ภาคที่ 4 บทที่ 200 ช่วยชีวิต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 200 ช่วยชีวิต

“ฮ่า ๆๆ!”

เสียงหัวเราะดุร้ายดังทำลายความเงียบ

มันดังมาจากราชาผู้บ้าคลั่งนั่นเอง

เขาชูสองมือขึ้นฟ้าแล้วตะโกนลั่น “ใช่ ! ใช่แล้ว ! นี่แหละคือสิ่งที่ข้าอยากเห็น ! ความสุดยอด ! ความสุดยอดที่แท้จริง !”

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือชะงัก

อานู๋ปี่ตะโกนต่อ “ดู ! อ้ายฝูหลี่เก๋อซือผู้ยิ่งใหญ่ฉลาดล้ำเลิศ ผู้ปกป้องคนเถื่อน ฝันร้ายของเผ่าวิญญาณ พวกเจ้าชู้ไร้ยางอาย ถึงกับอึ้งไปเลย !”

อานู๋ปี่หัวเราะลั่นต่อ “นี่ล่ะสิ่งที่ข้าอยากเห็น ! น่าตื่นเต้นกว่าที่พวกชั้นสูงนั่นตายซะอีก ! ข้าแทบอยากจะสังหารเจ้าเพราะชอบใจเลย หลงถู ! เจ้าจัดการแสดงที่เยี่ยมยอดสุด ๆ ที่ข้าไม่ได้พบมานานนับสิบปีแล้ว ข้าขอสาบานเลยว่าไม่เคยเห็นอะไรที่บันเทิงเช่นนี้มาก่อน ดู ดูหน้าอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ ! ดูเหมือนเจ้าโง่ที่ถูกเล่นงานเข้าอย่างจังก็มิปาน ! อ้ายฝูหลี่เก๋อซือ เจ้าคงไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงสินะ ?”

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือสีหน้าแข็งกล้า “ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าดีใจ”

“ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจของเจ้า” อานู๋ปี่หัวเราะ

ชนชั้นสูงทั้งหลายก็เริ่มหัวเราะเช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่อานู๋ปี่พูดถูกต้องคือ อ้ายฝูหลี่เก๋อซือไม่เคยต้องเจอเรื่องเหนือความคาดหมายเช่นนี้มาก่อน

นับเป็นครั้งแรกที่เขาพยายามสั่งสอนคนอื่นแล้วถูกย้อนกลับเสียเอง

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือสงบใจลง “ทหารที่ออกไปหาหลักฐานยังไม่กลับมากระมัง ?”

อานู๋ปี่ตอบทันควัน “แต่ทั้งเจ้าและข้ารู้ดีว่าหลงถูไม่ได้โกหกนี่ ? เจ้าอาจบอกให้ทหารทำลายหลักฐานก็เป็นได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่คนเถื่อนประเภทนั้น เจ้าเป็นเทพแห่งสงคราม ไม่มีทางลงมือทำเช่นนั้นแน่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าดูถูกเจ้าเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ ข้าเริ่มจะชอบมันแล้ว ข้าคิดว่าคงจะเป็นไปได้จริง ๆ ที่จะหาสิ่งที่ชอบในสิ่งที่เกลียดได้ ซึ่งทำให้ข้าตกใจไม่ใช่น้อยที่ข้าไม่เคยรู้มาก่อน !”

อานู๋ปี่ยักไหล่ “ที่อยากพูดก็คือ หลงถูสามารถขุดเอาด้านดีของเจ้าขึ้นมาได้ ทำให้เจ้ายิ่งดูน่าชื่นชอบขึ้นไปอีก”

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือยังคงเงียบสงบสีหน้าแข็งกล้า

ทหารที่ออกไปหาหลักฐานกลับมาอย่างรวดเร็ว

เป็นไปดังคาด มีรายงานว่าจำเป็นต้องซ่อมแซมสิ่งกีดขวางอย่างไรจริง

แต่เห็นได้ชัดว่าคนเถื่อนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่สนใจ

ไม่ว่าเขาจะเมินเฉยกับงานอย่างนี้อยู่ตลอด หรือจะทำพลาดแค่ครั้งนี้หนเดียว แต่ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในคนเถื่อน แท้จริงแล้วถ้าได้รับรายงานแล้วลงมือทำทันทีนั่นสิถึงจะแปลก ทั้งยังมีเรื่องที่ซูเฉินเลือกจะส่งรายงานไปตอนที่เจ้าหน้าที่ยังมึนเมาเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำงานอีกด้วย

เหตุการณ์เผยออกมาในตามที่วางแผนไว้

หรือว่าจะมีรายละเอียดอื่นที่เขามองข้ามไป ?

ยังมีกลยุทธ์อื่นแฝงอยู่ภายใต้อีก ?

มีมือมืดที่ชักใยอยู่หลังม่าน ?

แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป

ที่สำคัญคือสถานการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว เผยให้เห็นว่าทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง

ชนชั้นสูงทั้งหลายตายไปมาก เทพแห่งสงครามเสียหน้าไม่ใช่น้อย แต่ราชากลับพึงพอใจมาก

“ทุกอย่างมีกฎของมัน” ซูเฉินเอ่ย “ในเมื่อเทพแห่งสงครามเช่นท่าน ไม่มีหลักฐานชี้ตัวว่าข้าเป็นคนผิด ข้าก็ไปได้แล้วใช่หรือไม่ ?”

อ้ายฝูหลี่เก๋อซือจ้องซูเฉิน ผ่านไปนานจึงพยักหน้า “ข้าจะจับตาดูเจ้าไว้ไอ้หนู”

ซูเฉินตอบตามตรง “ข้าว่าท่านคอยจับดูเผ่าวิญญาณพวกนั้นจะดีกว่า พวกเราต่างรู้ว่าเผ่าวิญญาณมีวิชาลวงจิตผู้คนและแปลงกายได้ ไม่แน่ว่าคนที่มีหน้าที่ดูแลสังเวียนต่อสู้อาจจะเป็นเผ่าวิญญาณที่แทรกซึมผ่านการป้องกันมาก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ?”

เขากำลังบอกว่าอ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็นตัวหัวหน้าที่ต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนี้

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็มีเหตุผลอยู่บ้าง อ้ายฝูหลี่เก๋อซือพยายามกดไฟแค้นในใจไม่ให้มันระเบิดออกมา

เขาตวัดสายตาโกรธซูเฉินเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

อานู๋ปี่พึมพำพลางมองเงาร่างที่กำลังเดินออกไปของอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ “ไม่ค่อยได้เห็นเขาเป็นเช่นนั้นเลย นับว่าเจ้าล่วงเกินเขาแล้ว”

แต่เขาก็เปลี่ยนอารมณ์เร็วนักแล้วตะโกนดังขึ้น “แต่ข้าก็ชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้ ! ฮ่า ๆ!”

อานู๋ปี่เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

อานู๋ปี่ไม่ชอบความซื่อสัตย์อดทนของอ้ายฝูหลี่เก๋อซือเท่าไหร่นัก

ซูเฉินหัวเราะ “ฝ่าบาทพึงพอใจก็พอ”

อานู๋ปี่เอ่ย “ดีมาก ในเมื่อเจ้าจัดการแสดงอันเป็นเลิศให้ข้าเช่นนี้ ข้าก็จะรักษาคำพูด นับแต่นี้ต่อไป เจ้าได้เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการภายในของข้า”

“ฝ่าบาท !” เขิ่นอั้วร้องขึ้น

แม้ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายจัดการภายในจะยังต่ำกว่าฐานะเสนาธิการใหญ่ของเขา แต่ก็นับว่าเป็นชัยชนะของซูเฉินที่สามารถเข้าใกล้อานู๋ปี่ได้มากขึ้น

อานู๋ปี่ควบคุมลูกน้องได้เป็นอย่างดี เอาคนฝีมือดีไปไกล ๆ เอาคนที่ให้ความบันเทิงได้ไว้ใกล้ ๆ ยามที่ราชาผู้บ้าคลั่งไม่ได้บ้าคลั่ง ก็มีสายตากว้างไกลกว่าคนอื่นยิ่งนัก

ปัญหาคือเรื่องนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเขิ่นอั้วสักนิด

เขาอยากเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการภายในมาโดยตลอด แต่ก็กลัวว่าหากอานู๋ปี่อารมณ์ไม่ดีจะสังหารเขาในฝ่ามือเดียวได้ ดังนั้นเขิ่นอั้วจึงไม่เคยกล้าร้องขอตำแหน่ง

แต่ตอนนี้ถึงขอไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจ้องซูเฉินเขม็ง ความคิดหนึ่งแล่นผ่าน เป็นความคิดที่ว่าต่อไปเขาต้องคอยประจบเอาใจซูเฉิน ดังนั้นเขาจึงเก็บสายตาเฉียบคมดั่งคมมีดเอาไว้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันต่อไปอานู๋ปี่อาจสังหารอีกฝ่ายทิ้งก็เป็นได้ เขาก็เงยหน้าจ้องซูเฉินต่อ

อานู๋ปี่ไม่รู้ถึงความรู้สึกซับซ้อนของเขิ่นอั้วในตอนนี้ เพียงพูดขึ้นว่า “ไหนเจ้าว่ายังมีการแข่งอีกรอบไม่ใช่หรือ ? ต่อเลยสิ”

เขายังอยากดูการต่อสู้อีก

แต่ก็จริงว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพื่อ ‘ความบันเทิง’ ของเขา ในเมื่อมันบันเทิงนัก ก็ไม่แปลกที่จะต้องดำเนินต่อ

“ขอรับฝ่าบาท !” เขิ่นอั้วตอบเสียงเคารพนบน้อมโบกมือให้ลูกน้องคนหนึ่ง

เขารู้ว่ารอบนี้เขาพ่ายแพ้ กิ้งก่าผวาหนีไปได้ต้องเป็นแผนของซูเฉินแน่

แต่เขาก็ไม่เป็นกังวล หลงถูคนนี้สามารถเอาใจฝ่าบาทได้ก็จริง แต่ก็ล่วงเกินชนชั้นสูงคนเถื่อนไปมาก ล่วงเกินคนมากมายเพื่อคนคนเดียวเช่นนี้นับเป็นแผนระยะยาวที่ย่ำแย่ แม้คนผู้นั้นจะเป็นราชาก็ตาม เจ้าไม่มีทางรู้ว่าราชาอาจตายในน้ำมือของชนชั้นสูงอื่นก็เป็นได้ หรือไม่แน่ว่าคนเถื่อนอาจจะสังหารโดยไม่มีแผนวางไว้ก่อน เพราะอย่างไรคนเถื่อนก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบคิดอ่านอะไรซับซ้อนอยู่แล้ว

ดังนั้นเขาจึงยังจัดการหน้าที่ให้เต็มที่ แม้จะไม่สามารถทำให้อานู๋ปี่หัวเราะลั่นได้ แต่อย่างน้อยก็ยังนับว่าเป็นของหวานให้อานู๋ปี่หลังจากผ่านอาหารมื้อหลัก

ไม่นาน นักสู้กลุ่มใหม่ก็เข้ามาในสนามต่อสู้

เมื่อซูเฉินเห็นนักสู้กลุ่มนั้นเขาก็ชะงักไป

มนุษย์ !

เป็นมนุษย์กลุ่มหนึ่ง

มีทั้งหมด 20 คน ทั้งหมดสวมเสื้อเกราะสภาพยับเยิน เห็นเป็นบาดแผลลึกและแผลเป็นอยู่ภายใน ทหารคนเถื่อนรอบตัวใช้แส้ฟาดเพื่อให้พวกเขาเดินเข้าสนามมา

“มนุษย์ !” อานู๋ปี่พึมพำเสียงประหลาดใจ

“ขอรับฝ่าบาท” เขิ่นอั้วว่าพลางโค้งคำนับ “ทหารมนุษย์พวกนี้คือพวกที่เข้ามาในแดนเรา วันนี้เลือดของมนุษย์พวกนี้จะถูกสละเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝ่าบาทถึงพอใจขอรับ”

“โอ้ !” อานู๋ปี่พยักหน้า แม้เขาจะเป็นราชาผู้บ้าคลั่ง แต่เขาก็ยังเป็นคนเถื่อนที่เกลียดชังมนุษย์เข้ากระดูกดำ ในหลักการเดียวกันนั้น การได้เห็นพวกมนุษย์ตายไปก็เป็นความบันเทิงที่เป็นรองจากการได้เห็นเผ่าวิญญาณตายทีเดียว อีกทั้งยังมีพวกมนุษย์มากมายกว่าเผ่าวิญญาณมากนัก

ซูเฉินใจราวกับถูกบีบเมื่อเห็นมนุษย์มากมายยืนอยู่ตรงนั้น

เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเหลือพวกเขาให้ได้

แต่ใช้กำลังอย่างเดียวไม่ได้ เขาต้องมีแผนด้วย

ซูเฉินคิดหัวแทบแตก เครื่องคำนวณผลึกแก้วในร่างทำให้เขาสามารถใช้สมองได้จนถึงขีดสุด

อานู๋ปี่เพิ่งจะเอ่ยคำ ซูเฉินพลันขัดขึ้น “เช่นนั้นก็เป็นการสังหารฝ่ายเดียวสินะ ?”

อารมณ์ผันเปลี่ยนในทันที

อานู๋ปี่และเขิ่นอั้วหันไปมองซูเฉิน

เขิ่นอั้วตอบเสียงเข้ม “ถ้าใช่แล้วอย่างไร ?”

คู่ต่อสู้ของทหารมนุษย์ทั้ง 20 คนปรากฏขึ้นอีกฝั่งของสนามต่อสู้

เป็นหมาป่าเขี้ยวฝูงหนึ่ง

หมาป่าเขี้ยวเป็นอสูรร้ายระดับกลาง แต่ใช้มันมาสู้กับทหารกองทัพกำลังสวรรค์ก็เกินพอแล้ว

ที่สำคัญ ด้านหลังพวกมันยังมีอสูรร้ายรออยู่อีก

อย่างที่ซูเฉินว่า เช่นนี้จะกลายเป็นว่าเป็นการสังหารฝ่ายเดียว

เลือดและเนื้อของทหารมนุษย์เหล่านี้จะต้องเสียไปเพื่อสนองความต้องการที่คาดเดาไม่ได้ของชนชั้นสูงคนเถื่อน

ซูเฉินตอบเสียงเย็น “น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก !”

เขิ่นอั้วสีหน้ากระตุก อานู๋ปี่เลยถามขึ้น “น่าเสียดายอย่างไร ?”

ซูเฉินว่า “ก่อนข้าจะตอบคำถามของฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทอนุญาตให้หยุดการต่อสู้ในตอนนี้ก่อนได้หรือไม่ ? ข้าไม่อาจฝืนทนกับความน่าเสียดายเช่นนี้ได้”

อานู๋ปี่ทำท่าให้หยุดการต่อสู้เป็นการชั่วคราว จึงเกิดแผ่นแสงหนึ่งกั้นกลางระหว่างสองฝั่งเอาไว้

ซูเฉินโค้งแล้วตอบ “ฝ่าบาท การต่อสู้ของนักสู้เหล่านี้ก็เหมือนงานเลี้ยงฉลอง นักสู้ทุกคนเป็นเหมือนวัตถุดิบชั้นยอดที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ การนำวัตถุดิบทั้งหลายมาผสมกันให้ดีคือหน้าที่ผู้จัดหาอย่างพวกข้า มีแต่วัตถุดิบชั้นยอดเท่านั้นที่มีค่าพอ ก่อให้เกิดเป็นงานเลี้ยงน่าชื่นชมยินดี นักสู้ชาวมนุษย์หามาได้ยากนัก กระทั่งอาณาจักรเหล็กเลือดอันเก่งกล้าก็ยังหามาได้ยากใช่หรือไม่ ?”

อานู๋ปี่พยักหน้า “ก็หามาได้ยากจริง ๆ”

“วัตถุดิบหายากเช่นนี้จะต้องใช้วิธีอันล้ำเลิศที่สุดในการจัดการเพื่อให้เผยมูลค่าสูงสุดออกมาให้ได้ แต่ตอนนี้ท่านเขิ่นอั้วกลับใช้วิธีการป่าเถื่อนสิ้นเปลืองพวกเขา…… ช่างน่าเสียดาย หากข้าได้ทหารทั้ง 20 มา ใช้เวลาไม่นานข้าคงฝึกพวกเขาให้ทำการแสดงล้ำเลิศให้ฝ่าบาทได้”

เขิ่นอั้วเปลี่ยนสีหน้า “ฝ่าบาท อย่าฟังคำเขา……”

แต่อานู๋ปี่หัวร่อด้วยความสนใจ “ฟังที่เขาพูดก็มีเหตุผลดี พวกมนุษย์หาได้ยาก เอามาสิ้นเปลืองในสนามต่อสู้เช่นนี้ก็น่าเสียดายอยู่ น่าจะฝึกพวกมันอีกสักนิดเพื่อให้เกิดการนองเลือดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์เหล่านี้เป็นเจ้า”

“ขอรับ ฝ่าบาทโปรดวางใจ ข้าจะทำให้ทหารมนุษย์พวกนี้ทำการแสดงที่งดงามให้ฝ่าบาทได้แน่นอน !” ซูเฉินลุกขึ้นก่อนเอยเสียงดัง

อานู๋ปี่ให้เวลาเขา 2 เดือน

ประโยคเดียวจากซูเฉินก็ซื้อเวลานาน 2 เดือนมาได้

อานู๋ปี่ไม่ใส่ใจ เพียงแต่พยักหน้าอนุญาตแล้วจากไป

ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ ให้เขิ่นอั้ว “เช่นนั้นท่านเขิ่นอั้ว ดูท่าเจ้าพวกนี้จะเป็นของข้าแล้ว”

เขิ่นอั้วคำราม “เจ้ายินดีได้ไม่นานหรอก…… เอามนุษย์ให้มัน 20 คน !”

ว่าแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินจากไป

“ท่านเขิ่นอั้ว ข้าว่าท่านเข้าใจผิด ข้าบอกว่ามนุษย์ทั้งหมดตอนคุยกับฝ่าบาท…… ทั้งหมด !” ซูเฉินเอ่ย “ท่านคงมีพวกมันในมือมากกว่าตรงนี้กระมัง ?”

เขิ่นอั้วจ้องซูเฉินดุดัน “คิดจะทำอะไร ?”

ซูเฉินตอบเสียงสบาย “ข้าแค่อยากจัดการแสดงอันงดงามให้ฝ่าบาทอย่างไรเล่า !”