ภาคที่ 4 บทที่ 199 ย่อมเป็นที่ชื่นชอบ (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 199 ย่อมเป็นที่ชื่นชอบ (3)

บนสังเวียนขนาดใหญ่ กิ้งก่าผวาที่ออกอาละวาดได้เริ่มต้นการสังหารหมู่นักสู้ที่เหลืออยู่อย่างป่าเถื่อน

ด้วยการปรับแก้ของซูเฉิน ไม่เพียงแต่จะสามารถใช้หางของมันวางอุบายอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ได้ หากแต่ความแข็งแกร่งและความสามารถในการป้องกันของมันก็ยังถูกยกระดับขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับสติปัญญาของมัน

ความแข็งแกร่งของกิ้งก่าผวาในยามนี้แทบจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับอสูรกายระดับสูงเลยทีเดียว

เมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ นักสู้ทั้ง 20 คนจึงถูกสังหารทิ้งแทบจะในทันที เจ้าของสนามต่อสู้รู้สึกหวั่นใจจนจะลมจับอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้นี้ยังไม่จบ

หลังจากนักสู้ทั้งหมดแล้ว กิ้งก่าผวาก็เริ่มพุ่งเข้าใส่เกราะป้องกันสนามอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของการปรับแก้ของซูเฉินจะทำให้มันเหมือนเป็นบ้าไป จนแม้แต่เกราะแสงรอบสนามก็ยังกล้าที่จะเข้าท้าทาย คลื่นพลังอันทรงพลังกระแทกร่างของกิ้งก่าผวา ทำให้มันส่งเสียงโหยหวน ทว่าความเจ็บปวดมหาศาลนั้นไม่ได้ทำให้มันถอยกลับ แต่กลับทำให้มันเริ่มโจมตีบาเรียแสงอย่างดุร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

เหล่าคนเถื่อนระดับสูงไม่ค่อยได้เห็นอะไรเช่นนี้บ่อยนัก พวกเขาไปรุมดูกันด้านหน้าอย่างสนอกสนใจ เหมือนได้ดูปลาโง่ในตู้ที่พยายามทุบตู้ปลาของตน

แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ

กิ้งก่าผวายังคงโจมตีเกราะแสงอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ลดความเร็วลงเลย ในขณะที่เกราะแสงนั้นกลับดูค่อย ๆ อ่อนแสงลง

ในที่สุด หัวมหึมาที่มีเขาแหลมคมของมันก็แทงทะลุเกราะแสงและปรากฏตัวขึ้นนอกสนามต่อหน้าผู้ชม หญิงคนเถื่อนระดับสูงขี้ขลาดบางคนเริ่มส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ

“ซ่า !” หลังจากที่หัวของมันทะลุผ่านเกราะมา เสียงคำรามขู่ของกิ้งก่าผวาก็ดังชัดเจนยิ่งขึ้น

“ไม่ดีแล้ว !” แม่ทัพกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้างอานู๋ปี่ แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาในทันใด

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เคลื่อนไหว เขาของกิ้งก่าผวาก็เริ่มส่องแสงอีกครั้ง

ลำแสงระยิบระยับครั้งนี้ มีพลังมากกว่าตอนที่มันใช้กับนักสู้คนเถื่อนทั้ง 20 คนเสียอีก

ตู้ม !

วินาทีต่อมา ลำแสงพลังงานขนาดมหึมาก็พุ่งตรงเข้าหาที่นั่งผู้ชม คนเถื่อนกว่า 20 รายตกอยู่ภายใต้การโจมตีครั้งนี้ ส่วนจำนวนผู้รอดชีวิตนั้นไม่ชัดเจน

“อ้า !” เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนดังระงมไปทั้งสนาม ทั่วทั้งสนามต่อสู้ตกลงอยู่ในความวุ่นวายทันที

ความกระหายเลือดและความองอาจที่เป็นอัตลักษณ์ของเผ่าคนเถื่อนนั้น ได้หายจากเหล่าคนเถื่อนระดับสูงไปนานแล้ว ชีวิตที่เรียบง่ายยาวนานหลายปีทำให้พวกเขาเกียจคร้านและขี้ขลาด และเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความตื่นตระหนก หลายคนก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องทำอย่างไรดี

ปฏิกิริยาแรกของคนเถื่อนที่แข็งแรงไม่ใช่การรีบฆ่ากิ้งก่าผวาในทันที แต่กลับแห่กันไปอยู่ข้างอานู๋ปี่เพื่อปกป้องเขา ถึงแม้ความแข็งแกร่งของราชาจะทรงอำนาจเพียงใด หรืออาการบาดเจ็บของกิ้งก่าผวาจะหนักเพียงใด แต่สำหรับโอกาสที่จะแสดงความภักดีซึ่งไม่ได้มีอยู่เสมอไปนั้นสำคัญยิ่งกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าองค์ราชาอาจจะโดนทำร้าย หากเจ้ากิ้งก่าตัวนั้นเข้าใกล้หรือแตะต้องอีกฝ่ายได้ พวกเขาก็นับว่าล้มเหลวในหน้าที่การงานแล้ว

เวลาเดียวกันนั้น ในที่สุดกิ้งก่าผวาก็หลุดออกมาจากเกราะแสงสู่นอกลานต่อสู้ได้แล้ว

มันส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดและพุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้ชมอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากกว้างแล้วตรงเข้าหาหญิงคนเถื่อนที่ไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลาผู้หนึ่ง

กร้วม !

กิ้งก่าผวามุ่งหน้าขึ้นบันไดต่อไป กรามของมันถูกย้อมด้วยเลือดสดขณะที่มันยังคงฆ่าเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมต่อไป

สนามต่อสู้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และเข้าสู่สถานะโกลาหลโดยสมบูรณ์

มีเพียงอานู๋ปี่เท่านั้นที่ยังคงนั่งสังเกตสถานการณ์อย่างสงบและสนใจ โดยปราศจากความกลัว

กลับกัน ในดวงตาของเขากลับสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง

เขาจ้องไปที่ชายร่างใหญ่ที่กำลังวิ่งไปทั่วอย่างโกรธแค้น ก่อนจะกล่าวอย่างสบาย ๆ “ดูเหมือนว่าจะมีข้อผิดพลาดในการเตรียมของเจ้านะ หลงถูสหายน้อยของข้า”

“ตรงกันข้ามเลยขอรับ ฝ่าบาท ทุกอย่างอยู่ในแผน” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น

“โอ้ ?” อานู๋ปี่หันมองซูเฉิน

“เจ้าทำอะไรลงไป !?” เขิ่นอั้วลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธและคว้าปลอกคอของซูเฉิน

“ปล่อยมัน เขิ่นอั้ว” อานู๋ปี่กล่าว

“แต่ฝ่าบาท … ”

“ข้าบอกให้ปล่อย !”

เขิ่นอั้วสับสนไม่เข้าใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงปล่อยมืออย่างไม่มีทางเลือก

อานู๋ปี่หันกลับไปมองซูเฉินอีกครั้ง “เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าวางแผนที่จะให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เจ้าวางแผนฆ่าคนของข้าเพื่อเอาใจข้า ?”

ซูเฉินตอบกลับ “ไม่ขอรับ ฝ่าบาท ส่วนนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ”

“ค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ใช้เพื่อสนับสนุนเกราะแสงนั้นถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน ส่วนประกอบสำคัญบางส่วนก็ได้รับความเสียหาย จึงทำให้เกราะแสงที่ใช้ป้องกันรอบสนามต่อสู้แห่งนี้ไม่เสถียรดีนัก หากเกราะป้องกันไม่ได้รับผลกระทบมากมายจนเกินไปเช่นนั้นมันก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไร ทว่ากิ้งก่าผวาที่ถูกปรับแก้ดัดแปลงมาแล้วตัวนี้ไม่เหมือนดั่งกิ้งก่าผวาทั่วไป เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มสูงขึ้น ความสามารถในการรับรู้ความเจ็บปวดของมันจึงลดลงไปอย่างมาก ที่สำคัญกว่านั้นในช่วง 3 วันที่ผ่านมามันถูกคนเถื่อนทรมานอย่างต่อเนื่อง จนเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อพวกมัน ความเกลียดชังที่ฝังลึกและรุนแรง ควบคู่กับสภาพที่เสื่อมโทรมของเกราะแสง ข้าคิดว่านั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”

อานู๋ปี่มองดูกิ้งก่าผวาที่ยังคงอาละวาดอยู่ แม่ทัพผู้แข็งแกร่งบางคนของเขาได้ลงมือเคลื่อนไหวเป็นการส่วนตัว และปราบปรามกิ้งก่าลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เข้ามาเพื่อขออภัย แต่อานู๋ปี่ส่ายหัวเป็นเชิงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ “เจ้ากำลังจะบอกว่า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าเลย ?”

“ที่ข้าอยากจะพูดคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ อุบัติเหตุมีอยู่มากมายหลายประเภท มันมีทั้งเรื่องน่าเศร้า … ทั้งเรื่องน่ายินดี” ซูเฉินตอบ

คนเถื่อนระดับสูงผู้ฉลาดน้อยคนหนึ่งตะโกนด่าทอเขาอย่างหยาบคาย “เจ้าตัวบัดซบนี่ กำลังพูดบ้าบอะไรของเจ้าห้ะ ? โศกนาฏกรรมนี้เกี่ยวอะไรได้กับเรื่องน่ายินดี ? เจ้าสังหารชนชั้นสูงไปมากมายเช่นนี้ สมควรตาย !”

“หยุด !” อานู๋ปี่สั่งห้ามปรามอีกฝ่ายในทันทีทันใด

จากนั้นคนเถื่อนทั้งหมดก็สังเกตเห็นว่าร่างของอานู๋ปี่กระตุกเล็กน้อย และสั่นสะท้านเบา ๆ

เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนดู พวกเขาก็พบว่าองค์ราชาผู้นี้เหมือนจะกำลัง …หัวเราะอยู่ ?!

เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่เขาไม่สามารถระงับได้ ถูกระเบิดออกมา

อานู๋ปี่เงยหน้าขึ้นและหัวเราะไม่หยุด “ฮ่า ๆๆๆ! นี่มันช่างน่าสนใจจริง ๆ! อุบัติเหตุ ! ใช่เลย อุบัติเหตุที่นำไปสู่ความประหลาดใจอันน่ายินดี ! พวกเจ้าไม่รู้สึกอย่างนั้นหรือ ?”

คนเถื่อนทั้งหมดพูดขึ้นด้วยความงุนงง “ฝ่าบาท…”

“หุบปาก !” อานู๋ปี่ตะโกนเสียงดัง “ข้าเบื่อกับความดื้อรั้นและไร้ความสามารถของพวกเจ้ามาเกินพอแล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกจัดวาง จัดฉาก จัดเตรียมโดยพวกเจ้าเพื่อหลอกลวงข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่เหรอ ? พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้และไม่อาจบอกได้ว่าเจ้าจัดเตรียมทุกสิ่งเอาไว้แล้ว ? ทุกอย่างต้องตามกฎเกณฑ์ตามแบบแผน ทั้งน่าเบื่อและไร้ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ไร้ซึ่งความหมาย ! ไม่น่าสนใจเลยสักนิด ! ข้าเกลียดเรื่องเช่นนั้น !”

คลื่นพลังที่แข็งแกร่งพัดโหมกระหน่ำ กวาดไปทั่วอัฒจันทร์ในเวลาเดียวกับที่เขาตะโกนขึ้น กดดันให้คนเถื่อนทั้งหมดต้องถอยกลับ มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ข้างอานู๋ปี่ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ฉากนี้ทำให้เขารู้สึกทึ่งกับพลังอันเหลือล้นของอีกฝ่ายมาก

อานู๋ปี่ยังคงตะโกนต่อไป “ความแปลกใหม่ ! ความประหลาดใจที่น่ายินดี ! ข้าต้องการสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย บางอย่างบางสิ่งที่ไม่อยู่ในแผนที่วางเอาไว้ เหมือนกับเนื้อย่างร้อน ๆ ที่เพิ่งออกมาจากกองไฟ ! สด ใหม่ มหัศจรรย์ และสร้างสรรค์ เห็นนี่ไหม ? ดูสิ นี่คือ… ”

ใช่ นี่คือสิ่งที่อานู๋ปี่ชอบ !

ซูเฉินเข้าใจราชาบ้าคลั่งผู้นี้มานานแล้ว

สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎที่ซับซ้อนและมีรายละเอียดที่ยุ่งยากเกินไป

สาเหตุที่บางครั้งเขาบ้าและบ้ามากก็เพราะเขาเกลียดการถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบแบบเดิม ๆ

เขาสนุกกับสิ่งที่เขาไม่เคยคาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น

เขาสนุกกับสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา

โดยไม่สนใจว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

อุบัติเหตุ !

เกินคาด !

แหกคอก !

อิสระ !

นี่คือสิ่งที่อานู๋ปี่ต้องการ ตราบใดที่มีคนที่สามารถทำตามข้อกำหนดเหล่านั้นได้ เขาก็จะชอบมัน !

ซูเฉินที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างดี ได้จัดเตรียมอุบัติเหตุเกินคาดนี้ให้กับอีกฝ่ายอย่างรอบคอบ

และก็ตามที่คาดไว้ อานู๋ปี่ชื่นชอบโชว์นี้เป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งในคนเถื่อนกล่าว “แต่ฝ่าบาท มีคนตายไปมากมาย… ”

“ข้าบอกให้หุบปากไง !” อานู๋ปี่คว้าหัวคนเถื่อนผู้นั้น “ใครจะมาสนใจกับชนชั้นสูงแค่ไม่กี่คนกัน ? ข้าก็แค่หาคนมาแทนที่พวกเขาก็พอแล้วมิใช่รึ หรือเจ้ากลัวว่าจะมีคนอยากเป็นชนชั้นสูงไม่เยอะพอ ?”

พูดจบเขาก็กดมือของเขา แล้วหัวของอีกฝ่ายก็ถูกบดขยี้แตกเป็นเสี่ยง ๆ

อานู๋ปี่ดึงมือกลับ ข้ารับใช้ส่งผ้าเช็ดตัวสีขาวให้เขาเช็ดมือ

อานู๋ปี่เช็ดมือและมองไปทางซูเฉิน “ข้าสนุกกับการจัดการของเจ้ามาก หลงถู อย่างไรก็ตาม … ”

“ฝ่าบาท !”

ทันใดนั้นเสียงรองเท้าบูททหารกระทบพื้นดังขึ้นมาแต่ไกล แม่ทัพคนเถื่อนผู้หนึ่งเร่งรีบเข้ามาและขัดจังหวะอานู๋ปี่อย่างไม่มีความเกรงใจ

คนเถื่อนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน มีรูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างหาได้ยากในบรรดาสมาชิกของเผ่าพันธุ์นี้ เขามีท่าทาที่ดูแน่วแน่ และดวงตาที่เฉียบคมคู่หนึ่ง

ชื่อของเขาคืออ้ายฝูหลี่เก๋อซือ เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพเหล็กเลือดของชนเผ่าเพลิง

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็น ‘ลูกผสม’ ระหว่างคนเถื่อนกับปีศาจ

ปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ ที่อาศัยความคุ้มครองของคนเถื่อน คล้ายกับเผ่าหินผาที่อาศัยเผ่ามนุษย์ ลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นที่สุดของเผ่าพันธุ์นี้คือ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายพวกเขาก็จะมีรูปลักษณ์ที่ดูดีและมีเสน่ห์กันทั้งหมด

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือสืบเชื้อสายมาจากมารดาของเขา ดังนั้นรูปร่างหน้าตาของเขาจึงหล่อเหลาเกินพอจะทำให้มนุษย์จะตกหลุมรัก เขาเป็นที่รู้จักดีในกลุ่มคนเถื่อนในฐานะคนรักของมวลชน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพคนเถื่อนทั้งที่มีสถานะเป็นเลือดผสม ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาแต่เป็นความสามารถในการบังคับบัญชาที่ไม่ธรรมดาของเขา

เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันการโจมตีจากเผ่าวิญญาณทางแนวรบด้านตะวันตก ทันทีที่เขาถูกส่งตัวไปที่นั่น พวกคนเถื่อนที่เดิมทีถูกกดดันและเสียเปรียบอย่างหนัก กลับเริ่มพลิกสถานการณ์ได้ในทันใด

นี่เป็นเหตุการณ์ที่หายากมากในประวัติศาสตร์นับหมื่นปีของเผ่าคนเถื่อน

แม้การต่อสู้ภายใต้คำสั่งของอ้ายฝูหลี่เก๋อซือจะเคยได้รับชัยชนะกลับมาเพียงครึ่งเดียว แต่แค่นั้นก็ถือเป็นสถิติที่น่าทึ่งในบรรดาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของการต่อต้านเผ่าวิญญาณแล้ว ทุกครั้งที่พวกเขาต่อสู้ เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจำกัดจำนวนผู้เสียชีวิต ความพยายามเหล่านี้ทำให้แรงกดดันของทหารคนเถื่อนในแนวรบด้านตะวันตกลดลงอย่างมาก

นั่นคือเหตุผลที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเทพสงครามเพลิง

ใช่แล้ว เขาคือหนึ่งในสามเทพสงครามของชนเผ่าเพลิง

ในบรรดาเทพสงคราม เขาเป็นคนที่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมน้อยที่สุด

ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้อ้ายฝูหลี่เก๋อซือมีชื่อเสียงในด้านผู้มีความมั่นคงและสงบมากขึ้น

เมื่อเทียบกับเทพสงครามซ่าเค่อเอ่อร์แล้ว อ้ายฝูหลี่เก๋อซือนั้นนับว่าเป็นลูกผู้ชายมากกว่า เขาเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ของเผ่าเพลิง และเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในเผ่าชนเผ่าเพลิงมากที่สุด

มีเพียงตัวตนแบบเขาเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับอานู๋ปี่ได้ตรง ๆ โดยไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของราชาในมือเขา

เดิมทีเขาประจำการอยู่ที่ชายแดนตะวันตก แต่เนื่องจากการบุกโจมตีอย่างกะทันหันของขบวนสัตว์อสูร เขาจึงถูกย้ายจากชายแดนตะวันตกกลับมายังส่วนกลางชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรรุกคืบเข้ามาได้อีก

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือเดินไปหาอานู๋ปี่และกล่าวอย่าง “ฝ่าบาท เลือดของชนชั้นสูงไม่ใช่เครื่องมือที่จะทำให้ท่านรู้สึกพอใจ ครั้งนี้ท่านทำมากเกินไปแล้ว”

“หืม ?” อานู๋ปี่หันไปมองอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ “เช่นนั้นจะมีไว้เพื่ออะไร ? พวกมันคือแมลงเม่าที่บ่อนทำลายอาณาจักร ขโมยสมบัติข้า ทำลายสังคมของเรามิใช่หรือ ?”

ต้องยอมรับว่าถึงแม้อานู๋ปี่จะบ้า แต่วิสัยทัศน์ของเขานั้นนับว่าค่อนข้างชัดเจนไม่เหมือนใคร

ทัศนะที่ไม่แยแสต่อพวกระดับสูงของเขาไม่ใช่เพียงเพราะเขาไม่สนใจชีวิตเท่านั้น แต่ยังเพราะว่าชนชั้นสูงเหล่านั้นหลายคนเริ่มทุจริตมานานแล้ว

เมื่อต้องเผชิญกับความเน่าเฟะนี้ อานู๋ปี่มีความสุขที่ได้เห็นความตายของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตนไม่ใช่ต้นเหตุ ดังนั้นเขาจึงไม่กดดันเลย

ทว่าอ้ายฝูหลี่เก๋อซือก็ไม่ได้ถอย “ข้ารู้ว่าชนชั้นสูงส่วนใหญ่ตกต่ำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่สนใจใยดีชีวิตของพวกเขาได้ ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ หลงถูผู้นี้ก้าวร้าวเกินไป กล้าที่จะใช้ชีวิตของชนชั้นสูงเพื่อเอาใจฝ่าบาท มันสมควรถูกประหารชีวิต !”

“โอ้ นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว หลงถู เจ้าคิดว่าอย่างไร ?” อานู๋ปี่เหลือบมองไปทางซูเฉิน

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “เทพสงครามเหล็กเลือดผู้ยิ่งใหญ่อ้ายฝูหลี่เก๋อซือ ข้าเกรงว่าท่านจะเข้าใจอะไรผิดอยู่นะ ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตของพวกระดับสูงเหล่านั้นเพื่อทำให้ฝ่าบาทพอใจ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” อ้ายฝูหลี่เก๋อซือกล่าวอย่างโกรธเคือง

“ข้ากล่าวว่ามันเป็นอุบัติเหตุ” ซูเฉินตอบ “อุบัติเหตุทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น งั้นแล้วเหตุใดท่านถึงต้องยืนกรานที่จะตำหนิข้าด้วย ?”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนให้ยากิ้งก่าผวาตัวนั้น และทำให้มันกลายเป็นแบบนี้หรอกหรือ ?”

ซูเฉินพยักหน้า “เป็นข้าเอง แต่หากข้าใช้ยาแล้วยังไง ? กิ้งก่าผวาเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ ถึงจะได้รับยามันก็แค่มีพลังเกือบจะเท่าสัตว์อสูรระดับสูงแค่นั้น แล้วท่านเทพสงครามจะบอกว่าความสามารถในการป้องกันของสนามต่อสู้นี้ แกร่งพอแค่ป้องกันการโจมตีของสัตว์อสูรระดับกลางงั้นหรือ ?”

“นี่… ” อ้ายฝูหลี่เก๋อซือพูดไม่ออก

โดยปกติแล้ว มาตรฐานการป้องกันของสนามนักสู้ควรจะสามารถป้องกันสัตว์ร้ายระดับเจ้าอสูรได้เป็นอย่างต่ำ

ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินที่ยกระดับของกิ้งก่าผวาขึ้นไปถึงระดับสูง จึงไม่สามารถเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ได้

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือถาม “เจ้ากำลังพยายามจะบอกว่า ที่เกราะแสงผิดปกติไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้า ?”

“แน่นอน” ซูเฉินยักไหล่ “ข้าบอกไปแล้วว่าเกราะแสงถูกใช้มานานแล้วก็ย่อมมีเสื่อมโทรมลงบ้าง และไม่สามารถทนต่อการโจมตีหนัก ๆ ได้มากเท่าเดิมอีกต่อไป ทว่านั่นก็เป็นความรับผิดชอบของผู้จัดการสนามสู้ไม่ใช่ข้า”

“แล้วเจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง ?”

“ข้ามาที่สนามต่อสู้เพื่อค้นหาวิธีสร้างความบันเทิงให้กับฝ่าบาท ขณะที่ข้ากำลังดัดแปลงกิ้งก่าผวาข้าก็พบว่าเกราะแสงมีข้อบกพร่อง ดังนั้นข้าจึงเขียนรายงานพิเศษและส่งให้ผู้จัดการสนาม เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะรู้เรื่องนี้”

“รายงานอยู่ที่ไหน ?”

“มันอยู่ในสำนักงานของผู้จัดการสนามต่อสู้ หากไปหาตอนนี้ก็คงจะเจอ เพราะถ้าท่านเร็วพออาชญากรคงไม่สามารถทำลายหลักฐานได้ทัน”

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือหันกลับไปส่งสัญญาณ จากนั้นทหารสองสามนายก็พุ่งออกไปทันที

อย่างไรก็ตามอ้ายฝูหลี่เก๋อซือรู้สึกว่ามีแนวโน้มสูงมากที่คนของตนจะกลับมาพร้อมข้อมูลที่น่าผิดหวัง

เขามองไปที่ซูเฉินแล้วถามต่อ “แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องที่กิ้งก่าผวาอาละวาดอย่างไร ?”

ซูเฉินก็ยังคงตอบอย่างใจเย็น “อุบัติเหตุ ? เรื่องบังเอิญ ? เหตุบานปลายที่ไม่มีใครคาดคิด ? มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะคิดอย่างไร”