ตอนที่ 1131 ศาสตร์แห่งปราชญ์ลำดับที่สาม

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1131 ศาสตร์แห่งปราชญ์ลำดับที่สาม โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อคิดได้ก็ลงมือทำ หลังโรแลนด์ออกมาจากเมืองชายแดนที่สาม เขาก็รีบเดินทางไปที่โรงงานผลิตกระสุนทันที

ถึงแม้ตอนนี้อันนาจะไม่อยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่ถ้าสมมติฐานของเขาถูกต้องล่ะก็ ด้วยเทคโนโลยีที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ก็สามารถทำการปรับปรุงตรงส่วนนี้ได้

พูดอีกอย่างก็คือมีแต่วิธีนี่เท่านั้น มันถึงจะมีค่าพอให้ทำการผลิตในปริมาณมาก

โรแลนด์เดินเข้าไปในโรงงานภายใต้การอารักขาขององครักษ์ เหล่าคนงานที่ไม่ได้เตรียมตัวพากันคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที ภายในโรงงานเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความปีติและความตื่นเต้น เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื้นตันของทุกคน โรแลนด์ถึงได้รู้ว่าตัวเองเหมือนจะหุนหันพลันแล่นไปหน่อย แต่ว่าในเมื่อมาแล้ว เขาจึงได้ต้องถือโอกาสเปลี่ยนจากการทดสอบอาวุธมาเป็นการเยี่ยมชมโรงงานและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเหล่าคนงาน

เป็นเวลาครู่ใหญ่กว่าที่เหล่าคนงานจะกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเอง เขารีบสั่งผู้ดูแลโรงงานทันที “พาหัวหน้าคนงานที่เชี่ยวชาญที่สุดในโรงงานมาหน่อย ข้ามีของอย่างหนึ่งอยากให้สร้างขึ้นมา”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

หลักการทำงานของกระสุนส่องวิถีนั้นไม่ซับซ้อน พูดง่ายๆ ก็คือเอากระสุนลูกตันมาคว้านด้านในออก แล้วใส่สารเรืองแสง สารช่วยเผาไหม้และดินปืนที่เผาไหม้ได้ช้าเข้าไปข้างใน จากนั้นค่อยใส่ท่อและปิดผนึกด้วยอลูมิเนียมฟอยล์  ในตอนที่กระสุนถูกยิง แก๊สขับเคลื่อนจะฉีกแผ่นฟอยล์และทำให้ดินปืนลุกไหม้ขึ้นมา จนทำให้สารเรืองเผาไหม้ สุดท้ายกลายเป็นแสงไฟพุ่งออกมา

สำหรับโลกสมัยใหม่ที่ทุกๆ อย่างถูกทำให้เป็นอุตสาหกรรมทั้งหมดแล้ว การผลิตกระสุนส่องวิถีขึ้นมานั้นก็เป็นแค่เพียงการเพิ่มสายการผลิตขึ้นมาอีกสายหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่อุตสาหกรรมต่างๆ ยังไม่มีความสมดุลกัน นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอย่างมาก ปกติสารเรืองแสงนั้นจะประกอบขึ้นมาจากสตรอนเทียมไนเตรท ผงแมกนีเซียมอลูมีเนียมและแบเรียมเพอร์ออกไซด์ นั่นก็หมายความว่าถ้าอยากจะผลิตกระสุนส่องวิถีในปริมาณมาก สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือสร้างสายการผลิตสารประกอบเหล่านี้ขึ้นมาก่อน แต่ระดับอุตสาหกรรมของอาณาจักรตัวเองเป็นอย่างไรนั้น โรแลนด์ย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจดี จนถึงตอนนี้ กองอุตสาหกรรมเคมียังไม่แน่เลยว่าจะผลิตกระสุนได้เพียงพอสำหรับความต้องการของกองทัพที่หนึ่ง ดังนั้นยิ่งไม่ต้องไปคาดหวังว่าจะให้กองอุตสาหกรรมผลิตอย่างอื่นเลย

ไม่นานผู้รับผิดชอบโรงงานก็พานายช่างคนหนึ่งเดินเข้ามา สิ่งที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจก็คืออีกฝ่ายนั้นไม่ใช่ชายแก่ผมขาวที่ทำอะไรเชื่องช้า หากแต่เป็นชายหนุุ่มที่อายุประมาณ 25 – 26 ปีเท่านั้น เขารีบคุกเข่าลงไปอย่างตื่นเต้น พร้อมกับทำความเคารพเหมือนกับอัศวิน “ฝ่าบาททรงมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

โรแลนด์คิดขึ้นมาได้ทันที ถูกต้อง ตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งการผลิตเครื่องจักรแล้ว คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีกว่ากำลังกลายเป็นหัวหอกของคลื่นแห่งอุตสาหกรรม ซึ่งนี่เป็นภาพที่ยากจะเห็นได้ในอุตสาหกรรมหัตถกรรม ความเร็วในการพัฒนาของเทคโนโลยีที่แซงหน้าอายุนำมาซึ่งความได้เปรียบ เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องการผลิตรุ่นใหม่ ประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นไม่เหมาะที่จะนำมาใช้อีกต่อไป

ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว คนงานส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ในโรงงานล้วนแต่มีอายุประมาณ 20 – 30 ปี เมื่อคิดถึงว่าพวกเรากำลังทำหน้าที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ อนาคตของเกรย์คาสเซิลมันก็คุ้มค่าที่จะรอคอย

โรแลนด์พยักหน้าอย่างพอใจ “ข้าอยากจะใส่อะไรบางอย่างเข้าไปในกระสุน เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

ความคิดของเขาง่ายมาก ในเมื่อ ‘แผ่นศิลา’ จะส่องแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาในตอนที่เกิดการเปลี่ยนรูปร่างอย่างรุนแรง อย่างนั้นขอเพียงยืมแรงปะทะของแรงขับดันดินปืน บางทีมันอาจจะทำให้เกิดผลแบบเดียวกับกระสุนส่องวิถีได้

หลักการทำงานของมันนั้นคล้ายๆ กับเครื่องบีบอัดขึ้นรูป โดยเขาจะทำการตัดช่องเป็นปากน้ำเต้าที่ค่อยๆ ลู่เล็กลงเอาไว้ที่ด้านในหัวกระสุน ส่วนด้านท้ายของหัวกระสุนจะแปะแผ่นศิลาแผ่นบางๆ แผ่นหนึ่งเอาไว้ ในตอนที่กระสุนถูกยิงออกไป แก๊สที่ขยายตัวจะดันแผ่นศิลาเข้าไปในปากน้ำเต้าและจะทำให้แผ่นศิลาไม่สามารถคืนสภาพเดิมได้แม้จะออกจากรังเพลิงไปแล้ว นั่นจะทำให้มันส่องแสงได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าแสงจะหมดไป

หลังอธิบายเพียงไม่กี่ประโยค อีกฝ่ายก็เข้าใจเจตนาของเขา

หลังจากนั้นหนึ่งวัน รายงานการทดสอบกระสุนก็มาวางอยู่บนโต๊ะทำงานของโรแลนด์

ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าวิธีนี้สามารถใช้ได้ผล หลังทำงานทดสอบอยู่หลายครั้ง กระสุนยี่สิบกว่านัดที่ทำการปรับปรุงมาสามารถส่องแสงออกมาได้อย่างชัดเจนต่อหน้าทุกๆ คน

เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก!

ที่ผ่านมาการทำศึกในเวลากลางคืนซึ่งมองไม่เห็นจุดตกของกระสุนนั้นเป็นจุดอ่อนสำคัญของกองทัพที่หนึ่ง ต่อให้ใช้พลุไฟ แต่การรบภายใต้แสงสลัวก็ยังไม่อาจทำให้การรบมีประสิทธิภาพดีเหมือนอย่างตอนกลางวันได้ นอกจากนี้ถ้าเอาปืนกลขึ้นไปติดบนเครื่องบินแล้วล่ะก็ ปัญหาที่ว่านี้ก็จะยิ่งเห็นได้ชัด ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่ฟ้าเปิดไม่มีเมฆ แต่ตัวนักบินก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองยิงกระสุนไปที่ไหน ถ้าสามารถใช้วิธีง่ายๆ แบบนี้มาทำให้เกิดผลเหมือนกระสุนส่องวิถีได้ เช่นนั้นมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อสงครามแห่งโชคชะตาที่กำลังจะมาถึงแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากสารเรืองแสงในกระสุนส่องวิถีแบบธรรมดานั้นจะถูกใช้จนหมดไปเรื่อยๆ ทำให้น้ำหนักและจุดศุูนย์ถ่วงเกิดการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็จะทำให้วิถีกระสุนเบี่ยงออกจาก ด้วยเหตุนี้ในช่วงแรกที่มันถูกนำออกมาใช้ จึงมีคำพูดที่ว่า ‘·ถ้ากระสุนส่องวิถียิงถูก นั่นก็หมายความว่ากระสุนอื่นยิงไม่ถูก’ แต่ถ้าใช้ ‘แผ่นศิลา’ ที่ไม่มีวันหายไปเป็นไฟนำทาง ประสิทธิภาพของมันกลับจะดีกว่ากระสุนส่องวิถีแบบเดิมเสียอีก ขอเพียงเพิ่มความยาวของตัวกระสุนนิดหน่อย การบินของกระสุนส่องวิถีแบบใหม่ก็จะแทบไม่ได้ต่างอะไรจากกระสุนธรรมดาเลย

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็อยู่ที่ว่าที่ดินแดนทางใต้สุดนั้นมี ‘แผ่นศิลา’ ให้ใช้มากน้อยเท่าไร

…..

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ สองผู้ค้นพบซากโบราณสถานในทะเลทรายก็เดินทางมาถึงท่าเรือน้ำตื้น

ภายในห้องรับแขก โรแลนด์ถามถึงสิ่งที่พวกเขาค้นพบในถ้ำใต้ทะเลอีกครั้ง

ซึ่งคำตอบของทั้งสองคนก็เหมือนกับที่เขียนเอาไว้ในรายงาน ก่อนที่จะเจอกับแมงป่องยักษ์หุ้มเกราะ พวกเขาเพิ่งจะเดินสำรวจเข้าไปในถ้ำแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ส่วนด้านหลังของ ‘กำแพงแผ่นศิลา’ นั้นมีอะไรอยู่ พวกเขาก็ไม่รู้หมือนกัน

พูดอีกอย่างก็คือ ‘แผ่นศิลา’ ที่พวกเขามองเห็นอาจจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในถ้ำนั้น

เพราะเมื่อวิเคราะห์ดูจากภาพวาดบนกำแพงในวิหารต้องสาปแล้ว การที่ทำให้เลือดรวมกันกลายเป็นแม่น้ำได้ แสดงว่าจำนวนแผ่นศิลาที่ว่าต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่

นอกจากนี้คำบรรยายส่วนหนึ่งของซิมบาดี้นั้นทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก นั่นก็คือสภาพแวดล้อมภายในถ้ำนั้นเหมือนกับโอเอซิสในซิลเวอร์สตรีม แม้แต่ดอกไม้แห่งเทวทูตในตำนานที่หายสาบสูญไปก็ยังปรากฏอยู่ในถ้ำนั้น

ถ้าอดีตทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลกลายเป็นทะเลทรายเพราะเทวทูตของสามเทพออกไปจริงๆ อย่างนั้นด้านล่างใต้ดินของแหลมเอนด์เลสมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันถึงจะถูก

บางทีอาจจะเป็นเพราะตำนานที่ว่ามีการบิดเบือน หรือไม่ก็ที่นั่นยังมีอะไรอย่างอื่นแอบซ่อนอยู่อีก

เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะไปขุดทะเลทรายตรงนั้นขึ้นมาดู

หลังถามคำถามเสร็จ โรแลนด์ก็เรียกชาวฟยอร์ดคนนั้นให้อยู่ก่อน

“ชุดดำน้ำของเจ้าน่าสนใจอย่างมาก โบราณสถานที่ค้นพบก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อของเจ้าถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์” เขาค่อยๆ จิบชา “บอกตามตรง พอเห็นเจ้าสามารถนำเอาเครื่องจักรไอน้ำไปใช้ในสิ่งประดิษฐ์ใหม่นั้น ข้ารู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ซื้อมันไป แค่จะใช้งานตามปกติก็ยังทำได้ลำบาก ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่เทคนิคที่ส่งไปจากโรงงานคอยให้คำชี้แนะ เกรงว่าพวกเขาคงได้แต่ยืนงงอยู่เฉยๆ แน่ เพียงแค่ความสามารถในการลงมือปรับปรุงแก้ไขมันของเจ้า เท้าข้างหนึ่งของเจ้าก็ได้ขึ้นมายืนอยู่บนแท่นรับรางวัลนักสำรวจกิตติมศักดิ์แล้ว”

“ขะ ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ริคส์พูดอย่างตื้นตัน “กระหม่อมเองก็ใช้เวลาอยู่ครึ่งปีกว่าจะเข้าใจหลักการควบคุมมัน หากพระองค์ทรงต้องการ กระหม่อมสามารถสร้างชุดดำน้ำขึ้นมาถวายให้พระองค์ก่อนได้นะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาเลยพ่ะย่ะค่ะ…”

“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการชุดดำน้ำของเจ้า” โรแลนด์ยิ้มเล็กน้อย “ความจริงแล้วขอเพียงข้าต้องการ ข้าสามารถสร้างชุดที่ดีกว่านี้ออกมาได้”

ริคส์กะพริบตาปริบๆ เหมือนคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบกลับมาเช่นนี้ เขาทำหน้ากระอักกระอ่วนคล้ายว่ากำลังฝืนยิ้มออกมา “ฝ่าบาท…”

แต่โรแลนด์ก็พูดตัดบทเขาขึ้นมา “บางทีเจ้าอาจจะคิดว่าข้าพูดเกินจริง แต่ว่าข้าไม่ถือสาหรอก สิ่งที่ข้าต้องการจริงๆ ก็คือ…สมาคมของแปลก”

อีกฝ่ายตกตะลึงไปทันที “กระหม่อม…ไม่เข้าใจความหมายของพระองค์…”

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพิสูจน์อะไร และข้าก็สามารถช่วยเจ้าทำให้มันเป็นจริงได้” โรแลนด์พูดตรงๆ “ตอนนี้ศาสตร์แห่งปราชญ์ในโลกนี้มีอยู่สองอย่าง นั่นคือโหราศาสตร์และการเล่นแร่แปรธาตุ ข้าคิดว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำนั้นไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าการเล่นแร่แปรธาตุเลย ทั้งคู่ต่างก็เป็นการสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อมนุษย์ทั้งสิ้น อย่างนั้นทำไมถึงจะยกให้ของแปลกกลายเป็นศาสตร์แห่งปราชญ์อย่างที่สามแล้วก็สร้างสมาคมอาชีพที่เหมาะกับมันขึ้นมาไม่ได้ล่ะ?”

ลมหายใจของริคส์ถี่กระชั้นขึ้นมา เขาเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ทันที ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูด เขาคงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลหรืออาจจะเป็นการพูดเสียดสี ถ้าเทียบกับสมาคมโหราศาสตร์และสมาคมเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงโด่ดังแล้ว สมาคมของแปลกนั้นเรียกได้ว่าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย แต่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนั้นไม่เหมือนคนอื่น ด้วยอำนาจและบารมีของพระองค์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เขากลืนน้ำลาย ก่อนจะรู้สึกว่าคอของตัวเองนั้นแห้งผากขึ้นมาเล็กน้อย “อย่างนั้น….ค่าตอบแทนของมันคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะช่วยให้สมาคมของแปลกมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา อย่างนั้นเขาก็ต้องมีเจตนาอื่นอยู่แน่

“ทั้งหมด”

“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ…?”

“แค่กๆ ไม่ ข้าหมายความว่าพวกเจ้าจะต้องมาทำงานให้ข้า” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย “ย้ายมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของเกรย์คาสเซิล ผลงานจากการวิจัยทั้งหมดจะเป็นของข้า รวมไปถึงสิทธิ์ในการขายและสิทธิ์ในการใช้งานมัน ส่วนพวกเจ้าก็จะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศและเงินทอง รวมไปถึงสภาพแวดล้อมในการทำวิจัยที่ดีกว่า”

“กระหม่อม…” ริคส์ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ถึงแม้สิ่งที่พวกเข้าสร้างออกมาจะโดนดูถูกและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเหมือนกับลูกของตัวเอง ถ้าต้องมอบมันให้กับคนอื่นล่ะก็ เกรงว่าคนในสมาคมกว่าครึ่งคงไม่ยอมรับปากแน่

“ข้ารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ลำบาก เจ้ากลับไปพักแล้วค่อยๆ คิดก่อนแล้วกัน” โรแลนด์ยืนขึ้น ก่อนจะเอาหนังสือที่อยู่ข้างตัวเล่มหนึ่งส่งให้เขา “หลังจากนี้สามวันค่อยให้คำตอบข้า”

“ฝ่าบาท นี่มัน…” ริคส์รับหนังสือมา ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจ

“รางวัลตอบแทนที่เจ้าค้นพบซากโบราณสถาน” เขายิ้มมุมปากขึ้นมา

………………………………………………………………….