ภาคที่ 4 บทที่ 197 ย่อมเป็นที่ชื่นชอบ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 197 ย่อมเป็นที่ชื่นชอบ (1)

การประลองเริ่มขึ้นในช่วงกลางวันในระหว่างวันที่ 2 หลังจากซูเฉินเข้ามาอยู่ในวัง

ทั่วทั้งสังเวียนเต็มไปด้วยชนชั้นสูงคนเถื่อนที่มาชมการประลอง

อานู๋ปี่ยืนอยู่ตรงจุดที่ชมได้ดีที่สุด ขนาบข้างด้วยชนชั้นสูง ขุนนาง และสาวงามทั้งหลาย

มีเพียงที่นี่ที่ซูเฉินได้ตระหนักว่ากระทั่งคนเถื่อนเองก็ยังมีสาวงามอยู่ด้วย

อานู๋ปี่มีกองทัพสาวงามเป็นของตนเอง พวกนางทั้งหลายมีเสน่ห์เย้ายวน และเพราะคนเถื่อนส่วนมากไร้ขนบธรรมเนียม จึงแต่งตัวตามใจชอบ เปิดเนื้อหนังมังสาไม่ใช่น้อย

ทั้งหมดต่างนั่งอยู่ด้านบนอย่างเฉยเมย มองดูคนด้านล่างต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างใจจดใจจ่อ

การต่อสู้ด้านล่างเริ่มต้นขึ้นแล้ว

คนแรกที่ก้าวออกมาคือคนเถื่อนร่างสูง รูปกายกำยำ สวมเพียงกางเกงขาสั้นและที่โกยฟางเหล็ก ทั่วร่างเต็มไปด้วยอักขระโทเทม ด้านหลังศีรษะมีสัญลักษณ์ขวานหินประดับอยู่ ชี้ให้เห็นว่าเป็นคนเผ่าขวานหินที่ถูกทำลายไปแล้ว

คู่ต่อสู้ของเขาคืออสูรร้ายระดับสูง สิงโตหางปม

หางยาวสีขาวของมันลักษณะนูนขึ้นอย่างชัดเจน นับเป็นลักษณะอันโดดเด่นที่สุด ร่างกายใหญ่โตเผยกลิ่นอายกดดัน จากนั้นก็กระโจนใส่คนเถื่อน

คนเถื่อนกระโดดหลบไปด้านข้าง ใช้ที่โกยฟางเสียบเข้าที่ลำตัวเจ้าสิงโต

คนเถื่อนคู่นี้คล่องแคล่ว ปฏิกิริยาว่องไว

เผชิญหน้ากับอสูรร้ายระดับสูงเช่นนี้ เทียบกันแล้วเขาอ่อนแอกว่า

สิงโตหางปมปล่อยการโจมตีดุดันตอบโต้ อีกฝ่ายหลบอย่างสุดความสามารถ ใช้ความเร็วหลบเลี่ยงไปได้ แต่ขณะที่ไม่ทันระวังตน อาวุธในมือก็ถูกปัดกระเด็นไป

พริบตาต่อมา สิงโตหางปมก็กระโจนเข้าใส่ ฝังเขี้ยวลงบนหัวไหล่ศัตรู

คนเถื่อนเปิดใช้พลังจากโทเทมจนถึงขีดสุด ต่อสู้ตัวพันกับสิงโตหางปม

แต่เลือดก็ไหลออกจากแผลเรื่อย ๆ ทำให้เขาไม่อาจทนได้ตลอดไป แม้หมัดแกร่งดั่งเหล็กจะสร้างบาดแผลให้เจ้าสิงโตได้ แต่ก็ไร้ประโยชน์

เขาเริ่มรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดลง เรี่ยวแรงหดหาย แต่เจ้าสิงโตยังคงคำรามอย่างบ้าคลั่ง

เขารู้ว่าตนเองถึงจุดจบแล้ว

เขากวาดสายตาดูชนชั้นสูงคนเถื่อน แล้วใช้กำลังเฮือกสุดท้ายตะโกนลั่นออกมา “ข้าขอสาปแช่งชนเผ่าเพลิง !”

ซึ่งไม่นานเสียงก็หายไปด้วยถูกเจ้าสิงโตกลืนกิน

หลังจากเขาตายไปแล้ว การต่อสู้รอบต่อไปเป็นอสูรกาย 2 ตัวสู้กันเอง

อสูรกายทั้งสองถูกกลับมาจากสงคราม เป็นเฉลยที่คนเถื่อนใช้เลือด หยาดเหงื่อ หยาดน้ำตา กระทั่งใช้ชีวิตแลกมา แต่กลับต้องถูกเอามาใช้ในการประลองอันไร้จุดมุ่งหมายเช่นนี้

อสูรกายทั้งสองทั้งส่งเสียงคำรามและเดินวนอยู่ในกรง สติปัญญาทำให้รู้ว่ามันมีชะตาเป็นอย่างไร ถึงไม่คิดจะสู้กับอีกฝ่ายเพื่อคนเถื่อนอัน ‘ต่ำต้อย’ เช่นนี้

แต่คนเถื่อนก็เตรียมตัวมาดี

พวกเขาฉีดยาให้อสูรกายทั้งสอง ไม่นานพวกมันก็บ้าคลั่งขึ้นมา

นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดง สติทั้งหลายมลายหาย

ผู้ดูแลสังเวียนเปิดกรงออก อสูรกายทั้งสองพุ่งเข้าหากันแล้วเริ่มโจมตีอย่างดุดันเมื่อเห็นว่ารอบกายไม่มีใครอื่น

ด้วยพวกมันเป็นอสูรกาย การต่อสู้จึงดุดัน ไม่นานก็นองไปด้วยเลือด

เสียงคำรามดังลั่นสนาม ก้อนเนื้อกระจายทั่วพื้น พลังฟื้นฟูอันทรงพลังของอสุรกายทำให้พวกมันตายยาก การต่อสู้จึงเต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณมากเป็นพิเศษ

แม้จะสู้กันจนร่างแยก ผิวหนังที่เหลือแต่ไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังรวมพลังซัดการโจมตีเข้าใส่กันไม่หยุด จนสุดท้ายก็มีฝ่ายหนึ่งล้มลงไปแล้วลุกขึ้นมาอีก

ผู้ชมส่งเสียงโห่ร้อง พนันกันว่าฝ่ายไหนจะชนะ เมื่อผลลัพธ์ออกมา บ้างก็ร้องดีใจ บ้างก็ร้องเสียงขื่นขม บ้างก็โกรธเกรี้ยว และบางคนก็เฉลิมฉลองมีความสุข ปฏิกิริยาทั้งหลายล้วนมีให้เห็น

คนที่ดูท่าจะไม่สนใจเลยคงจะเป็นตัวอานู๋ปี่

“เป็นการต่อสู้ที่ไร้จุดหมายจริง” อานู๋ปี่หาวดังลั่นแล้วคำราม “เอาพวกขยะออกไปจากที่นี่ ! ให้ข้าได้เห็นอะไรน่าตื่นเต้นหน่อย !”

“ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ ฝ่าบาท” ขุนนางด้านข้างรีบกล่าวแล้วโบกธง

ไม่นาน สิงโตหางปมก็ถูกลากออกไป คนเถื่อนเรา 20 คนแยกเป็น 2 กลุ่มเดินเข้ามาตรงกลาง

สำหรับคนส่วนมาก ดูสัตว์อสูร 2 ตัวสู้กันเองไม่น่าสนใจเท่าไหร่ การต่อสู้หัวชนฝาของคนเผ่าเดียวกันต่างหากถึงจะน่าสนใจ

เมื่อเกิดเสียงกลองขึ้นรัว ๆ คนเถื่อนทั้งสองกลุ่มก็กระโจนเข้าหากัน

ความสนใจของอานู๋ปี่ถูกกระตุ้นขึ้นเล็กน้อย

เขาเบิกตากว้าง มองภาพด้านล่างด้วยความสำราญใจ มันทำให้เขารู้สึกเติมเต็มกับความงามที่ไม่เหมือนใครของเขา

เมื่อเสียงกลองหยุด การต่อสู้ก็หยุดลงเช่นกัน

คนเถื่อนกลุ่มที่สวมชุดสีแดงเป็นฝ่ายชนะ แต่เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น

ที่พื้นมีแขนขาและซากศพกองอยู่ เลือดไหลเจิ่งนองอยู่ทั่วสนาม

ผู้ชมส่งเสียงร้องดังลั่นให้กับผู้ชนะ แต่พวกเขากลับจ้องเพื่อนในกลุ่มที่ต้องสละชีพไปด้วยความโศกเศร้า

“พวกโง่ไร้ประสบการณ์” อานู๋ปี่พึมพำด้วยน้ำเสียงรังเกียจ ส่งสายตามองไปยังชนชั้นสูงที่กำลังส่งเสียงดัง

ในสายตาเขา การต่อสู้นี้ดีได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

หลังจากการประลองกลุ่มก็กลายเป็นการประลองตัวต่อตัว ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของสตรีชาวคนเถื่อน 2 นาง รูปร่างงดงามไม่ใช่น้อย เทียบได้กับของหวานหลังอาหารโดยแท้

แม้การต่อสู้ของสตรีคนเถื่อนจะไม่ทรงพลังมากมาย แต่ก็ยังมีความงดงาม กระทั่งอานู๋ปี่ที่นั่งบ่นมาโดยตลอดยังไม่ปริปากวิจารณ์สักนิด นั่งดูการประลองไปเงียบ ๆ จนจบ

ห่านปู้เอ่อร์พูดไว้ได้ถูกต้อง คนเถื่อนกับการประลองมาทุกประเภทจริง ๆ ดังนั้นจะหาสิ่งใหม่มาทำให้อานู๋ปี่ตื่นตาตื่นใจคงทำได้ยาก

เมื่อประกาศผู้ชนะแล้ว อานู๋ปี่ก็ลุกขึ้นกล่าว “ส่งคนที่ยังมีชีวิตมาที่เรือนพักของข้า นับเป็นเกียรติให้ผู้ชนะ”

จากนั้นก็หัวเราะบ้าคลั่งแล้วจากไป

มักมาก บ้าตัณหา โหดเหี้ยม และกระหายเลือด

ซูเฉินมองประเมินราชาผู้บ้าคลั่งอย่างเงียบเชียบ

ห่านปู้เอ่อร์เดินเข้ามาถาม “ท่านคิดเห็นอย่างไร ?”

“เป็นการต่อสู้ที่น่ามหัศจรรย์ไม่น้อย” ซูเฉินตอบ

“แต่ในสายตาฝ่าบาท ก็ยังไม่สามารถเติมเต็มความต้องการชะล้างความเบื่อหน่ายได้อยู่ดี”

“จะสนองความต้องการของฝ่าบาทได้เป็นเรื่องยากนัก”

“แต่ท่านต้องทำให้ได้”

ซูเฉินหัวเราะ “นั่นก็ถูก”

ห่านปู้เอ่อร์จ้องเขาด้วยสายตาลึกล้ำก่อนจะบอกขอให้ ‘โชคดี’ แล้วจากไป

ซูเฉินก็กำลังจะเดินออกไป พลันได้ยินน้ำเสียงที่ด้านหลัง “ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทสินะ”

ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเป็นใคร

ซูเฉินหัวเราะ “ไม่เห็นรู้ว่าเจ้ามาที่นี่ด้วย”

พอหันกลับไปก็เห็นเป็นตานปาอย่างที่คาด

ตานปายักไหล่ “พอนึกถึงคำสั่งของฝ่าบาท เลยคิดว่าเจ้าคงมาที่นี่ในวันนี้ ข้าก็เลยมารับชมความสนุกด้วย”

“รับชมความสนุกด้วย ?” ซูเฉินถาม

“และมาบอกบางอย่าง.”

“ซึ่งก็คือ ?”

“ข้าจะกลับแล้ว”

ซูเฉินเงียบ

ตานปาว่าต่อ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ตอนนี้ข้าสามารถสัมผัสพลัง ดูดซับ และนำมันมาใช้เองได้แล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ ข้าจะทะลวงถึงขั้นใหม่ได้ด้วยกำลังของตนเอง แต่น่าเสียดายที่ข้ารั้งอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดจำเป็นต้องมีข้า ข้าทิ้งมันไปนานไม่ได้”

“ก็เลยมาเพื่อบอกลางั้นหรือ ?”

“ยังมีจุดที่ต้องแก้อีกสักหน่อยด้วย” ตานปาตอบ

ซูเฉินถาม “เรื่องตัวตนของข้าใช่หรือไม่ ?”

ตานปาพยักหน้า

ก่อนเข้าวัง ซูเฉินเข้ามาในอารามในฐานะสมาชิกชนเผ่ากิ้งก่ากรวด

หากเรื่องตัวตนไม่ถูกแก้ไข เช่นนั้นเมื่อซูเฉินสร้างเรื่องในวังเมื่อไหร่ ตานปาก็จะติดร่างแหไปด้วย

แม้อีกไม่ช้านานตานปาจะต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่าเพลิงก็ตาม แต่เขาก็อยากเป็นคนคุมจังหวะเวลามากกว่า

“แล้วคิดจะทำอย่างไร ?” ซูเฉินถาม

ตานปายิ้มน้อย ๆ “ไม่ยาก อัดเจ้าสักหน่อยก็ได้แล้ว”

ผัวะ !

ตานปาปล่อยหมัดออกมา กระแทกหน้าซูเฉินอย่างจังจนร่างกระเด็น

“ฉะนั้นท่านหัวหน้าเผ่าตานปาก็เลยเชื่อว่าเจ้าทรยศชนเผ่ากิ้งก่ากรวด เลยต่อยเจ้าเพื่อระบายความโกรธหรือ ? ทั้งยังประกาศว่าจะไล่ออกจากชนเผ่ากิ้งก่ากรวดด้วย ?” ห่านปู้เอ่อร์ถามพลางทายาให้ซูเฉิน

“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านห่านปู้เอ่อร์ ทุกคนก็เป็นคนของอาณาจักรเหล็กเลือด ควรแสดงความภักดีต่อฝ่าบาทอย่างถึงที่สุดไม่ใช่หรือ ได้รับใช้ฝ่าบาทควรเป็นเกียรติของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดเราด้วยซ้ำ ทำไมเขาทำกับข้าเช่นนี้ ?” ซูเฉินถามแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก

“ข้านับถือสติปัญญาและความกล้าหาญของท่านนัก หลงถู เหตุการณ์เป็นเช่นนี้แต่สามารถดึงความสนใจของฝ่าบาทเอาไว้ได้แสดงให้เห็นว่าท่านมีไหวพริบ แต่ถ้าไม่ชอบเวลาที่ท่านทำเป็นโง่เขลาต่อหน้าข้า นับว่าเป็นการดูถูกข้า”

ซูเฉินหัวเราะ “นับเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือจริง ๆ”

“ท่านหาวิธีสนองความต้องการของฝ่าบาทให้ได้ก่อนเถอะ เพราะหากทำไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะนับถือข้าเพียงไหน ข้าก็ได้แต่ต้องเก็บศพท่านเท่านั้น”

“ข้ายังมีอีก 2 วันนี่ ?”

“เวลา 2 วันจะไปคิดแผนอะไรได้ ?”

“ท่านห่านปู้เอ่อร์ ท่านน่าจะรู้ว่าแผนมีประโยชน์หรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวแผนเองอย่างเดียว แต่เป็นเป้าหมายต่างหาก บุปผาบานอาจทำให้สาวงามหยุดดอมดมได้ งานเลี้ยงอาหารเลิศรสก็สามารถทำให้ชนชั้นสูงน้ำลายหกได้เช่นกัน บทเพลงไพเราะทำให้ผู้รักเสียงเพลงมึนเมา ภาพวาดด้วยถ่านที่สลับซับซ้อนสามารถดึงดูดสายตานักสะสมงานศิลปะได้…… ไม่ว่าแผนการจะดีจะร้าย ก็ต้องให้เหมาะสมกับเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาสนใจ ยามเมื่อเข้าใจจุดนี้ และสามารถควบคุมกุญแจสำคัญได้ ท่านถึงจะสามารถคิดแผนการที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจกับความหลักแหลมได้”

ห่านปู้เอ่อร์ชะงักไปเล็กน้อย “เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจ แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่าคนที่ท่านต้องสนองความต้องการ เป็นผู้ที่เอาใจยากที่สุดในอาณาจักร”

ซูเฉินส่ายหน้า “ท่านคิดผิดตรงจุดนั้น ท่านห่านปู้เอ่อร์ กระทั่งคนพิธีพิถันที่สุดยังไม่เอาใจยากมากเท่าฝูงชน กลุ่มคนมีความหลากหลายไม่แน่นอน ต่างคนต่างความชอบความสนใจ สิ่งที่ท่านคิดว่าน่าสนใจ อีกคนอาจบอกว่าไม่ ไม่ว่าจะช่างเลือกหรือเอาใจยากขนาดไหน หากมีความต้องการ ท่านก็สามารถวางแผนให้ตรงกับความต้องการของเขาได้ ก็จะสนองความต้องการเขาได้ไม่ยาก…… อย่างน้อยก็ง่ายกว่าการสนองความต้องการของคนกลุ่มใหญ่”

ห่านปู้เอ่อร์อึ้งไป

เขาจ้องซูเฉิน สายตาสับสนอยู่บ้าง

นานเข้าจึงเอ่ย “ท่านพูดถูก ดูท่าท่านจะมีแผนแล้ว”

ซูเฉินเผยยิ้ม เห็นฟันเรียงตัวกันสวย “ยังต้องให้ท่านห่านปู้เอ่อร์ช่วยอยู่ดี แต่ก็ต้องให้เก็บเป็นความลับด้วย”

“ว่ามาเลย ฝ่าบาทส่งข้ามาให้ช่วยเหลือท่าน และข้าภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น”

ซูเฉินพยักหน้า เขาย่อมรู้เรื่องนี้ ดังนั้นจึงอธิบายแผนโดยละเอียดให้ห่านปู้เอ่อร์ฟัง

เมื่อได้ยินแผนการ ห่านปู้เอ่อร์ส่ายหน้าถอนใจ “เป็นเรื่องที่ทั้งไร้เหตุผลและไร้สาระมาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับความชื่นชอบจากฝ่าบาทสูง”

“ท่านให้ผ่านหรือไม่ ?”

ห่านปู้เอ่อร์ไม่ตอบตามตรง

เขาจ้องซูเฉินอยู่นาน “เจ้าต้องได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของฝ่าบาทแน่ หลงถู”