ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


อ๋องหู่ นี่หมายความว่าโถวปาหู่ตัดสินใจกลับไปอยู่ใต้ร่มธงของโถวปาหงแล้ว เป็นการสวามิภักดิ์อย่างแท้จริง ไม่พูดถึงเงื่อนไขใดอีก เขายอมรับฐานะจักรพรรดิของโถวปาหง ได้ยินวาจาของโถวปาหู่ โถวปาเฟิงก็แข็งค้าง จากนั้นก็รีบพยักหน้าและเดินออกจากกระโจมไป ในใจเขาย่อมรู้ดี เวลานี้ต้องตัดสินใจแล้ว จะเลือกความชอบธรรมหรือผลประโยชน์? ตระกูลของเขาไม่เคยขาดแคลนชื่อเสียง นับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษก็ควบคุมกองทัพพยัคฆ์ ทั้งยังเป็นที่เคารพยกย่องของคนทั่วไป ตอนนี้ บางทีอาจจะถึงเวลาที่ต้องสละละทิ้งบางสิ่ง ฐานะของทัพพยัคฆ์ ศักดินาของอ๋อง บางที สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอาจไม่สลักสำคัญอีกต่อไป ต่อหน้าเกียรติยศ ศักดิ์ฐานะใดๆล้วนเป็นเพียงหมอกควัน ไม่ใช่ว่าที่ทัพพยัคฆ์ตามไขว่คว้ามาตลอดก็คือเกียรติยศหรอกหรือ? เป็นเพราะเกียรติยศ ทัพพยัคฆ์จึงค่อยเป็นทัพพยัคฆ์อย่างทุกวันนี้ โถวปาเฟิงขึ้นขี่เปกาซัส เขาถือธงสัญลักษณ์ประจำทัพพยัคฆ์เอาไว้ในมือ จากนั้นจึงรีบตรงไปยังแนวหน้า เมื่อถึงด่านสกัดก็ตะโกนเสียงดัง บอกว่ามาในนามของอ๋องหู่ หลายวันก่อน โถวปาเฟิงกระทั่งไม่กล้ายกชูธงประจำทัพ แต่ครั้งนี้เขายกชูขึ้นสุดแขน บอกให้ทุกคนที่ดูอยู่ได้ทราบว่าทัพพยัคฆ์มาแล้ว ได้ยินเสียงตะโกน ทุกคนที่พักอยู่แถวนั้นก็หันมามองดู เมื่อได้เห็นธงสัญลักษณ์ของทัพพยัคฆ์ที่คุ้นเคย ทุกคนก็เริ่มโห่ร้องขึ้นมา พวกเขาจ้องมองดูธงด้วยน้ำตานองหน้า นี่ก็คือทัพพยัคฆ์ เมื่อจักรวรรดิกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต พวกเขาต้องลุกขึ้นยืนหยัดปกป้องด้วยเลือด นี่จึงเป็นทัพพยัคฆ์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ความภาคภูมิของชาวเมฆา ผู้คนนับไม่ถ้วนกรูกันออกมาล้อมโถวปาเฟิงไว้ก่อนจะเริ่มร้องเพลงสรรเสริญ วินาทีนั้น ใบหน้าของโถวปาเฟิงเประเปื้อนไปด้วยน้ำตา นี่ก็คือเกียรติยศที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ตัวเขาเกิดมาก็เพื่อสิ่งนี้ วันรุ่งขึ้น ทัพพยัคฆ์ก็เดินทางมายังแนวหน้าอย่างเป็นทางการ โถวปาหงนำพาบุคคลสำคัญทั้งหมดออกมาต้อนรับ ครั้งนี้เขายังผลัดเปลี่ยนเสื้อใหม่ให้ดูเป็นพิธีการ โถวปาหู่ควบม้ามาที่เบื้องหน้าของโถวปาหงก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้า จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าของโถวปาหงก่อนจะคุกเข่าลงด้วยใบหน้าจริงจัง “กระหม่อม โถวปาหู่ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมมาขอรับโทษ” วินาทีที่โถวปาหงเห็นโถวปาหู่คุกเข่าลง เขาก็รีบเดินเข้าไปพยุงขึ้นมา อย่างไรเสีย ด้วยผลงานที่สั่งสมตลอดหลายปีมานี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเมื่อพบจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม โถวปาหงที่ช่วยพยุงกลับไม่สามารถทำให้โถวปาหู่ลุกขึ้นได้ เขารู้สึกราวกับกำลังพยายามยกขุนเขาศิลา นี่แสดงให้เห็นว่าการคุกเข่าของโถวปาหู่ได้ทำเพียงผิวเผิน หากแต่เป็นการแสดงความเคารพจากใจจริง “ท่านลุงรีบลุกขึ้นเถอะ นี่จะให้ข้ารับไว้ได้อย่างไร? นับตั้งรุ่นพระบิดา ท่านก็รับสั่งไว้ว่าท่านลุงไม่จำเป็นต้องคุกเข่า และยังมีผลในรุ่นข้าเช่นกัน บารมีของท่านเทียบเท่ากับตอนที่พระบิดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง” เห็นโถวปาหู่แสดงท่าทีเช่นนี้ โถวปาหงก็มีความสุขมาก เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง ที่โถวปาหงต้องการมีเพียงการสวามิภักดิ์ของโถวปาหู่ ไม่ได้ต้องการริดรอนอำนาจของเขา โถวปาหู่เลือกเดินทางมาอ้อนน้อมที่แนวหน้าทั้งที่เขาสามารถยกทัพจากไปได้ สิ่งนี้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ นับตั้งแต่ที่โถวปาหู่แสดงจุดยืนของตนเช่นนี้ โถวปาหงย่อมไม่อาจสร้างข้อเรียกร้องมากเกินไป ในเวลาเช่นนี้ ไม่เพียงไม่อาจริดรอนอำนาจของโถวปาหู่ หากแต่ยังต้องเพิ่มอำนาจให้เขา ให้เขารู้สึกสำนึกขอบคุณต่อโถวปาหง หลังจากโถวปาหู่ลุกขึ้นยืน โถวปาหงก็จับมือโถวปาหู่พาเดินเข้าไปในค่ายด้วยกัน ขณะเดินอยู่โถวปาหงก็ตะโกนบอกคนรอบข้าง “ท่านอ๋องหู่นำทัพพยัคฆ์มาแล้ว กองทัพที่เป็นดั่งความความภูมิของเราชาวเมฆา ไม่ช้าพวกเราจะโค่นล้มกองทัพเซิกและฟื้นฟูจักรวรรดิเมฆา!” เสียงตะโกนของโถวปาหงทำให้ชาวเมฆารู้สึกฮึกเหิม พวกเขาต่างร้องตะโกนตอบรับกันสุดเสียง การมาถึงของทัพพยัคฆ์ทำให้ชาวเมฆามีความมั่นใจมากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เซียวอวี๋จะนำกองทัพมาช่วยเหลือ แต่อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นกองทัพของคนนอก ดังนั้นจึงไม่อาจยึดกุมรวมใจชาวเมฆาทั้งหมด เพราะเมื่อเป็นคนนอก พวกเขาก็อาจสละละทิ้งแนวป้องกันในยามคับขัน ทว่ากองทัพพยัคฆ์นั้นเป็นลูกหลานชาวเมฆา เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมฆา พวกเขาย่อมต่อสู้จนตัวตายไปพร้อมกับชาวเมฆา ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองจึงจบลงด้วยชัยชนะของโถวปาหง และผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างแท้จริงก็คือเซียวอวี๋ที่มีท่าทีแข็งกร้าวตั้งแต่เริ่ม เป็นเซียวอวี๋ที่กระตุ้นจิตวิญญาณของจักรพรรดิภายในตัวของโถวปาหงขึ้นมา เหล่าทหารที่หลบหนีออกจากทัพพยัคฆ์ก่อนหน้าถูกรับตัวกลับมาโดยไม่มีการตำหนิลงโทษอะไร ทั้งหมดล้วนกลับมาสวมใส่เครื่องแบบทัพพยัคฆ์และเตรียมตัวออกรบในศึกที่กำลังจะมาถึง แม้ว่าการศึกจะเป็นเรื่องเร่งด่วน กระนั้นโถวปาหงก็ยังเลือกจะจัดพิธีง่ายๆเพื่อต้อนรับโถวปาหู่ สิ่งของที่จัดเตรียมไว้ในงานส่วนใหญ่ล้วนมาจากเซียวอวี๋ เซียวอวี๋กลอกตาตอนที่โถวปาหงมาหยิบยืมพร้อมทั้งบอกว่าเมื่อสงครามสิ้นสุดลง โถวปาหงต้องรีบจัดการจ่ายค่าสิ่งของเหล่านี้ เหตุผลที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีต่อโถวปาหู่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการรบในศึกที่กำลังจะมาถึง เมื่อมีกองทัพพยัคฆ์มาเสริม พวกเขาก็มีกำลังจะตอบโต้กลับแล้ว โถวปาเฟิงเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน เขาถูกเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงนี้ แต่เขาปฏิเสธและเลือกที่จะไปทดสอบฝีมือกับพวกแมลงที่ด้านบนกำแพงเมืองแทน ทัพพยัคฆ์เพิ่งเข้าร่วม โถวปาหงจึงยังไม่มีคำสั่งทางการทหารใดๆ แต่โถวปาหงเฟิงนั้นอดทนรอไม่ไหว เห็นดังนั้น โถวปาหงก็หัวเราะพร้อมทั้งอนุญาตโถวปาเฟิง ภายในงานเลี้ยง เมื่อโถวปาหู่ได้พบเห็นจ้าวมนตราทั้งสาม เขาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขารีบสลัดท่าทีวางตัวสูงส่งทิ้งและแสดงความเคาระต่อจ้าวมนตราทั้งสามอย่างนอบน้อม “ได้ปรมาจารย์ทั้งสามยื่นมือช่วยเหลือ โถวปาหู่ซาบซึ้งใจยิ่ง” โถวปาหู่ทราบว่าที่ทั้งสามเดินทางมานี้ก็เพื่อรักษาความสงบของทั้งทวีป ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน บุคคลเช่นนี้ย่อมควรค่าแก่การสรรเสริญ เปรียบเทียบกันแล้ว แม้ว่าตัวเขาจะมีอำนาจมาก แต่เขาก็ยังคงคิดเล็กคิดน้อยขณะที่จักรวรรดิบ้านเกิดกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจ พวกเขาไม่ใช่ชาวเมฆา แต่พวกเขามาเพื่อต่อสู้รักษาทวีป ในฐานะชาวเมฆาแล้ว ตัวเขาเพียงเฝ้ามองดูอยู่ด้านข้างมาหลายวัน และปล่อยให้ชาวเมฆาต้องหลั่งเลือดมากมายโดยไม่จำเป็น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ คิดถึงเหล่าชาวบ้านธรรมดาต้องหลั่งโลหิตใกล้ค่ายพยัคฆ์ของตนอยู่หลายวัน โถวปาหู่รู้สึกเสียใจยิ่ง เวลานี้โถวปาหู่เพิ่งทราบว่าการโต้กลับที่โถวปาหงเคยกล่าวถึงนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเลื่อนลอย ด้วยการคงอยู่ของจ้าวมนตราทั้งสาม การจะโต้กลับพวกเซิกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ยิ่งกว่านั้น เขายังทราบว่าอีกว่า เพื่อต่อกรกับกองทัพเซิก เซียวอวี๋ได้รวบรวมนักผจญภัยมากมายมาที่นี่เพื่อเตรียมบุกเข้าอัลคีราฟ ที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่ต้อนพวกเซิกไปที่วิหารอัลคีราฟ จากนั้นก็จะถึงเวลาลงมือของพวกนักผจญภัย แม้ว่าในตอนแรกเขาจะไม่ชอบพอนิสัยใจคอที่เจ้าเล่ห์ของเซียวอวี๋ แต่ตอนนี้โถวปาหู่เริ่มรู้สึกนับถือเซียวอวี๋ขึ้นมาแล้ว เขารู้ว่าที่จักรวรรดิเมฆายังสามารถค้ำยันกับพวกเซิกได้ก็เพราะเซียวอวี๋ หากปราศจากเซียวอวี๋ โถวปาหงก็ไม่มีความมั่นใจและสามารถจูงใจเขาได้ เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเซียวอวี๋ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกขอบคุณเซียวอวี๋ บางทีที่เซียวอวี๋นำกองทหารมาที่นี่ก็เพื่อปกป้องดินแดนของตน แต่หากขาดการสนับสนุนของเซียวอวี๋ ลำพังเพียงกองทัพจักรวรรดิยังไม่เพียงพอ เซียวอวี๋นำกองทัพยืนหยัดต้านทานพวกเซิก นำสามจ้าวมนตรามา ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะตอบโต้พวกเซิก อาจกล่าวได้ว่าเซียวอวี๋ถือเป็นผู้มีพระคุณของจักรวรรดิเมฆา…..