ภาคที่ 5 ตอนที่ 47 ได้ยินว่าเจ้าซื้อเรือเหาะเจ๋งๆ มาลำหนึ่ง

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 47 ได้ยินว่าเจ้าซื้อเรือเหาะเจ๋งๆ มาลำหนึ่ง Ink Stone_Fantasy

          “ข้ากับป๋ายซือเสวียนรักกัน และสัญญาว่าจะแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว!”

            “สัญญาว่าจะแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว สัญญาว่าจะแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว สัญญาว่าจะแต่งงานกัน…”

            นี่เป็นคำประกาศสุดตกตะลึงที่แทบจะทำให้หลี่ฮั่นหมดสติ!

            “เจ้าคนสารเลว คิดจะเล่นลูกไม้นี้หรือ! การเจรจากันก่อนหน้านี้ก็แค่ปูทางให้เจ้าโพล่งประโยคนี้ออกมาสินะ!”

            หลี่ฮั่นพยายามยับยั้งอาการปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในใจ พอปรายตาไปที่หวังลู่เขาก็ได้เห็นอีกฝ่ายส่งสายตาละมุนไปให้สัตว์เซียนป๋ายซือเสวียนราวกับวัยรุ่นที่กำลังตกหลุมรัก จากนั้นชายหนุ่มก็หันมามองหน้าเขาด้วยสายตาที่จริงจังมั่นคงราวกับว่าคนทั้งคู่เป็นเป็ดแมนดารินที่มีชะตากรรมโหดร้ายและกำลังเจอความกดดันใหญ่หลวงจากสังคม

            หลี่ฮั่นยังคงก่นด่าหวังลู่อยู่ในใจ “เจ้ามันสารเลวไร้ยางอาย! เป็นเจ้าเองที่วิ่งเข้ามาในสนามหญ้าของเรา แต่ตอนนี้กลับทำหน้า ‘พบเจอกับความอยุติธรรมใหญ่หลวง’ ใส่ข้าเสียได้!? เจ้านี่มันสมกับที่มาจากยอดเขาไร้ลักษณ์จริงๆ ความหน้าหนาช่างไร้พรมแดน ไม่แปลกที่อาจารย์ของเจ้าแม้มีขั้นตบะที่ทรงพลัง แต่ชื่อเสียงกลับเหลือทน!”

            แน่นอนว่าหลี่ฮั่นย่อมไม่เชื่อคำพูด ‘เราต่างรักกัน’ บ้าบออะไรนั่น แต่แล้วอย่างไรเล่า เขาต้องให้อีกฝ่ายแสดงการกระทำเพื่อพิสูจน์อย่างนั้นหรือ หลี่ฮั่นไม่ได้กังขาในความหน้าไม่อายของฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย คนอย่างหวังลู่น่ะย่อมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!

            “อะไรคือ ‘ต่างก็รักกัน และสัญญาว่าจะแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว’!” วิหารหยกของหลี่ฮั่นสั่นไหวด้วยความโกรธ วิญญาณกำเนิดใหม่ของเขาฉายแสงขึ้น ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากร่างโดยรู้ตัวจนทั้งร่างปกคลุมไปด้วยชั้นของน้ำแข็ง… ทว่าเขากลับไม่มีทีท่าจะลบล้างความโกรธนี้ลงไปได้แม้แต่น้อย

เขารู้สึกอับจนถ้อยคำจะพูด แม้การประกาศความรักของหวังลู่จะน่าละอายจนถึงขีดสุด แต่มันก็เป็นการเดินหมากที่ดี เป็นก้าวที่เฉลียวฉลาด สิ่งแวดล้อม เงื่อนไขและสิ่งอื่นๆ ที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เสนอให้นั้น ล้วนแตกเป็นผุยผงเมื่อต้องเผชิญกับรักแท้ ไม่ต่างจากกองทัพที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองกำลังที่เก่งกาจกว่า

            ความจริงก็เป็นเช่นนั้น สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เตรียมตัวกันมาเป็นปี พวกเขาทั้งลงแรงและลงเงินเพื่อสร้างตาข่ายที่ไม่อาจหลบหนีได้ขึ้นมา พวกเขากลัวว่าสัตว์เซียนจะไม่เข้ามาในตาข่ายนี้ และสัตว์เซียนก็ไม่เข้ามาจริงๆ ทว่าหวังลู่กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่สัตว์เซียนก็ยินยอมจะตามเขาไป แม้จิตใจของสัตว์เซียนในตอนนี้ไม่ต่างจากผ้าขาว ซึ่งทำให้ความสมัครใจของนางนั้นไม่มีความหมาย แต่ความสมัครใจก็คือความสมัครใจวันยังค่ำ มันเป็นไพ่ที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก สิ่งเดียวที่หลี่ฮั่นทำได้คือลดทอนน้ำหนักความสมัครใจของนางลง ด้วยการอ้างว่านางยังไม่โตเต็มที่และยังไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในโลกอย่างกระจ่าง

            แต่หวังลู่กลับอุทิศตัวเองและใช้ไม้ตาย เปลี่ยนความสมัครใจให้กลายเป็นความรักระหว่างคนสองคน ซึ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับคำว่าความสมัครใจอย่างมหาศาล

            หากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ยังเข้าไปแทรกแซง มันจะกลายเป็นการ ‘แย่งชิงผู้อื่นมาจากคนที่รัก’ ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าอับอายใหญ่หลวง โดยไม่สนความจริงที่ว่าความอุตสาหะตั้งมากมายของพวกเขาต้องไร้ค่าไป ก็ใครใช้ให้พวกเขาต้องมีโชคชะตาเช่นนี้ด้วยเล่า!

            แม้หลี่ฮั่นจะมีนิสัยเคร่งขรึม แต่เขาก็อ่านนิยายและเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย และตอนนี้เรื่องแนวรักกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในพันธมิตรหมื่นเซียน เนื้อเรื่องจะวนซ้ำเดิมตรงที่ชายหนุ่มยากจนพบรักกับลูกสาวเจ้าสำนักใหญ่ จากนั้นระหว่างที่ฝ่าฟันความยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ค่อยๆ พัฒนาตบะขั้น รวมรวมทรัพยากร เอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนร่ำรวยรุ่นที่สองซึ่งหญิงสาวถูกให้หมั้นหมายด้วยตั้งแต่เด็ก และได้นางไปครองในที่สุด

            ทว่าหวังลู่ผู้นี้ไม่ใช่ชายหนุ่มยากไร้ ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของหนึ่งในห้าวิเศษ เขาคู่ควรกับสัตว์เซียนอย่างป๋ายซือเสวียนที่สุดแล้ว แม้ความรักระหว่างมนุษย์กับสัตว์ภูตนั้นจะค่อนข้างผิดธรรมดา แต่ตอนนี้พันธมิตรหมื่นเซียนกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ทุกวันนี้ค่านิยมใหม่ๆ ล้วนเกิดขึ้น จากนั้นก็ได้รับความนิยมและสุดท้ายก็กลายเป็นบรรทัดฐานไป และหวังลู่เองก็ย่อมเดินอยู่ในแถวหน้าของยุคใหม่อย่างแน่นอน!

            หากหวังลู่เปิดเผยเรื่องรักในครั้งนี้ ผู้คนไม่เพียงไม่ตั้งคำถามเรื่องการกระทำของเขาที่บนเขาอวิ๋นไท่ แต่ยังจะเห็นพ้องกับความรักที่ซื่อตรงของเขาอีกด้วย…เหลวไหล? ใช่แล้ว มันช่างเหลวไหล ทว่านี่คือความเป็นจริง ที่สุดของความเป็นจริง!

            หลี่ฮั่นหยุดความคิดที่จะสบถใส่อีกคน และพยายามเค้นคำพูดออกจากลำคอ “งั้นหรือ เช่นนั้นก็ยินดีด้วย!”

            หวังลู่กระชับอ้อมกอดที่มีต่อป๋ายซือเสวียนให้แน่นกว่าเดิม “ขอบคุณ!”

            ป๋ายซือเสวียนเงยหน้าขึ้นมองหวังลู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนหน้านี้นางเพิ่งฟังคำพูดโต้ตอบกันไปมาระหว่างหวังลู่และหลี่ฮั่น มีปัญหาหลายข้อที่นางยังไม่กระจ่าง ทว่าอย่างไรเสียนางก็เฉลียวฉลาดและเข้าใจจุดประสงค์หลักของเรื่องนี้ได้คร่าวๆ

            สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ยอมปล่อยนางไป แต่หวังลู่ก็ยืนกรานจะพานางไปด้วย

            ใจจริงแล้วนางต้องการที่จะอยู่บนเขาอวิ๋นไท่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นบ้างของนางมาตั้งหกสิบปี ทว่าอีกด้านหนึ่งมารดาของนางก็ย้ำนักย้ำหนาให้นางเชื่อฟังหวังลู่ ส่วนนางเองก็ชอบกลิ่นของเขา… เลือกยากมากว่าจริงๆ แล้วนางอยากอยู่ที่ใดกันแน่ จนเมื่อหวังลู่พูดออกมาว่าพวกเขารักกันและสัญญาว่าจะแต่งงานกัน คำพูดนั้นราวกับเป็นสายฟ้าในฤดูใบไม้ผลิสำหรับนาง ซึ่งทำเอาป๋ายซือเสวียนมึนงงไม่น้อย

            “ตะ ตะ ตะ ต่างก็รักกัน? กะ กลายเป็นว่าข้ากับเขาเราต่างก็รักกัน หนำซ้ำยังสัญญาว่าจะแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ทำไม ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อน”

            ป๋ายซือเสวียนประหลาดใจเป็นอย่างมาก ข้อมูลนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกือบทำเอาใจของนางรับไม่ไหว ทว่าอีกด้านหนึ่งนางยังจำได้ว่าเทพธิดาอวิ๋นไท่ผู้เป็นมารดาเคยบอกไว้ “หลังจากที่เปลี่ยนร่างแล้ว หากสงสัยอะไรให้ฟังหวังลู่เอาไว้”

            เทพธิดาอวิ๋นไท่เชื่อใจหวังลู่อย่างไม่มีข้อแม้… และป๋ายซือเสวียนเองก็เชื่อใจเทพธิดาอวิ๋นไท่อย่างไม่มีข้อแม้เช่นกัน ผลก็คือในช่วงที่นางกำลังประหลาดใจใหญ่หลวงอยู่นั้น นางจึงเลือกเชื่อหวังลู่อย่างเต็มใจ

            “นะ ในเมื่อเขากล่าวออกมาแบบนั้น ข้าก็คงสัญญาว่าจะแต่งงานกับเขาแล้วจริงๆ ตามที่ท่านแม่เคยบอกไว้ หลังจากที่เปลี่ยนร่าง ข้าควรทำตัวเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ ‘แต่งงานกับไก่ก็ต้องทำตามไก่ แต่งงานกับสุนัขก็ต้องทำตามสุนัข’ จากนี้ข้าเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ถึงจะรวดเร็วไปหน่อย แต่ก็…”

            ความคิดของนางเริ่มกระจัดกระจายมากขึ้น และระหว่างที่คิด ป๋ายซือเสวียนก็อดที่จะหน้าหน้าแดงไม่ได้ ทว่าเมื่อมองจากภายนอก อาการของนางยิ่งเป็นหลักฐานตอกย้ำคำพูดของหวังลู่ที่ว่าคนทั้งคู่สัญญาจะแต่งงานกัน!

            หลี่ฮั่นสบถในใจ “กะหล่ำปลีหัวงามๆ ถูกหมูคุ้ยเสียราคาหมดแล้ว!”

            เมื่อเห็นว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว หวังอู่ก็กล่าวทันที “ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องขอตัวไปจัดแต่งห้องหอก่อนล่ะ หรือเจ้าอยากจะตามไปช่วยด้วยอีกแรง”

            เมื่อโดนตบหน้าเช่นนี้ ความโกรธก็วูบขึ้นมาในดวงตาของหลี่ฮั่น “ลำพองใจชั่วครู่ไม่ได้แปลว่าจะลำพองใจได้ตลอดไป เจ้าควรจะเว้นทางลงให้คนอื่นบ้าง!”

            หวังอู่โบกไม้โบกมือ “ใช่ๆๆ ข้าเข้าใจ ข้าไม่ควรฉวยโอกาสเอาเปรียบพวกคนหนุ่มคนสาว แต่ว่าเจ้าก็บำเพ็ญเซียนมาตั้งสองร้อยปีแล้ว จะเรียกว่าคนหนุ่มสาวก็คงไม่ได้แล้วละ จริงไหม”

            “เจ้า!?”

            “อย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบพวกคนหนุ่มคนสาว อย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบพวกวัยกลางคน อย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบคนแก่ จากนั้นก็ตายแล้วก็ลงหลุมอย่างสงบไปเสีย ชีวิตเจ้าเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ”

            หวังอู่พูดจาเสียดสีอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ และยังคงปล่อยแสงของแกนทองคำคู่ออกไปไกลเป็นลี้อย่างไม่หยุดหย่อน

            ซ่าวป๋อที่ไม่ใช่คนซับซ้อนใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ อีกทั้งมังกรน้ำสองตัวบนแขนก็หมุนตัวไปมาและเปล่งเสียงคำรามพร้อมที่จะออกศึก ทว่าหลี่ฮั่นรู้ดีว่าพวกเขาพ่ายแพ้ในการโต้เถียงครั้งนี้แล้ว

            หากเขาเป็นหวังอู่ เขาก็ย่อมไม่คิดจะมีมารยาท ทั้งยังต้องการทำให้อีกฝ่ายได้อับอาย

            ตั้งแต่ที่พันธมิตรหมื่นเซียนปกครองอาณาจักรเก้าแคว้น กฎเรื่องความรุนแรงก็ลดลงไปมาก ผู้บำเพ็ญเซียนไม่ต้องมัวพะวงเรื่องออกล่าสมบัติ และไม่ต้องมัวกังวลว่าจะถูกสังหารเพราะคำพูดที่ไม่เข้าหูของตน พวกผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นใหม่ก็ไม่ต้องมัวพะวงว่าพวกเขาจะถูกผู้ที่ทรงอำนาจกว่าปฏิบัติใส่ราวกับเป็นมดปลวก ทว่ากฎพื้นฐานที่ขับเคลื่อนการดำเนินการของพันธมิตรหมื่นเซียนนั้นยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

            มันคือกฎของความเอาตัวรอด เพียงเท่านี้เลย เพียงแค่มีอารยะมากกว่ายุคกระหายเลือดสมัยก่อนขึ้นมาอีกนิด เพราฉะนั้นแล้วบ่อยครั้งกำปั้นจึงมักถูกใช้มากกว่าความเป็นจริงและมารยาท

            “ศิษย์น้อง เรากลับกันเถอะ”

            ซ่าวป๋อประหลาดใจและมองหลี่ฮั่นอย่างไม่เชื่อสายตา เขาอยากจะถามออกมาเหลือเกินว่าหนึ่งในผู้บำเพ็ญเซียนสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์คิดจะทำให้ชื่อเสียงของสำนักกลายเป็นอะไรกันแน่ ทว่าเมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่อาจควบคุมไอเย็นที่ไหลออกมาจากร่าง ทั้งยังดูเหมือนมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก ซ่าวป๋อก็รู้ว่าหลี่ฮั่นกำลังพยายามต่อสู้กับความโกรธเกรี้ยวในใจครั้งใหญ่

            เมื่อปรายตากลับมามองที่หวังอู่และแกนทองคำคู่ที่ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องหมดกำลังใจ ความรู้สึกไร้อำนาจก็เอ่อท่วมจิตใจของซ่าวป๋อ ราวกับว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังอู่แล้วพวกเขานั้นไม่มีค่าใดๆ…

            นี่หรือมารผจญที่อยู่บนเส้นทางบำเพ็ญเซียน วันที่วิญญาณกำเนิดใหม่ของเขากลายเป็นวิญญาณที่แท้จริง มารนี้น่าจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเขา แต่ตอนนี้ซ่าวป๋อทำได้เพียงกล้ำกลืนความขื่นขมนี้ลงไป

            “ก็ได้ ไปกันเถอะศิษย์พี่”

            พูดจบ พวกเขาทั้งสองก็กลายร่างเป็นลำแสงและพุ่งหนีไปราวกับได้ตกลงกันไว้ก่อน ร่างของคนทั้งคู่หายไปในทะเลแห่งเมฆหมอกอย่างรวดเร็ว

            ผู้อาวุโสสูงสุดจากไปพร้อมกัน ทำให้เกิดความอลหม่านขึ้นในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่เหลืออยู่บนยอดเขายอดเมฆา ทว่าตอนนี้ความสำคัญของพวกเขาถูกลดทอนลงไปมาก จนไม่มีใครใส่ใจกับปฏิกิริยาของคนเหล่านี้สักนิด ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า แต่กลับไม่อาจไล่ไอเย็นหนาแน่นบนยอดเขายอดเมฆาออกไปได้แม้แต่น้อย

——

            “ฮ่าๆๆ เจ๋งมาก!”

            หลังจากทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ทั้งสองถอยทัพกลับไปได้  อาวุโสห้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณก็หัวเราะเสียงดัง พลางหยิบเอาน้ำเต้าบรรจุสุราที่ห้อยไว้ตรงสะโพกขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มสุราผสมพลังปราณฟ้าดินเข้าไปหลายอึก

            “ถ้าอย่างนั้น” หลังจากปล่อยมือจากน้ำเต้าสุราแล้ว หวังอู่ก็เห็นหวังลู่ยังกอดป๋ายซือเสวียนอยู่ นางจึงอดรู้สึกสนุกไม่ได้ “นี่ เจ้าคิดจะกอดนางไปถึงเมื่อไร หรือพวกเจ้าสองคนเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะแต่งงานกันจริงๆ”

            ทว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าแปลกๆ และเหงื่อเย็นๆ ที่ไหลท่วมหน้าผากของหวังลู่ นางก็เลื่อนสายตามายังป๋ายซือเสวียนที่อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของหวังลู่อย่างมีความสุข…

            แค่ก!

            ทันใดนั้นเหล้าเซียนราคาแพงก็ถูกพ่นออกมาจากปากของนาง

            หวังลู่ไม่มีทางเลือกนอกจากคุยกับอีกฝ่ายผ่านพลังวิญญาณขั้นปฐม “ท่านเห็นไหม แล้วข้าจะปล่อยนางได้ยังไง ไอ้เรื่องเราต่างรักกันและสัญญาจะแต่งงานกันเป็นเพียงอาวุธที่ข้าเอาไว้โต้เถียงกับคนของฝ่ายนั้น แต่สิ่งนี้ดันมีผลต่อชื่อเสียงของนางด้วย… แล้วจะให้ข้าทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและผลักนางออกอย่างไร้หัวใจหรือ”

            หวังอู่เกือบพ่นสุราออกมาอีกรอบ

            “เจ้าต้องรับผิดชอบผลจากการกระทำของตัวเอง!”

            “พูดจาเหลวไหล ไม่งั้นท่านจะให้ข้าทำยังไง เจ้าหลี่ฮั่นนั่นรับมือไม่ได้ง่ายๆ เลยนะ!” ขณะพูดเขารับรู้ได้ถึงสายตามุ่งร้ายที่พุ่งมาจากด้านหลัง… เขาไม่แน่ใจว่ามันมาจากหลิวหลี โจ่วฮวาหรือเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนกันแน่ หวังลู่ถอนหายใจ ต้องยอมรับว่าแม้การกระทำครั้งนี้จะทำร้ายศัตรูได้รุนแรงถึงหนึ่งพันส่วน แต่ก็ทำร้ายตัวเขาเองถึงแปดร้อยส่วนเช่นกัน

            “ฮ่าๆๆ น่าสนุกแฮะ” หวังอู่หัวเราะอย่างพึงพอใจจากนั้นก็ถามขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าซื้อเรือเหาะเจ๋งๆ มาลำหนึ่ง”

            “…”

            “เอาเถอะๆ ใครใช้ให้เจ้าเป็นศิษย์ของข้ากันเล่า ข้าจะช่วยเจ้าแก้ปัญหาเอง”

            หวังลู่รับคำอย่างไว “ท่านอาจารย์ช่างแสนดี แต่ท่านจะช่วยข้าแก้ปัญญานี้ยังไง”

            “ง่ายออกจะตาย ข้าก็แค่ต้องแสดงเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานออกมา เพื่อที่ว่าป๋ายซือเสวียนจะได้มาตกหลุมรักข้าแทน ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้อิสรภาพของตัวเองกลับคืนไป”

            “…”