ภาคที่ 5 ตอนที่ 48 แบกรับความเชื่อใจ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 48 แบกรับความเชื่อใจ Ink Stone_Fantasy

            มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นอาจารย์ที่จะต้องแก้ปัญหาให้ศิษย์ ยามที่หวังลู่ต้องเผชิญกับความลำบากใจ การที่หวังอู่เสนอตัวว่าจะช่วยถือเป็นสิ่งที่สมควรยกย่องอย่างแท้จริง ทว่าเมื่อคิดว่าสิ่งที่นางเสนอมานั้นใหญ่โตเกินกว่าที่นางจะจัดการได้ แถมยังแสดงให้เห็นถึงความอวดดีและหน้าหนาของนางด้วย หลายคนจึงต้องกล้ำกลืนคำสรรเสริญลงคออย่างช่วยไม่ได้

            เมื่อเห็นหน้าอกที่ยืดขึ้นของผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของนาง หวังลู่ก็นิ่งเงียบไป ทั้งยังลดมือออกจากสะโพกของป๋ายซือเสวียนอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย

            “อาจารย์ ท่านบอกข้ามานะ ท่านเล็งป๋ายซือเสวียนมานานแล้วใช่ไหม” หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังลู่ก็เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจำได้ประโยคแรกที่ท่านพูดทันทีที่มาถึงที่นี่มันประมาณว่า ‘สัตว์เซียนแห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ของข้า’ ใช่ไหม ป๋ายซือเสวียนไปเป็นสมาชิกของยอดเขาไร้ลักษณ์ตั้งแต่เมื่อไรกัน”

            หวังอู่ตอบโดยไม่มีท่าทีกระวนกระวายแม้แต่น้อย “ดูเจ้าพูดสิ ข้าเป็นอาจารย์ จะไปอยากได้ของลูกศิษย์ได้ยังไง ต่อให้เจ้าใช้เงินเป็นเบี้ยเพื่อซื้อหาเรือเหาะสุดหรูอะไรนั่นก็เถอะ ข้าก็ไม่อิจฉาสักนิด”

            “อาจารย์ คำพูดพวกนั้นก็ไม่ต่างจากการสารภาพความจริงออกมาเลยนะ”

            “นั่นไม่ใช่ประเด็น! ข้าคิดถึงประโยชน์ของเจ้าต่างหาก เจ้าเป็นศิษย์ของยอดเขาไร้ลักษณ์ และป๋ายซือเสวียนคือน้องสาวของเจ้า เพราะงั้นผิดตรงไหนที่ข้าจะเรียกนางว่าเป็นคนของยอดเขาไร้ลักษณ์ของข้ากัน หนำซ้ำเจ้ายังเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาไร้ลักษณ์ ไม่ช้าก็เร็วทุกสิ่งที่นั่นย่อมต้องเป็นของเจ้าอยู่แล้ว!”

            หวังลู่เหยียดยิ้ม “คำพูดพวกนั้นฟังดูคุ้นๆ เหมือนที่พวกเถ้าแก่ตามบ้านนอกชอบใช้ล่อลวงหญิงสาวเลย ที่บอกว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะได้ขึ้นเป็นเมียเอกน่ะ”

            “เจ้ากับข้ารักใคร่กลมเกลียวเป็นศิษย์อาจารย์กันมาตั้งสิบปี แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อใจข้า เจ้าทำข้าชีช้ำมากนะรู้ไหม”

            “ฮ่าๆๆ หากข้าเชื่อใจท่าน ข้าคงเสียใจให้สติปัญญาของตัวเองไม่น้อย”

            ศิษย์อาจารย์ทั้งสองยังคงทุ่มเถียงกันเสียงดังไม่จบสิ้นโดยไม่สนใจคนรอบกาย ทว่าเสี่ยวชี หลิวหลี และพวกที่เหลือกลับจ้องมองคนทั้งคู่อย่างสนใจ ไม่มีใครคิดจะพูดขัดขึ้นมา พวกเขาทำเพียงมองดูการโต้ตอบคารมอย่างว่องไวนี้อยู่เงียบๆ จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบใส่กัน ทว่าป๋ายซือเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ หวังลู่กลับเพ่งสายตาไปที่หวังอู่ไม่ยอมละไปไหน ราวกับว่าจิตของนางได้หลุดไปแล้ว

            อึดใจถัดมา หวังอู่จึงรู้สึกถึงสายตาของซือเสวียน นางพอใจไม่น้อยและพูดอวดหวังลู่ “เห็นไหม เจ้ามัวแต่พูดจาให้ร้ายข้า แต่สายตาของซือเสวียนกลับไม่ต่างจากคบเพลิงที่ส่องให้เห็นเสน่ห์ส่วนตัวที่ไม่เหมือนใครของข้า นางแอบชื่นชมข้าอยู่เงียบๆ”

            หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าว่านางพยายามจะมองหาศีลธรรมในตัวท่านมากกว่า แต่หายังไงก็ไม่เจอ นางก็เลยงงๆ ไป!”

            หวังอู่เหยียดยิ้ม “เสียงคร่ำครวญของพวกขี้แพ้นี่ช่างกระด้างหูเสียจริง แต่ข้ารับปากเลยนะ ตอนที่ข้ากับซือเสวียนตกลงแต่งงานกัน พวกเราจะส่งเทียบเชิญให้เจ้าแน่ อย่าลืมหอบเงินมาเป็นของกำนัลด้วยเล่า”

            หวังลู่ยิ้ม “วางใจได้เลย ข้าจะหอบเงินมาให้ท่านสักเก้าฟ่อนใหญ่ๆ ท่านต้องได้คุกเข่าหลั่งน้ำตาอยู่ตรงนั้นแน่”

            หวังอู่ขำ “ถึงตอนนั้นข้าก็มีสัตว์เซียนเป็นของตัวเองแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะสนเงินเก้าฟ่อนของเจ้าหรือ อย่าคิดว่าข้าจะจนไปตลอดกาลสิ!”

            พูดจบนางก็ไม่ใส่ใจที่จะทำศึกน้ำลายกับหวังลู่อีก แต่กลับเดินตรงไปยังป๋ายซือเสวียนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดที่เคยมี “น้องหญิงซือเสวียน เจ้าอยากจะตามพี่หญิงคนนี้ไปดูปลาคาร์ป [1] ไหม”

            นางรู้ว่าปัญญาของอีกฝ่ายเพิ่งจะตื่นขึ้นไม่นาน อีกฝ่ายจึงไม่ต่างกับเด็กน้อยที่มีจิตใจราวกับผ้าขาว หวังอู่จึงเริ่มบทสนทนาอย่างสบายๆ แต่การตอบสนองของป๋ายซือเสวียนกลับเกินความคาดหมายของนางไปมาก

            หยดน้ำตาสองหยดไหลอาบแก้มเด็กสาว

            หวังอู่ตกใจขึ้นมาทันที “นะ น้ำตาแห่งความปิติหรือ”

            น้ำตายังไหลลงมาบนใบหน้าของป๋ายซือเสวียนไม่ขาดสาย แต่นางกลับไม่ตอบอะไร

            หวังลู่กล่าวอย่างประหลาดใจ “อาจารย์ ดูสิว่าท่านทำอะไรลงไป ไอ้การไร้ศีลธรรมของท่านมันทำให้ท่านดูน่ารังเกียจขนาดไหน เห็นไหมนางร้องไห้เลย!”

            น้ำตาของป๋ายซือเสวียนนั้น แต่ละคนต่างตีความไปคนละอย่าง ทว่าเด็กสาวเองกลับไม่เฉลยคำตอบ

            นางค่อยๆ ยื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของหวังอู่

            “เจ็บไหม”

            หวังอู่งงงัน ในใจเฝ้าแต่ถามว่า ‘เจ็บอะไร’ ทว่าสัมผัสเย็นเยียบของหญิงสาวตรงแก้มกลับซึมเข้าไปในผิวของนาง เจาะทะลวงไปจนถึงข้างในใจ ลงไปถึงความดำมืดที่อยู่ภายในซึ่งไม่มีใครสัมผัสมานานปี

            คลื่นอารมณ์เอ่อท่วมจิตใจของหวังอู่ในทันที ร่างของนางสั่นเทิ้ม จากนั้นป๋ายซือเสวียนที่ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความสงสาร ก็คิดจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรบางอย่าง ทว่านางกลับเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์จนไม่อาจจะเอ่ยออกมาได้

            ความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่เงียบๆ ระหว่างสองคนนี้ ดวงตาของทั้งหวังอู่และป๋ายซือเสวียนค้างนิ่งอยู่ที่กันและกันราวกับว่าทั้งคู่ได้กลายเป็นหินไปแล้ว น้ำตาของป๋ายซือเสวียนยังคงไหลออกมาไม่หยุด และดูเหมือนหวังอู่จะค่อยๆ ได้รับผลจากน้ำตานั่น ร่างของนางจึงสั่นเทิ้มเบาๆ

            “เอาละๆ เลิกแสดงความรักต่อหน้าข้าเสียทีได้ไหม”

            เสี่ยวชีเข้ามาแทรกได้ตรงเวลา นางตบหัวคนทั้งคู่เบาๆ ซึ่งช่วยหยุดการส่งผ่านอารมณ์ของทั้งสองคนในทันที หวังอู่ฟื้นสติได้เร็วกว่า นางบังคับตัวเองให้กะพริบตา จากนั้นก็ยิ้มออกมา “โทษที ข้าสติหลุดไปหน่อย” ก่อนจะถอยหลังออกไปสองสามก้าวแล้วเงียบไป เห็นได้ชัดว่านางยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีนัก ไม่เหมือนกับที่นางแสดงออกมาบนใบหน้า

            ส่วนป๋ายซือเสวียนนั้นยังนิ่งอึ้งอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งนางร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นทั้งยังส่ายศีรษะไปมาด้วยความงุนงง

            “เกิดอะไรขึ้น”

            เสี่ยวชีและหวังอู่มองไปที่นางพร้อมๆ กันจากนั้นก็หันมามองหน้ากันเอง และต่างก็ถอนหายใจให้กับอาคมวิเศษที่ทรงพลังของสัตว์เซียน

            เสี่ยวชีพูดผ่านพลังวิญญาณขั้นปฐม “ไงเล่าสหาย ถูกแทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจแบบนั้นรู้สึกยังไงบ้าง”

            หวังอู่ถอนหายใจแรง “ลูกผู้หญิงอย่างข้าไม่เคยถูกแทรกซึมรุนแรงแบบนั้นมาก่อน”

            เสี่ยวชีอุทาน “แต่เจ้าก็ฟื้นตัวเร็วมากนะ!”

            หวังอู่กล่าว “หึ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมาตั้งแต่แรก เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แม้บางครั้งอะไรบางอย่างจะกระตุ้นให้ข้าคิดถึงมันขึ้นมา แต่ข้าก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วทำไมข้าถึงต้องยึดติดกับสิ่งนั้นให้เนิ่นนานด้วยเล่า จะว่าไปอาคมของเด็กคนนี้ทรงพลังเกินกว่าที่คาดไว้มาก เจ้าน่าจะรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้จิตเซียนไร้ลักษณ์ของข้าหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าก็ยังไม่อาจต้านทานสัมผัสที่อ่อนโยนของนางได้ สมแล้วที่เป็นสัตว์เซียน อาคมของนางไม่มีใครเปรียบจริงๆ”

            “ไม่อย่างนั้นมันจะคุ้มค่ากับการที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมายหรือ แม้นางจะเปลี่ยนร่างสำเร็จแล้ว แต่นางก็ยังเด็กมาก ต้องใช้เวลาอย่างน้อยพันปีเห็นจะได้กว่าจะโตเต็มวัย ผู้บำเพ็ญเซียนตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนกลายเป็นธุลีไปหมดแล้ว ดังนั้นไม่ว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะยังมีอยู่หรือไม่… แต่อาคมของป๋ายซือเสวียนก็จะยังคงอยู่ และนั่นแสดงให้เห็นว่านางมีคุณค่ามากแค่ไหน หนำซ้ำดูเหมือนว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะประเมินนางต่ำไปหน่อย แต่ก็นะครั้งสุดท้ายที่มีสัตว์เซียนปรากฏขึ้นในอาณาจักรเก้าแคว้นมันก็เนิ่นนานมาแล้ว”

            หวังอู่ส่ายศีรษะ “ครั้งสุดท้ายนั้นเนิ่นนานมาแล้ว? ช่างปะไร แค่ได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าเด็กหวังลู่นั่นก็… โชคของเด็กคนนั้นมากมายเสียจนรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นเลยล่ะ”

            เสี่ยวชีเห็นด้วยกับคำชมเชยนั้น “ถูกแล้ว ความสามารถในการเชื่อมโยงเหตุและผลของหวังลู่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าได้เห็นวังวนแห่งเหตุและผลอยู่รอบตัวเขากับตาตัวเอง และข้าก็คิดว่ามันทรงพลังยิ่งกว่าเทพเซียนจิ๋นและท่านบรรพบุรุษเต้อเฉิงเสียอีก

            หวังอู่ขำ “เจ้าชมเด็กนั่นเกินไปแล้ว สิ่งที่เขามีก็เป็นเพียงทักษะป่วนโลกเท่านั้น แม้คนประเภทนี้มักจะพบกับความท้าทายที่ยากแสนยากอยู่ตลอด และขั้นบำเพ็ญเซียนของเขาก็จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่ในทางตรงข้ามความเป็นไปได้ที่จะตายตั้งแต่อายุยังน้อยก็มีมากตามไปด้วย ต้นไม้ที่สวยงามอาจถูกทำลายได้เพราะลม พวกอัจฉริยะในยุคนี้นั้นช่าง…”

            พอพูดถึงตรงนี้นางก็กลับเต็มตื้นด้วยอารมณ์จนได้แต่นิ่งเงียบไป

            เสี่ยวชีทำเนียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เพราะงั้นเจ้าเลยตั้งใจเขียนมาในจดหมายขอให้ข้าดูแลเขา หนำซ้ำภายหลังก็รู้สึกไม่วางใจจนต้องมาถึงนี่ด้วยตัวเอง”

            หวังอู่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

            “แต่ข้าสงสัยนิดหน่อย ตอนที่เจ้าส่งเขามาที่เขาอวิ๋นไท่โดยอ้างว่าให้มาส่งจดหมาย เจ้าคาดไว้อยู่แล้วหรือว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้”

            “ข้าจะมองการณ์ไกลแบบนั้นได้ยังไง หากข้ามีความสามารถนั้นจริง ข้าคงออกไปตามหาโอกาสแห่งเซียนรอบโลกตั้งนานแล้วสิ” หวังอู่ส่ายศีรษะอย่างรำคาญ “ก็แค่มีคนบางคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดและอยากจะสำแดงเล่ห์เหลี่ยมก็เท่านั้น”

            “โอ้? แต่คนคนนั้นก็เก่งจริงๆ นะ เขามอบโอกาสเซียนที่ยิ่งใหญ่ให้กับหวังลู่ ทั้งที่ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาเองก็มีศิษย์ผู้สืบทอดด้วย”

            หวังอู่กล่าว “เรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาอวิ๋นไท่นี้ก็ไม่ต่างจากการพยายามถอนเขี้ยวจากปากเสือ เพื่อจะรับมือกับสำนักชั้นสูง หวังลู่ต้องทำตั้งหลายสิ่ง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังต้องพึ่งข้าให้ช่วยเก็บกวาดอยู่ดี แต่หากเป็นจูซือเหยากับวิชากระบี่ทำลายล้างทุกสิ่งของนาง นางคงถูกคนสังหารไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตาเฒ่าชั่วร้ายนั่นก็ไม่ได้กระทำต่อศิษย์ของตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมหรอก เขาให้โอกาสแห่งเซียนกับจูซือเหยาไม่น้อยไปกว่าหวังลู่เลย เดือนหน้าที่แคว้นทักษิณสวรรค์ กระบี่โบราณซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจะถือกำเนิดขึ้น แล้วจูซือเหยาก็ได้ตีตั๋วจองไปที่นั่นล่วงหน้าแล้ว”

            เสี่ยวชีอดประหลาดใจไม่ได้ “แคว้นทักษิณสวรรค์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง? แล้วเขาให้คนเป็นศิษย์ไปสู้เอามาเนี่ยนะ”

            “สถานที่เกิดของอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ในสุสานกระบี่โบราณ ดังนั้นโอกาสในการปะทะจึงสำคัญกว่าขั้นตบะ และหากเป็นโอกาสในการปะทะกับกระบี่ บนเขากระบี่วิญญาณทั้งเขา ไม่มีใครเทียบจูซือเหยาได้ ถ้านางระมัดระวังตัวพอ ก็อาจจะฉวยอาวุธแล้วกลับออกมาเลยก็ได้ นี่ยังไม่รวมว่านางเคยสังหารสัตว์ภูตที่ความแข็งแกร่งเกือบจะถึงขั้นกำเนิดใหม่ แปลว่าพลังกระบี่ของนางบรรลุถึงช่วงปลายแล้ว ต่อให้ต้องเจอกับผู้บำเพ็ญเซียนที่โตกว่า คนพวกนั้นก็ย่อมพ่ายแพ้แน่หากดูแคลนนางเกินไป”

            หลังจากพูดถึงจูซือเหยาจบแล้วนางก็พูดต่อ “ที่นี่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว ดังนั้นข้าเลยจะพาคนของข้ากลับภูเขา เจ้าอยากตามข้าไปที่เขากระบี่วิญญาณและนั่งเล่นสักวันสองวันไหม”

            เสี่ยวชีส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น ข้าได้ประสบการณ์บนเขาอวิ๋นไท่มากพอแล้ว หลังจากผ่านพ้นอะไรต่างๆ มามากระหว่างที่ร่วมทางกับเจ้าเด็กหวังลู่นั่น ข้าก็หยั่งรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำให้ข้าเข้าใกล้การเปลี่ยนวิญญาณกำเนิดใหม่มาเป็นวิญญาณที่แท้จริงมาอีกก้าว ดังนั้นข้าก็ควรตั้งใจเตรียมพร้อมเพื่อการนั้นจะดีกว่า”

            “อืม ถ้าถึงเวลานั้นแล้วอย่าลืมเรียกข้าด้วย”

            “เหอะ ไม่ดีกว่า ถ้าข้าเรียกเจ้า ข้าได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณห่วยแตกแน่ๆ ถ้าเจ้าหวังดี ก็แค่จุดธูปสวดภาวนาให้ข้าก็แล้วกัน”

            “ฮ่าๆๆ ข้าจะภาวนาขอให้วิญญาณเจ้าเปลี่ยนร่างล้มเหลว เจ้าจะได้หมดกำลังใจแล้วข้าก็จะโฉบเข้าไปจับเจ้าและขังไว้ในชามตลอดไป”

            “ไปตายซะ”

            “มันต้องราบรื่นแน่ อย่าลืมคิดถึงข้าเข้าไว้ ตกลงนะ! จุ๊บๆ!”

            “รีบไปลงนรกเลยไป!”

——

            หลังจากร่ำลากับเสี่ยวชีแล้ว คนของยอดเขาไร้ลักษณ์ก็ขึ้นเรือคลื่นเมฆาของหวังลู่และออกไปจากเขาอวิ๋นไท่

            เมื่อนั่งอยู่ในเรือเหาะและมองออกไปยังทิวทัศน์ของเขาอวิ๋นไท่ที่อยู่นอกหน้าต่าง ใจของหวังลู่ก็ปนเปไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

            การเดินทางมายังเขาอวิ๋นไท่นั้นใช้เวลาไม่นาน รวมๆ แล้วยังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีสีสันและการหักมุม… ไม่สิ มันยิ่งกว่านั้นหลายพันเท่านัก ตอนนี้พอหวนนึกถึงความทรงจำต่างๆ เขาก็อดรู้สึกเหนื่อยไม่ได้ พละกำลังทั้งหมดในร่างกายจู่ๆ ก็เหมือนเหือดแห้งไปหมด

            ทว่าเมื่อมองดูหลิวหลี เด็กสาวหูแมวหลิงเยียนและป๋ายซือเสวียนที่กำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่ใกล้ๆ… หวังลู่ก็รู้สึกว่าความอุตสาหะของเขานั้นคุ้มค่า

            ไม่นานนักเรือคลื่นเมฆาก็เคลื่อนผ่านชั้นของเมฆทำให้ทิวทัศน์สีเขียวของเขาอวิ๋นไท่หายไปจากสายตา หวังลู่ดึงสายตากลับคืนมาและถอนหายใจเบาๆ

            เทพธิดาอวิ๋นไท่ ข้าไม่ได้ทำลายความเชื่อใจที่ท่านมีต่อข้า แม้ข้าต้องพาซือเสวียนที่เพิ่งเปลี่ยนร่างออกมาจากบ้านของนาง แต่มันก็ดีกว่าการที่นางต้องตกเป็นทาส หนำซ้ำเขากระบี่วิญญาณก็สมบูรณ์ไปด้วยพลังปราณฟ้าดิน ดังนั้นป๋ายซือเสวียนต้องอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุขแน่

            ดังนั้นท่านโปรดวางใจเถอะ

            หวังลู่ก้มศีรษะลงและกำหินสีขาวในมือแน่น มันคือก้อนกรวดหน้าตาธรรมดาจากทะเลสาบมรกต แต่เป็นของที่ระลึกล้ำค่าซึ่งเขาได้มาจากการเดินทางสั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้

 [1] เป็นประโยคที่พวกอาชญากรชอบเอาไว้ล่อเด็กเล็กๆ เพื่อลักพาตัว