บทที่ 198 ย่อมเป็นที่ชื่นชอบ (2)
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดการทดสอบของซูเฉินก็มาถึง
วันนี้อานู๋ปี่ก็มาที่สนามต่อสู้เช่นเคย แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินปรากฏตัวมาอยู่ข้าง ๆ เขา
อานู๋ปี่โบกมือแล้วกล่าวว่า “ผ่านมา 3 วันแล้ว เจ้าหนูตัวน้อยที่ฉลาดของข้า จะแสดงตลกอะไรให้ข้าดูกัน”
ซูเฉินตอบว่า “ฝ่าบาท ได้โปรดจับตามองดูสนามต่อสู้ให้ดีเถิดขอรับ”
“โอ้ อย่างงั้นเหรอ ? ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่เจ้าคาดเอาไว้เลยนะ เขิ่นอั้ว”
คนเถื่อนที่ยืนอยู่ข้างอานู๋ปี่หัวเราะอย่างเสียดสี “พลเมืองต่ำต้อยจากต่างเผ่าจะทำไปอะไรได้ ?! สิ่งที่พวกมันทำได้ก็คงจะมีแค่กลอุบายราคาถูกที่อ้างอิงจากสิ่งที่ฝ่าบาททรงชอบ หากข้าเดาไม่ผิด มันคงจะเลือกเอาสัตว์อสูรที่หายากกว่าปกตินิดหน่อย 2-3 ตัว มาต่อสู้กันด้วยวิธีแบบแปลกใหม่ ทว่าพลเมืองต่ำต้อยอาจไม่ค่อยได้ดูชมการต่อสู้ในสังเวียนบ่อยนัก ข้าจึงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันกำลังจะแสดงให้เราได้ชม คงจะเป็นการแสดงที่เราเคยชมจนเบื่อหน่ายไปแล้ว”
“ฮ่า ๆๆๆ!” กลุ่มคนเถื่อนรอบข้างของเขาค่อย ๆ พากันส่งเสียงหัวเราะขึ้น
ซูเฉินรู้จักคนเถื่อนที่มีนามว่าเขิ่นอั้วผู้นี้อยู่บ้าง อีกฝ่ายเป็นเสนาธิการใหญ่ที่รับผิดชอบจัดการงานภายในทั้งหมดของวัง แม้ว่าเขาจะมีหน้าที่ดูแลข้ารับใช้ทั้งหมด แต่งานหลัก ๆ ของเขาคือการเตรียมความบันเทิงต่าง ๆ ให้แก่อานู๋ปี่
ในเวลานี้ ที่ข้างกายของอานู๋ปี่มีหญิงคนเถื่อนที่เขาไม่เคยหน้าเห็นมาก่อนคอยปรนนิบัติอยู่ เขิ่นอั้วคงจะเป็นคนที่เตรียมพวกนางเอาไว้ให้
สำหรับเขิ่นอั้วแล้ว งานใหม่ที่ซูเฉินได้รับส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของเขา จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนว่าถูกเขาขโมยอาหารไป นี่คือเหตุผลที่เขิ่นอั้วพูดจาไม่ดีใส่เขา
ในเมื่อนับอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง ก็ต้องโจมตีให้โหดเหี้ยมและไร้ความปราณีที่สุด
ซูเฉินไม่สนใจเขาและพูดตอบอย่างใจเย็น “หากฝ่าบาทไม่ถูกใจ ข้าก็ยินดีรับโทษ”
“เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ” อานู๋ปี่โบกมือ แล้วซูเฉินก็นั่งลงข้าง ๆ เขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใกล้อานู๋ปี่ขนาดนี้ แต่หากเขาทำผลงานได้ไม่ดี มันคงเป็นครั้งสุดท้ายของเขาด้วย
การต่อสู้ครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
นักสู้ 4 คนเดินขึ้นมาบนเวที นี่ไม่ใช่การสู้รูปแบบ 2 ต่อ 2 หากแต่เป็น 1 ต่อ 3
ในสนามต่อสู้การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องยุติธรรมเสมอไป เพื่อเติมเต็มความกระหายเลือดของราชาผู้บ้าคลั่งอานู๋ปี่ ทั้งการต่อสู้คุณภาพสูง ทั้งกลวิธีพิเศษทั้งหลายที่ทำให้เลือดตกยางออก การได้รับความโปรดปรานจากองค์ราชาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แล้วนักสู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้จะมาสนว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครจะอยู่หรือตายไปทำไม ?
แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้การต่อสู้จบลงเร็วเกินไปนัก การจับคู่โดยให้มีความแข็งแกร่งในระดับเท่า ๆ กันจึงยังจำเป็นอยู่บ้าง แม้ว่าจะเป็นการสู้แบบ 1 ต่อ 3 ก็ตาม
นักสู้คนแรกที่โผล่ออกมาคือปั่วจีเท่อ เขาคือผู้ที่มีสถิติชนะติดต่อกันสูงคนหนึ่งของสนามต่อสู้
ปั่วจีเท่อเป็นผู้เข้าร่วมโดยสมัครใจ เขาเข้ามาลงสู้เพื่อเงินและสถานะ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจัดอยู่ในระดับสูงมาก อาจกล่าวได้ว่าในรุ่นเดียวกันไม่มีใครเป็นคู่แข่งที่เหมาะสมกับเขาได้เลย
แม้ว่าวันนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ถึง 3 คนพร้อมกัน แต่ปั่วจีเท่อก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด
เพราะในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาคือผู้ได้เปรียบ !
“สู้โดยไม่หวาดหวั่น ! เตรียมดอกไม้และเสียงปรบมือของพวกเจ้าให้พร้อม !” ปั่วจีเท่อตะโกนขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
“โอ้ !” ผู้ชมตอบรับด้วยเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“ปั่วจีเท่อ !”
“ปั่วจีเท่อ !”
“ปั่วจีเท่อ !”
ฝูงชนนับไม่ถ้วนตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ปั่วจีเท่อพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ของเขาอย่างป่าเถื่อน ตามที่ทุกคนคาดไว้ ในด้านความแข็งแกร่งเขาได้เปรียบเหนือกว่าคู่ต่อสู้ผู้ที่มีความได้เปรียบในแง่ของตัวเลขอย่างมาก ปั่วจีเท่อใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งและแรงปะทะอันทรงพลังของเขาในการโจมตีคู่ต่อสู้อย่างไม่ลดละ
เขาใช้โล่ป้องกันการโจมตีของคู่ต่อสู้ ในขณะลูกตุ้มในมือขวาฉวยโอกาสโจมตี หลังจากตรวจสอบคู่ต่อสู้ของเขาและแลกเปลี่ยนการโจมตีกันหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถโจมตี 1 ใน 3 ได้สำเร็จ
ขณะที่คู่ต่อสู้บาดเจ็บและกำลังเสียขวัญกำลังใจ เขาก็รีบเร่งคว้าโอกาสนั้นพุ่งไปข้างหน้าแล้วกระแทกโล่ของเขาใส่หัวของศัตรูอีกคน ก่อนที่จะล็อคจับคนที่สามไว้แน่นด้วยแขนอันทรงพลังของตน กล้ามเนื้อแขนทั้ง 2 พองปูดและหักคอของคนเถื่อนคนสุดท้ายทิ้ง
คนเถื่อนที่ถูกกระแทกลอยไปคนแรกลุกขึ้นมาและพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ปั่วจีเท่อโยนศพในอ้อมแขนของเขาแล้วรับการโจมตีจากอีกฝ่าย จากนั้นก็กระโจนเข้าคว้าตัวคู่ต่อสู้ไว้ก่อนจะใช้หมัดทุบตีฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม
“ช่วยข้าด้วย !” นักสู้ผู้นั้นร้องออกมา
นักสู้คนเถื่อนผู้ถูกโล่ตีเองก็ลุกขึ้นมาอีกรอบ
ปั่วจีเท่อขว้างนักสู้ที่จับไว้ใส่อีกฝ่าย พร้อมกับปล่อยหมัดอันทรงพลังอีกหมัดตามไปทุบตีเขาจนตาย
นักสู้คนเถื่อนคนที่ 3 แทงดาบใส่ร่างของปั่วจีเท่ออย่างจัง แต่ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงการโจมตีนั้น ปั่วจีเท่อโยนศพที่ 2 ทิ้งไป แล้วเอาหัวโขกจมูกของคู่ต่อสู้ตรงหน้า จากนั้นก็กัดคอเขาและฉีกทึ้งหลอดลมและหลอดเลือดออกมา
เลือดพุ่งสาดกระจายออกไปทั่วด้าน คู่ต่อสู้คนสุดท้ายถอยไปสองสามก้าวพลางจับคอของเขาไว้ ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ปั่วจีเท่อชูกำปั้นขึ้นฟ้า ใบหน้าและปากของเขาเปรอโะเปื้อนไปด้วยเลือดสด
“เป็นการแสดงที่ไม่เลว แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขิ่นอั้วปรบมือ โดยไม่ลืมที่จะกล่าวประชดประชันซูเฉิน
ซูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “แน่นอนมันว่าไม่เกี่ยวอะไรกับข้า การแสดงที่ข้าเตรียมไว้อยู่ในฉากสุดท้าย … ฉากสำคัญย่อมปรากฏในตอนท้ายเสมอ”
เขิ่นอั้วหัวเราะเยาะ “ช่างบังเอิญเสียจริง ! ดูเหมือนว่าการแสดงที่ข้าจัดเตรียมไว้ก็อยู่ลำดับสุดท้ายเช่นกัน และดูเหมือนจะเป็นเกมสุดท้ายของจริง”
ซูเฉินขมวดคิ้ว
เขารู้ว่านี่คือการโจมตีที่มุ่งเป้ามาหาเขาของเขิ่นอั้ว อีกฝ่ายไม่ต้องการให้การแสดงของเขาได้เป็นโชว์ปิดท้าย
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจับตาสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิด
โชคดีที่แผนของซูเฉินนั้นถูกจัดการอย่างลับ ๆ ดังนั้นเขิ่นอั้วจึงไม่มีทางที่จะรู้เนื้อหาทั้งหมด เขาคงจะรู้เพียงแค่เรื่องผิวเผินเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็ยังรู้สึกเกลียดชายผู้นี้อยู่ดี
เขายิ้มและไม่พูดอะไรอีก
การต่อสู้ครั้งที่ 2 เป็นของนักสู้หญิงคนเถื่อน รอบนี้มีจำนวนผู้เล่นมากเป็นพิเศษถึง 30 คน โดยแบ่งเป็นฝ่ายละ 15 คน
โดยปกติแล้ว ยิ่งมีคนในการต่อสู้มากเท่าไหร่ การต่อสู้ก็จะยิ่งเข้มข้นและนองเลือดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าระดับความบันเทิงก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ฉะนั้นการต่อสู้เหล่านี้จึงเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างมีคุณภาพ รอบแรกเป็นคนดัง ส่วนรอบที่สองก็เป็นกลุ่มผู้หญิงจำนวนมาก ทว่าทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเฉิน และเห็นได้ชัดว่าเขิ่นอั้วเป็นผู้จัดการทั้งหมด
อย่างเดียวที่ซูเฉินสามารถควบคุมได้ นั่นคือการต่อสู้ที่เขาจัดเตรียมไว้
เหตุผลที่เขิ่นอั้วยกระดับคุณภาพของการต่อสู้ที่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าก็เพื่อโจมตีซูเฉิน ด้วยการใช้ ‘โชว์’ คุณภาพสูงจำนวนมากและครอบคลุมแทบทุกประเภทเหล่านี้ กำหนดถึงค่าเฉลี่ยคุณภาพที่โชว์ต่อ ๆ ไปและโชว์ของซูเฉินควรจะมี ทั้งยังทำให้สถานะของอีกฝ่ายในสายตาของอานู๋ปี่ลดลงด้วย
แม้แต่คนเถื่อนที่เรียบง่ายและหยาบคายก็ยังแข่งขันกันด้วยแผนการที่ถี่ถ้วน !
และวิธีการที่เลือกมานี้ก็เหมาะสมเสียด้วย
การต่อสู้ของนักสู้หญิงได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากเสียชีวิตไป 7 คน และบาดเจ็บสาหัสอีกเกินกว่าครึ่งการสู้รบก็สิ้นสุดลง
พื้นสนามต่อสู้ถูกเก็บกวาดทำความสะอาดเล็กน้อย ก่อนที่การต่อสู้ครั้งที่ 3 จะเริ่มต้นขึ้น คราวนี้มันเป็นการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูร
เพื่อตอบสนองอานู๋ปี่และปราบปรามคู่แข่งของเขา เขิ่นอั้วได้เลือกสัตว์อสูรระดับกลางที่หายากและทรงพลัง 2 ตัวมาเพื่อให้พวกมันสู้กันเอง
สัตว์อสูรระดับกลางมีทักษะต้นกำเนิดที่ค่อนข้างทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมันเหล่านี้ที่สามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดเฉพาะตัวอันโดดเด่น ที่สร้างเสียงดังกระหึ่มราวกับปืนใหญ่ และสร้างแสงสีเปล่งประกายราวกับดอกไม้ไฟ ทำให้การต่อสู้ดูงดงามและน่าสนใจยิ่งกว่าการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรธรรมดา ๆ เพียงอย่างเดียว
เกราะป้องกันรอบสนามสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายใต้การโจมตีที่ดุเดือด การปะทะกันระหว่างเกราะป้องกันกับการโจมตีก่อเกิดเป็นแสงสีส่องสว่างทอประกายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้เหล่าระดับสูงตื่นตาจนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา มีเพียงอานู๋ปี่เท่านั้นที่รู้สึกว่ามันก็เป็นแค่โชว์ธรรมดาทั่วไป
ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้หาวออกมา ก็ถือว่าเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
การแข่งขันของนักสู้จะถูกจัดขึ้นประมาณ 4 นัดต่อวัน ดังนั้นหลังจากการต่อสู้ของสัตว์อสูรแล้ว มันจึงถึงคราวของโชว์ที่ถูกจัดเตรียมโดยซูเฉินแล้ว
ไม่นานนัก นักสู้ทั้ง 20 คนก็เดินขึ้นมาบนสนาม
อีกด้านหนึ่ง กิ้งก่าผวาขนาดมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้นบนสนาม
กิ้งก่าผวาเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำที่พอแข็งแกร่งอยู่บ้าง
แต่ทว่านักสู้ 20 คนบนสนามนั้นมีพลังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่นักรบอาราม พวกเขาก็ยังคงมีอักขระโทเทมระดับสูงและร่างกายที่ทรงพลังอยู่ นอกจากนี้พวกเขายังเก่งเรื่องการผสานการโจมตีรูปแบบทีม ซึ่งเป็นไพ่ตายใบสำคัญของสนามต่อสู้แห่งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเป้าหมายของพวกเขาเป็นเพียงกิ้งก่าผวา เจ้าของนักสู้ก็คงไม่มีทางที่จะยอมให้พวกเขาเข้าร่วม และเสี่ยงกับการสูญเสียครั้งใหญ่จากการต่อสู้ที่ไร้จุดหมายเหล่านี้เป็นแน่
ในกรณีนี้ อาจกล่าวได้ว่ากิ้งก่าผวาจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แม้แต่อานู๋ปี่เองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขามองไปทางซูเฉินแล้วกล่าวขึ้น “นี่คือการแสดงที่เจ้าเตรียมไว้ให้ข้า ? การเข่นฆ่าฝ่ายเดียวงั้นรึ”
“ฝ่าบาท ท่านชอบการเดิมพันหรือไม่ ?” ซูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“แน่นอน เจ้าอยากจะเดิมพันกับข้า ?”
“ขอรับ ฝ่าบาท ข้าจะลงเดิมพันกับกิ้งก่าผวา และหากข้าชนะ … ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้าไม่ว่าการแสดงนี้จะทำให้ข้าสนุกได้หรือไม่ก็ตาม และหากเจ้าแพ้… เจ้าก็คงไม่มีอะไรจะให้เสียอยู่ดี” อานู๋ปี่กล่าว
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินตอบกลับอีกครั้ง “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะขอรางวัลอื่นมากกว่า”
อานู๋ปี่จ้องไปที่ซูเฉินด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะค่อนข้างมั่นใจนะ แล้วเจ้าอยากจะได้อะไร ?”
“ตราบใดที่เป็นของขวัญจากฝ่าบาท ไม่ว่าอะไรข้าก็ยินดีรับขอรับ”
อานู๋ปี่พยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าช่างรู้จักใช้คำพูดคำจาจริง ๆ หวังว่าการจัดเตรียมของเจ้าจะดีเช่นฝีปากของเจ้าก็แล้วกัน”
ขณะที่พวกเขาพูด การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น
นักสู้ทั้ง 20 รวมตัวกันเป็นกลุ่มและพุ่งเข้าใส่กิ้งก่าผวา พวกเขาตั้งโล่เหล็กขึ้นเรียงกันเป็นแถว หอกยาวแหย่ผ่านช่องว่างระหว่างโล่ ขณะที่ร่างกายของพวกเขาปลดปล่อยพลังกระจายออกมา
แม้ว่าคนเถื่อนที่มีโทเทมระดับสูงเหล่านี้จะไม่มีความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิด แต่ร่างกายอันทรงพลังก็ทำให้พวกเขากล้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว อักขระโทเทมเริ่มส่องแสงสว่างแพรวพราว ทอประกายระยิบระยับขึ้น
กิ้งก่าผวายังคงนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหวอะไร มันก้มศีรษะที่ดูประหลาดเพราะเขาที่งอกยาวออกมาลง
ลำแสงสีขาวพุ่งออกมาจากเขาเข้าปะทะกับโล่เหล็กของนักสู้
นี่คือทักษะต้นกำเนิดแต่กำเนิดของกิ้งก่าผวา แสงสีขาวอันทรงพลังกระแทกลงบนโล่เหล็กแข็ง นักสู้ทั้งหมดร่วมมือกันเพื่อต้านทานการโจมตี ทันใดนั้นเองวัตถุที่ดูคล้ายหนวดก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของกลุ่มนักสู้ ก่อนจะแทงเข้าที่หลังของคนเถื่อนคนหนึ่ง
เนื่องจากพวกเขาทุ่มความสนใจและการป้องกันทั้งหมดเอาไว้ที่ด้านหน้า พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะมีการโจมตีมาจากด้านหลัง
พรวด !
นักสู้คนเถื่อนผู้โดนเสียบทะลุกระอักเลือดออกมาเต็มปาก หนวดขนาดใหญ่ขยับแหวกผ่านกลุ่มคนเถื่อนและไล่แทงพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
พรวด พรวด ! ในเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว หนวดนั้นก็ได้ไล่เสียบนักสู้คนเถื่อนไปหลายคนแล้ว
นักสู้เพิ่งสังเกตเห็นหนวดหลังจากที่พวกเขาถูกมันเสียบไปถึง 3 คนแล้ว หลังจากที่ถูกแทงไปอีกสอง ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มตอบสนองและพยายามหลบไปด้านข้าง ทำให้รูปขบวนของพวกเขาถูกทำลายลง หนวดใหญ่โบกสะบัดอยู่ในอากาศ คนเถื่อนทั้งห้าเสียบเรียงกันราวกับถังหูลู่ พวกเขายังคงไม่ตายและยังคงกระอักเลือดอยู่
ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาหลบได้ นักสู้คนเถื่อนต่างก็หันเอาโล่มาบังด้านหลังของพวกเขาแทน
นี่เป็นความผิดพลาดร้ายแรงมาก
เพราะครู่ต่อมากิ้งก่าผวาก็ขยับตัว
มันพุ่งตรงเข้าหากลุ่มนักสู้ กีบเหล็กของมันกระแทกพื้นเสียงดังจนเวทีสั่นสะเทือน ด้วยขนาดและความเร็ว มันจึงทะลวงผ่าคนเถื่อนที่เหลือได้อย่างง่ายดาย พลังที่ไม่อาจหยุดยั้งส่งนักสู้ 6-7 ลงไปนอนกับพื้นในคราเดียว
พวกเขาถูกโจมตีจากด้านหลังอีกครั้ง กิ้งก่าผวาทำให้เหล่านักสู้ตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสในทันใด
ขณะที่กิ้งก่าผวาพุ่งตัวออกไปข้างหน้า หนวดที่สะบัดไหวอยู่ในอากาศหดกลับลงมาอีกครั้ง มันโยนซากศพที่เสียบอยู่ทิ้ง พลางหดตัวต่อไปก่อนมันจะกลับไปหากิ้งก่าผวา
กลายเป็นว่าหนวดนั้นจริง ๆ แล้วคือหางของมัน
อานู๋ปี่ต้องประหลาดใจอีกครั้ง “ข้าไม่ได้ยินเคยเกี่ยวกับกิ้งก่าผวาที่มีความสามารถแบบนี้มาก่อนเลย”
“ข้าได้แก้ไขมันไปเล็กน้อย ฝ่าบาท” ซูเฉินตอบ
อานู๋ปี่เข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น ข้าต้องยอมรับเลยว่าเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ แม้ว่าข้าจะยังไม่รู้สึกสนุกอะไร แต่เจ้าก็เปิดโลกให้ข้าได้เห็นอะไรใหม่ ๆ”
“ข้าไม่ได้หวังว่าท่านจะพอใจกับสิ่งนี้”
“โอ้ ? เจ้าหมายถึง…”
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นขอรับ ฝ่าบาท”
พริบตาต่อมา จู่ ๆ เสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้น สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน