อีก1 วันผ่านไป ดวงอาทิตย์ค่อยๆทอแสงสว่างเหนือท้องฟ้า กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว ครั้งนี้ชุดของทุกคนมีความพิเศษเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสื้อของพวกเขาเป็นสีเงินมีรูปตารางหมากรุกขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ที่หน้าอกข้างซ้าย มันถูกปักอยู่บนเสื้อผ้าด้วยความปราณีตสูง บางคนก็มีรูปลักษณ์ของตารางหมากรุกที่อาจจะเหมือนกันแต่ไม่ใช่ บางคนก็เป็นสีขาวบางคนก็เป็นสีดำ
พระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะ!!
แทบไม่ทันได้พูดจาใดๆพระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะก็เดินทางมาถึงหอคอยจักรพรรดิ ผู้นำของกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นชายวัยกลางคนผอมสูง ทรงผมแลดูยุ่งเหยิง ใบหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต แต่ยังคงดูสงบนิ่ง
ดวงตาอันแสนลึกซึ้งแฝงไปด้วยความ
บทที่ 1920 – พี่ใหญ่ของตงฟ่างจือซิ่ว ความจริง?
อีก1 วันผ่านไป ดวงอาทิตย์ค่อยๆทอแสงสว่างเหนือท้องฟ้า กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว ครั้งนี้ชุดของทุกคนมีความพิเศษเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสื้อของพวกเขาเป็นสีเงินมีรูปตารางหมากรุกขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ที่หน้าอกข้างซ้าย มันถูกปักอยู่บนเสื้อผ้าด้วยความปราณีตสูง บางคนก็มีรูปลักษณ์ของตารางหมากรุกที่อาจจะเหมือนกันแต่ไม่ใช่ บางคนก็เป็นสีขาวบางคนก็เป็นสีดำ
พระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะ!!
แทบไม่ทันได้พูดจาใดๆพระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะก็เดินทางมาถึงหอคอยจักรพรรดิ ผู้นำของกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นชายวัยกลางคนผอมสูง ทรงผมแลดูยุ่งเหยิง ใบหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต แต่ยังคงดูสงบนิ่ง
ดวงตาอันแสนลึกซึ้งแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอัดแน่นไปด้วยความกดดัน หากมองจากภายนอกไม่มีทางทราบถึงอายุที่แท้จริง แต่ที่พอคาดเดาได้คือชายคนนี้ไม่แก่เกินไป
ชิงสุ่ยเชื่อมั่นว่าการฝึกฝนคือสิ่งสำคัญที่ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดแบบเดียวกับเขา ทำให้คนที่แข็งแกร่งสามารถบรรลุระดับขั้นสูงได้ตอนอายุครบ 100 ปี แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ค่อยพบเจอบ่อยนะ
หลังจากอายุผ่านไป100 ปี คนส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดด และจะบรรลุในพลังระดับแข็งแกร่งได้ตอนอายุ 200 ปี เมื่อพ้นช่วงอายุนี้ ความสามารถจะพัฒนาต่อไปได้หรือไม่มันจะขึ้นอยู่กับการสะสมพลัง และโชคชะตา ฉะนั้นยอดยุทธบางคนอาจจะอยู่เหนือกว่าผู้อื่นทั้งที่ตัวเองมีอายุเพียงแค่ 200 ปี ในขณะที่บางคนก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดสำเร็จวิชาทรงพลัง กลายเป็นยอดยุทธเหนือยอดยุทธตอนอายุ 1000 ปี
ในมุมมองของชิงสุ่ยชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเขาคงจะมีอายุมากกว่า 100 ปีเล็กน้อยเขามีใบหน้าที่ดูไม่เสแสร้ง แต่เป็นการยากที่จะบอกถึงจุดยืนของชายคนนี้ ว่าเขาอยู่ฝั่งธรรมะหรืออธรรม ผมยาวที่ดูยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยความมีเสน่ห์ของชายวัยกลางคน
ชิงสุ่ยรู้สึกได้เลยว่าชายคนนี้เหมือนกับตงฟ่างจือซิ่วจนเผลอคิดไปว่าทั้งสองคนอาจจะแต่มีความเกี่ยวข้องกัน ชายคนนั้นนำกองกำลังคนมามากกว่า 100 คน โดยมีผู้อาวุโสมากกว่า 10 คนคอยติดตาม ชายชราเหล่านั้นไม่ได้ไปกว่ากลุ่มคนของไถไจ๋เลย
”พี่ใหญ่!!”ทันใดนั้นตงฟ่างจือซิ่วก้าวเดินออกมาด้านหน้าพร้อมกับเร่งเสียงตะโกนเรียกอย่างมีความสุข
”เสี่ยวซิ่วว!!”
ตงฟ่างจือซิ่วโอบกอดชายคนนั้นยังมีความสุขในขณะที่ชายคนนั้นเองก็ค่อยๆลูบหัวของเธออย่างช้า
ชิงสุ่ยที่สังเกตอยู่ด้านข้างโดยปกติแล้วตงฟ่างจือซิ่วจะเป็นหญิงสาววัยรุ่นที่มีความเป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นเพียงแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม
หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็แยกตัวออกมาจากชายคนนั้นพร้อมกับหันมามองชิงสุ่ยด้วยความเขินอาย เธอเองก็สังเกตว่าเธอเหมือนจะลืมตัว “พี่ใหญ่ ข้าขอแนะนำ ชายคนนี้ก็คือชิงสุ่ย เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง”
”สวัสดีคุณชายชิงขอบคุณมากที่ช่วยน้องสาวตัวน้อยของข้า ไว้โอกาสหน้าข้าจะรีบนำของตอบแทนมาให้เจ้า”ชายคนดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ อัดแน่นไปด้วยความมีมารยาท
ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า”สวัสดีคุณชายตงฟ่าง ข้าไม่ได้ช่วยน้องสาวของเจ้าเพื่อหวังสิ่งตอบแทน และในเมื่อเธอยืนอยู่ฝั่งเดียวกับข้า ข้าย่อมต้องช่วยเหลือเธอเป็นธรรมดา”
”เสี่ยวซิ่วท่านพ่อขอให้เจ้ากลับบ้าน อย่าได้เข้าร่วมภารกิจใดๆต่อจากนี้อีกเลย” ชายคนนั้นหันไปพูดกับตงฟ่างจือซิ่วหลังจากพยักหน้าให้กับชิงสุ่ย
”ท่านพี่ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น อีกไม่นานมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ก็จะกลับมาที่นี่ พวกพระราชวังอมตะเบญจพิษก็กำลังจะมาสร้างปัญหา ข้าเป็นหนี้ชีวิตพวกเขา ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมกับพวกเขา”ตงฟ่างจือซิ่วสีหน้าจริงจังอย่างมาก
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์และพระราชวังอมตะเบญจพิษไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกเราพระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะเลย เจ้าช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก กลับบ้าน ข้าจะอยู่ที่นี่แทนเจ้าเอง มาเถอะแล้วทุกอย่างจะดีเอง”ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความล้ำลึก
”ข้าจะอยู่ที่นี่และร่วมรบกับทุกคน”ตงฟ่างจือซิ่วสีหน้าไม่ค่อยสบายใจและพยายามโต้เถียงอย่างต่อเนื่อง
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างสงบนิ่ง”ฟังพี่ชายของเจ้าและกลับไปบ้านของเจ้าซะ มันจะดีกว่าการอยู่ที่นี่” ชายคนนั้นรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ยเขาสงสัยเหลือเกินว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงมีความมั่นใจยิ่งนัก เหตุผลหลักที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อพาตัวตงฟ่างจือซิ่วกลับบ้าน ส่วนชะตากรรมของคนอื่นไม่ใช่ธุระของเขา
เขาเองก็ไม่ใช่คนใจเย็นแต่ความอยู่รอดคือสิ่งที่ดีที่สุด ภายใต้สถานการณ์ตรึงเครียด หากไม่มีความเข้มงวดก็คงไม่อาจรักษาผลลัพธ์ที่แน่นอนได้ ชายคนนั้นกล่าวตอบด้วยความใจจริง ยิ่งตอนนี้ปมปัญหาได้ผูกจนแน่นหนา ทั้งมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์และพระราชวังอมตะเบญจพิษ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เล่นๆแน่
”พี่ใหญ่สุ่ยท่านช่วยชีวิตข้าหลายต่อหลายครั้ง ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องจากไปโดยไม่ทำอะไร ฉะนั้นข้าจะไม่กลับไปอย่างแน่นอน” ตงฟ่างจือซิ่วยืนยันอย่างหนักแน่น เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว ทุกคนคงรู้ว่าการโน้มน้าวให้เธอกลับบ้านมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปยกเว้นจะใช้คำสั่งพิเศษ
”เสี่ยวซื่วฟังข้า!!”ชายคนนั้นกล่าวเสร็จก็แตะบริเวณลำคอของตงฟ่างจือซิ่ว ในไม่ช้าเธอก็ค่อยๆหมดสติ
ชิงสุ่ยยืนมองชายคนนั้นโดยไม่หยุดหรือพูดจาอะไรเขารู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อตงฟ่างจือซิ่ว ซึ่งสิ่งที่เขาทำก็เป็นการหวังดี ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าทั้งสองคนจะต้องเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน
”คุณชายชิงข้าอาจจะเห็นแก่ตัว แต่ข้าไม่มีทางเลือกและไม่สามารถขัดคำสั่งได้ ข้าจำเป็นต้องช่วยเหลือชีวิตน้องสาวของข้า ฉะนั้นถ้าจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนคำขอของเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการสิ่งใด?”ชายคนนั้นกล่าวถามชิงสุ่ยตรงไปตรงมา
มันช่างน่าแปลกใจมากที่ชายคนนี้จะกล่าวคำพูดตรงไปตรงมาออกมาชิงสุ่ยก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขารู้แค่ว่าการพาตัวตงฟ่างจือซิ่วกลับไปอาจจะเป็นหนทางที่ดี และจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็พอคาดเดาได้ว่าคนที่ใหญ่กว่าชายคนนี้คงจะบีบบังคับให้ชายคนนี้ต้องทำ
ชิงสุ่ยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับและพยักหน้าอย่างใจเย็น “ข้าไม่ต้องการอะไร และเจ้าก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรกับข้า ปลุกนางเถอะ แล้วเดี๋ยวข้าจะทำให้นางกลับไปกับเจ้าด้วยความเต็มใจ”
ชายคนนั้นลังเลก่อนจะสัมผัสจุดชีพจรที่ตัวตงฟ่างจือซิ่วในช่วงพริบตาตงฟ่างจือซิ่วก็ตื่นจากการหลับใหล พร้อมกับพยายามหนีจากตัวชายคนนั้น ซึ่งเธอก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวของชิงสุ่ย
”กลับไปกับพี่ชายของเจ้าเถอะต่อให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ช่วยเหลืออะไรข้าไม่ได้ หลังจากผ่านวันนี้ไป เจ้าจะรู้ว่าข้าสามารถปกป้องกันเองได้ มันไม่มีความหมายเลยหากเจ้าจะอยู่ต่อ เจ้าสมควรกลับออกไปและไม่ต้องรับรู้เรื่องราวใดๆ ฟังข้าและกลับไปซะ อนาคตพวกเราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่เปิดช่องว่างให้โต้เถียง ตงฟ่างจือซิ่วพยายามจะพูดแต่ชิงสุ่ยก็โบกมือ”ไปเถอะ ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่เจ้าจะจากไป”
หลังจากที่เขากล่าวจบชิงสุ่ยก็หันหลังกลับเข้าไปภายในหอคอยจักรพรรดิพร้อมกับคนอื่นๆ
สายตาของชายคนนั้นจับจ้องไปที่หอคอยจักรพรรดิ”น้องข้า เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ชายคนนี้สามารถปกป้องกันเองได้โดยไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”