพันธุ์อื่นก็ได้”
“อาจเป็นพวกมนุษย์”
“จะมีมนุษย์อยู่ที่นี่ได้ยังไง ?”
“ถ้าใช้วิชาแปลงกายก็อาจเป็นไปได้ มีสายเลือดอสูรกายบางอย่างที่สามารถทำเช่นนั้นได้”
“หรืออาจจะเป็นเผ่าวิญญาณ”
“เผ่าวิญญาณไม่สนใจเรื่องพลังต้นกำเนิดเท่าพวกมนุษย์หรอก”
“ไอ้พวกมนุษย์บัดซบ !”
“ค้นให้ทั่วเมือง เราต้องหาตัวมันให้ได้ เรียกใช้ผู้มีตาทิพย์ทั้งหมด !” อานู๋ปี่ออกคำสั่ง
จากนั้นหันมองซูเฉิน “เริ่มจากเขาก่อน !”
การกระทำช่างเหมาะสมกับราชาผู้บ้าคลั่ง เขาตอบแทนการกระทำของซูเฉินด้วยการใช้ตาเหยี่ยวของผู้มีตาทิพย์ตรวจสอบ
แต่ครั้งนี้ผู้มีตาทิพย์คงต้องผิดหวัง
ในขณะที่เขาถูกเจิมน้ำมนต์ ซูเฉินก็ได้ปรับเปลี่ยนร่างกายตนให้เหมือนกับคนเถื่อนในระดับรากฐานแล้ว ตัวเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยกำลังวังชา ความแข็งแกร่งของร่างกายไม่แพ้คนเถื่อน ได้รับลักษณะพิเศษที่มีเฉพาะในคนเถื่อนมา
โดยลักษณะนี้เป็นของจริง แต่เป็นเพียงภายนอก อวัยวะภายในและร่างกายของเขายังคงเป็นมนุษย์ ทำให้ยังคงความคล่องแคล่วว่องไวของมนุษย์ไว้ได้ ในขณะที่ได้รับกำลังวังชาของคนเถื่อนไปพร้อมกัน
ผู้มีตาทิพย์มองออกเพียงภาพลวงตา ไม่อาจมองทะลวงเข้าไปถึงในร่างได้ พวกเขาย่อมสามารถบอกได้หากเขาแปลงกายเป็นเผ่าอื่น แต่ร่างกายเช่นคนเถื่อนของเขาก็ไม่ใช่แค่ภาพลวงตา ดังนั้นซูเฉินจึงเป็นเหมือนกับคนเถื่อนทั่วไปในสายตาของผู้มีตาทิพย์ ปัญหาเดียวคือพลังต้นกำเนิดในร่างของเขาเหมือนจะทะลักออกมา มันมีอยู่มากเกินไป เกินกว่าที่คนเถื่อนสมควรมี
แต่ผู้มีตาทิพย์ก็ตรวจสอบซูเฉินอย่างรวดเร็วและให้เหตุผลแก่ตนเองเสร็จสรรพ อีกฝ่ายเพิ่งผ่านการเจิมน้ำมนต์มา พลังต้นกำเนิดในร่างยังไม่สงบ ดังนั้นจึงไหลเวียนไปทั่วร่าง และไหลออกมาบ้างเล็กน้อย ยังนับว่าปกติ
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอานู๋ปี่ “ฝ่าบาท เขาเป็นพวกเรา”
อานู๋ปี่เพียงสั่งไปอย่างนั้น ไม่คิดลึกซึ้งอะไร ดังนั้นจึงไม่แปลกใจ เขาโบกมือกล่าว “หาได้ยากที่จะมีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่นอยู่ในหมู่พวกเรา เจ้าชื่อหลงถูใช่ไหม ? เต็มใจติดตามข้าหรือไม่ ?”
ซูเฉินทำทีเป็นซาบซึ้งใจแล้วคุกเข่าลง “ข้าเต็มใจยอมรับใช้ฝ่าบาท”
คนเถื่อนให้ค่าความภักดีเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นคนเถื่อนทั้งหลายในที่นี้จึงต่างเกลียดชังซูเฉินที่ทรยศชนเผ่าตนเองแล้วหันไปสวามิภักดิ์กับอานู๋ปี่โดยไม่ลังเล
เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาต่ออานู๋ปี่สักนิด
เขาแหงนหน้าหัวเราะ “ดีมาก ไม่คิดเลยว่าจะได้กำไรเช่นนี้ ข้าชอบคนฉลาด เพราะพวกเขามักจะมีความคิดบ้าบิ่นน่าพิศวงคอยให้ความบันเทิงค่าอยู่ตลอด แล้วเจ้าเล่า ? มีอะไรมาแสดงให้ข้าดูบ้างล่ะเจ้าหนู ?”
……
นี่ท่านคิดให้คนฉลาดอยู่รอบตัวเพราะจะให้พวกเขาสร้างความบันเทิงให้หรือ ?
ซูเฉินถึงกับพูดไม่ออก
แต่เขาจะเงียบก็ไม่ได้
เขาคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ “ขึ้นอยู่กับความต้องการของฝ่าบาท ข้าเชื่อว่าความบันเทิงทุกประเภทสร้างขึ้นจากสิ่งที่ยากจะได้มา มีแต่สิ่งที่ยังไม่ได้มาหรือยังไม่ได้ทำเท่านั้นที่จะสร้างความบันเทิงได้ หากเป็นสิ่งที่ได้มาจากความช่วยเหลือภายนอก ความบันเทิงก็จะถูกจำกัดลงและให้ผลสั้นลง”
ได้ยินดังนี้ อานู๋ปี่ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะแหงนหน้าหัวเราะ “ได้ยินหรือไม่ ? ขุนนางของข้า หลงถูพรุ่งนี้เข้าใจหลักการของความบันเทิงเริงรมย์ พาตัวเขากลับวัง ให้เขาได้เห็นสิ่งดีงามทั้งหลาย เขาจะได้รู้ว่าเรายังขาดอะไรอีกบ้าง หากภายใน 3 วันยังไม่สามารถสร้างความบันเทิงให้ข้าได้ ก็เอาไปประหารเสีย”
อานู๋ปี่พูดจบก็จากไป
ก่อนจาก เขาก็โยนเจ้าไก่ให้กับลูกน้อง “เอาไปทำไก่ตุ๋นให้ข้า !”
ตานปากับซูเฉินเหลือบมองกัน
ตานปาพลันยกนิ้วให้ซูเฉิน
เจ้าฉลาดมาก !
วังเค่อเท่อหลู่เต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อนของคนเถื่อน
แม้จะได้รับการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมเผ่าปักษาให้ออกมางดงามเป็นยิ่งนัก แต่กลิ่นอายบ้าคลั่งโหดร้ายที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกก็ไม่สามารถชะล้างไปได้โดยง่าย
วังเค่อเท่อหลู่เดิมทีถูกสร้างขึ้นจากหินสีขาวบริสุทธิ์ ที่ศูนย์กลางวังคือสถานที่ตัดสินใจเรื่องบ้านเมือง และมีพื้นที่แบ่งเขตออกมาอีก 6 เขต ซึ่งก็คือ เรือนพักราชา เรือนสนม เรือนคนใช้ เขตบันเทิงของราชา สถานที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ และเรือนทหารอารักขา
ซูเฉินมุ่งหน้าไปยังเขตบันเทิงของอานู๋ปี่ในทันทีเมื่อเข้าวังมา
แต่ในเรื่องความบันเทิง ราชาผู้บ้าคลั่งก็มีข้อจำกัด นั่นคือเลือกได้เพียงการดื่มเหล้า การกินเนื้อ หรือการสำราญไปกับเหล่าสตรี
นอกจาก 3 อย่างแล้ว ความบันเทิงเพียงอย่างเดียวของอานู๋ปี่ก็มาจากการต่อสู้เท่านั้น
ภายในเรือนพักของราชาผู้บ้าคลั่งมีสังเวียนนักสู้อยู่ ทุก ๆ วันจะมีอสูรกายและทาสจำนวนมากถูกส่งมาที่นี่เพื่อต่อสู้กัน บางครั้งก็ให้อสูรกายสู้กันเอง บางครั้งก็เป็นคนเถื่อนสู้กันเอง หรืออาจจะเป็นคนเถื่อนสู้กับอสูรกาย ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของราชาผู้บ้าคลั่งในตอนนั้น
เมื่อครั้งซ่าเค่อเอ่อร์ยังมีชีวิต นักสู้หลักประกอบไปด้วยอาชญากรชาวคนเถื่อนที่ทำผิดมหันต์
แต่หลังจากซ่าเค่อเอ่อร์ตายไป นักสู้ในสังเวียนก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของราชาผู้บ้าคลั่งล้วน ๆ
นอกจากนี้ยังมีสวนดอกไม้และน้ำพุอยู่ทั่วทั้งพระราชวัง
แต่ว่าราชาผู้บ้าคลั่งมองไม่เห็นความสวยงามของพวกมัน คิดว่ามันช่างน่าเบื่อ มีเพียงร่างเปลือยเปล่าของสตรีเท่านั้นที่เขาชอบ
ดังนั้นซูเฉินทหารอารักขาของราชาผู้บ้าคลั่งคนหนึ่งจึงเตือนเขาเมื่อมาถึงพระราชวัง ว่าหากเขาคิดจะให้ความบันเทิงฝ่าบาทด้วยการแสดงสิ่งสวยงามทั้งหลาย ก็ให้ละทิ้งความคิดนั้นเสีย เพราะฝ่าบาทไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น
และสิ่งใดที่ฝ่าบาทไม่ชอบไม่บันเทิงก็หมายถึงรนหาที่ตาย
วังเค่อเท่อหลู่ไม่เคยมีสิ่งบันเทิงทำให้อานู๋ปี่พึ่งพอใจมาหลายสิบปี และตอนนี้ซูเฉินจะต้องสร้างมันขึ้นภายในเวลา 3 วัน
นี่คงจะเป็นผลจากการที่ได้เลื่อนฐานะอย่างรวดเร็ว หากอยากก้าวเดียวถึงชั้นฟ้า ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือ
ทว่าซูเฉินก็เอาแต่เดินชมสถานที่ราวกับไม่รีบร้อนอะไร
วังเค่อเท่อหลู่เผยกลิ่นอายค่อนข้างเป็นสง่า ทิวทัศน์งดงาม ถึงราชาผู้บ้าคลั่งจะไม่ชอบ แต่เขาชอบ
มึงก็กดงามจริง ๆ ช่วยเป็นการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นจากคนเถื่อนและเผ่าปักษา ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งและความละเอียดอ่อนงดงาม
วังเค่อเท่อหลู่ได้รับการคุ้มกันแน่นหนา แต่เห็นได้ชัดว่าพวกทหารอารักขาไม่ค่อยมีวินัย หากคิดจะลอบสังหารก็มีช่องโหว่ให้ทำได้ ที่ราชายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ไม่ใช่เพราะมีทหารคอยอารักขาแต่เป็นเพราะตัวเขาเอง
อาทิเช่น ถึงแม้จะสามารถเข้าประชิดตัวอานู๋ปี่โดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ ก็คงทำได้แค่เพียงโจมตีให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ก่อนที่จะถูกสังหารจนกลายเป็นชิ้น
นั่นก็เพราะอานู๋ปี่เป็นนักรบขั้นสูงสุด ผ่านการเจิมน้ำมนต์จากอารามพลังต้นกำเนิดมาแล้วถึง 6 ครั้ง
แม้จะหลงใหลมัวเมาในสตรีและเหล้าจนทำให้กำลังกดถอย ซูเฉินก็ยังไม่อาจทำอะไรก็ได้
หลังจากเดินเตร่ไปทั่วแล้วรอบหนึ่ง ซูเฉินก็มาถึงสังเวียนการต่อสู้
สนามต่อสู้นี้มีทรงกลม ตั้งอยู่ใกล้กับด้านหลังวังเค่อเท่อหลู่ จะพูดก็คือมันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวัง แต่เป็นส่วนที่สร้างแยกขึ้นมาต่างหาก
อานู๋ปี่เป็นคนออกคำสั่งให้สร้าง
ทหารที่มีหน้าที่นำทางซูเฉินกล่าว “ทุกวันต้องมีการต่อสู้อย่างน้อย 1 ครั้ง ส่วนจำนวนครั้งที่แน่นอนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฝ่าบาท ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่โปรดของฝ่าบาท จะทำให้เขาพึงพอใจได้ ทุกคนต้องคิดกันหัวแทบแตก หากท่านหลงถูอยากได้รับความโปรดปราน ลองทำเรื่องที่เกี่ยวกับการประลองในสังเวียนก็คงไม่เลว แต่ข้าบอกตามตรงว่าเรื่องนี้ก็คงไม่ง่าย”
เขาเป็นคนเถื่อนที่จัดการเรื่องภายในวังอยู่มานานกันแน่ คำพูดคำจามีไหวพริบ แม้จะไม่ชอบซูเฉิน แต่ก็ไม่โง่จนล่วงเกินเขาด้วยเหตุผลงี่เง่า
ซูเฉินหัวเราะ “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ ใช่แล้ว การต่อสู้ครั้งต่อไปจะเริ่มเมื่อไหร่ ? ข้าอยากไปดูด้วย”
“เริ่มวันพรุ่งนี้ ข้าจะจัดที่นั่งข้างสนามให้ท่าน”