ตอนที่ 1130 สมมติฐานของประวัติศาสตร์

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1130 สมมติฐานของประวัติศาสตร์ โดย Ink Stone_Fantasy

‘เข้าใจมันน้อยเกินไป…เหรอเพคะ?’ หนวดทั้งตัวของเซลีนลู่ตกลงมา เหมือนเธอเองก็รู้ตัวเหมือนกัน ‘ใช่เพคะ ยิ่งหม่อมฉันอยู่ในสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับนานเท่าไร หม่อมฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ยังมีหนังสือที่พระองค์ทรงนำกลับมาจากโลกแห่งความฝันพวกนั้นอีกที่ทำให้หม่อมฉันได้เปิดโลกกว้างขึ้น พอได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนี้ บางทีหม่อมฉันไม่ควรจะใช้คำว่าน่าเหลือเชื่อมานิยามมัน เพราะว่ามีบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่ามันอีกเพคะ’

“โอ้? อะไรเหรอ?”

‘พวกเราไงเพคะ’ เซลีนหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ‘ในหนังสือบอกว่าร่างกายทุกคนล้วนแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุต่างๆ ไม่ใช่เหรอเพคะ? ทั้งคาร์บอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจนอะไรพวกนั้น…ไม่ได้ต่างจากต้นไม้เท่าไรเลย แต่พวกเรากลับสามารถหัวเราะร้องไห้และคิดได้ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์กว่าการส่องแสงอีกเพคะ’

“หนังสือเล่มนั้นข้าก็เคยอ่านเหมือนกัน แต่มันดูไม่น่าเชื่อเลย” ไนติงเกลถอนใจออกมา “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผิวหนังบนร่างกายของข้าจะไม่ได้ต่างอะไรจากเปลือกไม้หยาบๆ”

‘นี่น่าจะเป็นความลึกลับของโครงสร้างที่ฝ่าบาทตรัสไว้ล่ะมั้ง’

เซลันมองไปทางโรแลนด์ แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร

‘ฝ่าบาท?’

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ?”

ในตอนนี้โรแลนด์ถึงได้สติกลับคืนมา “เซลีน เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

‘พวกเรามหัศจรรย์กว่าแผ่นศิลาเหรอเพคะ?’

“อันนี้แหละ…” เขารับรู้ได้ถึงความคิดอันหนึ่งที่ไหลทะลักออกมาจากในหัวสมอง “แผ่นศิลาที่ว่า บางทีมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใครบางคนทิ้งเอาไว้เป็นที่ระลึก แต่พวกมันนั่นแหละที่เป็นมนุษย์ไม้ขีดไฟ?”

‘พระองค์ทรงหมายความว่า…” เสียงของเซลีนฟังดูตกใจเล็กน้อย

“มนุษย์ไม้ขีดก็คือแผ่นศิลา สิ่งที่พวกเราเห็นก็คือร่างกายที่พวกมันเหลือทิ้งเอาไว้” โรแลนด์ตอบช้าๆ ชัดๆ ขณะเดียวกันร่างกายก็เกิดอาหารสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถูกต้อง พวกมันคือสิ่งมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกาย พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่มีซีลิคอนเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกาย

ตอนแรกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ไม่เพียงแต่ลักษณะพิเศษบางอย่างของตัว ‘แผ่นศิลาเรืองแสง’ จะได้รับคำอธิบาย แต่ภาพวาดที่อยู่ในวิหารต้องสาปก็ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

เรื่องแรก ทำไมบนแผ่นศิลาถึงได้มีลวดลายเยอะชนาดนั้น? ไม่ใช่แค่ผิวด้านนอกเท่านั้น แม้แต่ข้างในของมันก็ยังเป็นเช่นนั้นด้วย ถ้าลวดลายเหล่านั้นคือสิ่งที่ใช้เครื่องมือทำขึ้นมา อย่างนั้นแม้แต่อันนาที่ตื่นรู้ไฟสีดำขึ้นมาก็ไม่สามารถที่จะทำมันในระยะเวลาสั้นๆ ได้

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเปลี่ยนไปคิดอีกมุมหนึ่ง หากลวดลายเหล่านั้นคือสิ่งที่ร่างกายของพวกมันสร้างขึ้นมาเอง แบบนั้นมันก็จะดูไม่ใช่เรื่องแปลกอีก

บางทีในลวดลายเหล่านั้นอาจจะมีเคยมี ‘เลือด’ ไหลเวียนอยู่ไม่ขาดสาย ภายใต้แรงกดของเลือด ซิลิคอนออกไซด์จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เพียโซอิเล็กทริก และเมื่อสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้ประสานเข้าด้วยกัน สุดท้ายมันก็จะเกิดเป็นความคิด นอกจากนี้กระแสไฟฟ้ายังสามารถเปลี่ยนเป็นแสงสว่างได้ด้วยกลไกบางอย่าง เช่นนั้นพวกมันก็จะมีความสามารถในการสื่อสารกับโลกภายนอกได้

โรแลนด์นึกถึงภาพร่างรวมของมนุษย์ไม้ขีดขนาดยักษ์กับเลือดที่ไหลออกจนกลายเป็นทะเลสาบ…..

เขาคิดว่าทะเลสาบเลือดที่ว่าก็คือน้ำมัน

เมื่อคิดให้ลึกขึ้นไปอีก บางทีเผ่ากัมมันตรังสีที่เป็นศัตรูของมนุษย์ไม้ขีดอาจจะไม่ได้บูชาวัตถุที่ปล่อยรังสีได้โดยไม่มีสาเหตุเสียแล้ว

รังสีที่รุนแรงสามารถรบกวนวงจรไฟฟ้าได้ และสามารถทำให้ ‘อุปกรณ์ไฟฟ้า’ ไม่สามารถใช้งานได้ ไม่แน่นี่อาจจะเป็นจุดกำเนิดของความเชื่อของเผ่ากัมมันตรังสี!

โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นภาพอันหน้าตกใจค่อยๆ ฉายขึ้นมาตรงหน้าเขา

อารยธรรมประหลาดสองอารยธรรมเปิดศึกห้ำหั่นกันที่ดินแดนทางใต้สุดเพื่อแย่งชิงมรดกของพระเจ้า เผ่าพันธุ์หนึ่งโดนทำลายจนดับสูญ เลือดที่ไหลออกมากลายเป็นแม่น้ำสติกซ์ใต้ดินและบึงโทรธสวอม แต่เนื่องจากร่างกายไม่เน่าเปื่อย หลังผ่านไปพันปีก็ได้กลายเป็นแผ่นป้ายสุสานฝังอยู่ใต้ดิน ส่วนฝ่ายที่ชนะกลับไม่รู้ว่าหายไปไหน นอกจากลูกบาศก์เวทมนตร์ที่ได้มาจากวิหารต้องสาปแล้ว ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกมันเหมือนจะหายไปจนหมด ภายหลงจึงได้แต่ต้องอาศัยภาพวาดบนผนังไม่กี่ภาพมาคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!

‘แผ่นศิลาเรืองแสงคือร่างของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับพวกเราเหรอเพคะ?’ เซลีนถามเสียงคร่ำเคร่ง ‘ขออภัยที่หม่อมฉันทูลตามตรงนะเพคะ หม่อมฉันจินตนาการภาพเจ้าแผ่นสี่เหลี่ยมเหล่านี้มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วยังเคลื่อนไหวไปมาไม่ออกเลยเพคะ…พระองค์ทรงมีหลักฐานมากกว่านี้ไหมเพคะ?’

โรแลนด์พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะส่ายหน้าขึ้นมาช้าๆ “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ความจริงมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะถ้ามองจากมุมของการวิวัฒนาการ เรื่องแบบนี้มันแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้”

สิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนเป็นสภาพแบบไหน ส่วนใหญ่มันก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ให้กำเนิดมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือว่าสัตว์อสูร ก็ถือเป็นผลผลิตหนึ่งของชีวมณฑล แต่สิ่งมีชีวิตที่มีซิลิคอนเป็นองค์ประกอบหลักเนี่ยนะ? นั่นมันเป็นเส้นทางการวิวัฒนาการอีกเส้นทางหนึ่งเลย ดูยังไงมันก็ไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างพื้นฐานของร่างกายที่แตกต่างกันสองชนิดอาศัยอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน

‘แต่ฟังจากที่พระองค์ตรัสมา เนื้อหาที่อยู่ในภาพบนผนังวิหารมันก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก…’ เซลีนนิ่งเงียบไปครู่ ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ปล่อยปริศนาที่ว่านี่เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน หม่อมฉันคิดว่าขอเพียงพวกเราสืบค้นต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายความจริงมันต้องปรากฏขึ้นมาแน่นอนเพคะ เพราะมีแต่แบบนี้เท่านั้น คนเราถึงจะเติบโตได้อย่างแท้จริง’

“ฟังดูแล้วมีเหตุผลอย่างมาก..” ไนติงเกลมุ่ยปาก

‘นี่เป็นหนึ่งในคำสอนของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ’ เซลีนยิ้มๆ ‘จะว่าไปแล้ว หม่อมฉันได้ทำการทดสอบเรื่องปฏิกิริยาการส่องแสงของแผ่นศิลามานิดหน่อยเหมือนกัน เดิมคิดจะลองใช้มันมาให้ความสว่างแทนหินเวทมนตร์ แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นเหมือนที่คิดเอาไว้’

“ใช้ไม่ได้..เหรอ?” โรแลนด์ขมวดคิ้ว ตอนแรกที่เขาได้รับรายงานมาก ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือใช้มันแทนหลอดไฟ เนื่องจากการจ่ายไฟยังมีข้อจำกัดอยู่ ตอนนี้จึงมีแค่นโรงงานและพื้นที่เล็กๆ ที่อยู่รอบๆ ไม่กี่ที่เท่านั้นที่มีหลอดไฟใช้ การจะทำให้ทั่วทั้งเมืองส่องสว่างในเวลากลางคืนนั้นถือเป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่มากทีเดียว ถ้าแผ่นศิลาสามารถใช้แทนหลอดไฟได้ เช่นนั้นมันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างมากแน่นอน

‘ไม่ใช่ว่าไม่ได้เพคะ เพียงแต่มันยุ่งยากอย่างมาก ฝ่าบาทลองดูนี่เพคะ’ เธอหยิบหินตัวอย่างขึ้นมาสองก้อน เห็นได้ชัดว่านี่คือเศษแผ่นศิลาที่ผ่านการตัดมาแล้วสองครั้ง ชิ้นหนึ่งบางเหมือนกระดาษ อีกชิ้นหนึ่งมีขนาดประมาณก้อนเต้าหู้ เซลีนบีบพวกมันพร้อมกัน ตัวอย่างทั้งสองชิ้นส่องแสงออกมาทันที หินที่เป็นแผ่นบางๆ นั้นส่องแสงค่อนข้างจ้า ส่วนหินที่เป็นก้อนหนาๆ นั้นให้แสงสว่างพอๆ กับหินเวทมนตร์ หลังผ่านไปสิบกว่าวินาที แสงจากหินแผ่นบางพลันดับลง ส่วนหินก้อนหนายังคงส่องแสงต่อไปอีกครึ่งนาทีก่อนจะดับลง ‘หม่อมฉันใช้แรงกดเท่ากันทั้งสองข้าง’·

โรแลนด์เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที “ระดับความสว่างและระยะเวลาในการให้ความสว่างของพวกมันมีความสัมพันธ์กับลักษณะรูปร่างและขนาดพื้นที่ของร่างกายของพวกมัน”

‘ถูกต้องเพคะ’ เซลีนพยักหนวดหลัก ‘เศษชิ้นส่วนของแผ่นศิลาไม่สามารถส่องแสงไปได้ตลอด ขนาดยิ่งเล็กก็จะยิ่งดับไว ถึงแม้หลังจากนั้นมันจะส่องแสงออกมาได้อีก แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ถ้าหม่อมฉันอยากจะใช้มันมาให้ความสว่างทั้งโถงใต้ดินนี้ เกรงว่าหม่อมฉันคงต้องใช้แผ่นศิลาที่มีความสมบูรณ์หลายร้อยแผ่นเลย แถมบนแผ่นศิลาแต่ละแผ่นก็ต้องว่างแผ่นเหล็กหนักหลายร้อยกิโลเอาไว้ หลังจากแสงหมดไปแล้วก็ยังต้องย้ายแผ่นเหล็กออกไปอีก ถ้าเอาทั้งสองอย่างมาประกบเข้าด้วยกัน มันจะต้องเป็นของชิ้นใหญ่อย่างมากแน่นอนเพคะ’·

ถ้าใช้มันเป็นแหล่งให้แสงสว่าง แล้วใช้รอกเพื่อเพิ่มน้ำหนักของตัววัตถุที่ใช้กดทับ มันก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่พอใช้ได้ ถึงแม้จะค่อนข้างยุ่งยากหน่อย โรแลนด์มองไปทางเศษหินที่ใช้แสงสว่างจนหมดไป ภายในใจเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่….ขนาดยิ่งเล็กก็ยิ่งเปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย แต่ช่วงเวลาที่มันจะส่องแสงก็จะน้อยอย่างมากเช่นเดียวกัน ไม่ได้ต่างอะไรกับการสว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไปเลย

เดี๋ยวๆ สว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไป?

ตาเขาเป็นประกายทันที

สำหรับการพัฒนา ‘แผ่นศิลา’ อาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ว่าตอนนี้เขามีวิธีการใช้ที่เหมาะสมอย่างมากวิธีหนึ่ง

ปัญหานี้กวนใจกองทัพที่หนึ่งมาเป็นเวลานานแล้ว แถมในอนาคตอันใกล้ ปัญหาที่ว่านี่ก็จะยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

แต่ตอนนี้ เขาเหมือนจะมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว

นั่นคือ ‘เส้นนำทาง’ ของการยิงปืน —– กระสุนส่องวิถี

………………………………………………………………………………