ตอนที่ 646 หน้าที่ของเจ้าสำนัก

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 646

หน้าที่ของเจ้าสำนัก

“ท่านเจ้าสำนัก”ทันทีที่ชิอิงเยี่ยได้รับความพ่ายแพ้ เหล่าอาวุโสและศิษย์ของสำนักวิถีเซียนก็รีบเข้าไปหาเจ้าสำนักของตนทันทีท่ามกลางความแตกตื่นใจของเหล่าคนร่วมงาน มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่สำนักวิถีเซียนได้ชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ไม่มีใครทาบรัศมีได้ แต่ยามนี้ทุกคนล้วนได้ประจักษ์แล้วว่าหยูเจินเหอนั้นได้ก้าวข้ามชิอิงเยี่ยได้สำเร็จอย่างสง่าผ่าเผย

“ข้าไม่เป็นไร”ชิอิงเยี่ยว่าพลางยืนหยัดกายขึ้นมาต่อหน้าหยูเจินเหอช้าๆ แม้จะพ่ายแพ้แต่เพราะเดิมทีตนเองเป็นผู้ใช้วิชากายาเหล็กไหลทำให้ร่างกายทนทานกว่าคนปกติมาก แค่ผลจากการประลองนั้นไม่ทำให้ถึงตายหรอก

“ท่านหยู วันนี้นับว่าท่านทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ชิอิงเยี่ยประสานมือคารวะหยูเจินเหอด้วยท่าทีจริงจัง ในเมื่อแพ้ก็ไม่มีอะไรจะอ้าง ยามนี้ผู้แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรซานในความเข้าใจของผู้อื่นคือหยูเจินเหอแล้วไม่ผิดพลาดแต่อย่างไร

“ท่านเจ้าสำนักท่านไปพักก่อนเถอะขอรับ ตำแหน่งสำนักอันดับ 1 พวกเราจะรักษาเอาไว้เอง”เหล่าอาวุโสและศิษย์ของสำนักวิถีเซียนต่างพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง แม้เจ้าสำนักจะพ่ายแพ้ แต่ผลการตัดสินนั้นยังไม่เป็นที่สิ้นสุด หยูเจินเหอชนะก็ได้ไป 5 คะแนน ยังเหลือคะแนนของรองเจ้าสำนัก อาวุโส และเหล่าศิษย์อยู่อีก หากสามารถเอาชนะได้ทั้งหมดก็ยังสามารถครองตำแหน่งอันดับ 1 เอาไว้ได้

“พวกเจ้าไปสู้ให้เต็มที่”หยูเจินเหอยิ้มด้วยท่าทีพึงพอใจก่อนจะเดินลงจากลานประลองกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตนด้วยท่าทีพึงพอใจ เวลาหลายปีที่พยายามมาไม่เสียเปล่าเลย ในที่สุดตนเองก็สามารถคว้าชัยชนะได้เสียที

ผลัก!!

แม้หยูเจินเหอและชิอิงเยี่ยเจ้าสำนักทั้งสองจะลงจากลานประลองไปแล้ว แต่การประลองก็ยังดำเนินต่อไป น่าเสียดายนอกจากหยูเจินเหอที่พลังข้ามขีดจำกัดจากระดับเสินเซียนไปเทียนเซียนแล้วทั้งรองเจ้าสำนัก อาวุโส และ ศิษย์เอกทั้งสามต่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก ทั้งนี้เพราะหยูเจินเหอใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการพัฒนาพลังของตนเองให้เหนือกว่าชิอิงเยี่ย ทั้งเวลาและเงินทุนของสำนักต่างระดมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“อัก…..” ไม่ทราบเพราะเงินทุนของสำนักวิญญาณกระบี่หมดไปกับสมุนไพรล้ำค่าของหยูเจินเหอหรือไม่ ทำให้เหล่าศิษย์ของสำนักวิญญาณกระบี่ไม่ได้พัฒนาไปมากนักใน 1 ปีที่ผ่านมา ไม่นานเหล่าศิษย์เอกของสำนักวิญญาณกระบี่ รวมถึงอาวุโส และ รองเจ้าสำนักต่างก็พ่ายแพ้ไปทีละคนอย่างช้าๆ ทำให้คะแนนอันดับสำนักของสำนักวิถีเซียนกลับมาเป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง

“แบบนี้สำนักวิถีเซียนก็ยังเป็นอันดับ 1 อยู่สินะ”เหล่าคนของสำนักต่างๆได้เห็นผลประลองก็พากันซุบซิบปรึกษากันเป็นการใหญ่ ส่วนใหญ่ก็พูดกันเรื่องที่สำนักวิถีเซียนควรจะตกเป็นอันดับ 2 ได้แล้วทั้งๆที่เจ้าสำนักพ่ายแพ้ไปแล้วนั่นเอง

“ท่านชิอิงเยี่ย ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าสำนักท่านไม่ควรรับอันดับ 1 เอาไว้แล้ว”เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากในกลุ่มของสำนักด้านหลังสำนักวิถีเซียน คำถามนั้นทำเอาชิอิงเยี่ยชะงักไปไม่น้อย หากวัดกันจริงๆหากหยูเจินเหอล้มชิอิงเยี่ยลงได้ และบุกสำนักวิถีเซียนด้วยตนเอง ผลที่ออกมาก็ย่อมเป็นสำนักวิถีเซียนที่พ่ายแพ้เป็นแน่ ที่สำนักวิถีเซียนสามารถยึดที่ 1 ไว้กับตัวได้ก็อาศัยกฎกติกาของงานวิจารณ์กระบี่เท่านั้น

“นั่นสิ ในเมื่อพ่ายแพ้แล้วก็น่าจะยอมรับไป เป็นข้าคงยกอันดับ 1 ให้ไปแล้ว”เสียงจากคนด้านหลังยังคงดังไม่เลิก แม้จะดูเสียมารยาทแต่คนของสำนักวิถีเซียนก็เถียงไม่ออกเลย

“หึหึ แบบนั้นก็ไม่เลวนะ”หยูเจินเหอหัวเราะพลางมองมาทางชิอิงเยี่ยด้วยท่าทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นับว่าคราวนี้หยูเจินเหอพลาดไปหน่อยที่ไม่ได้พยายามฝึกฝนคนของตนเท่าไหร่ แต่ผลมันก็ออกมาค้านสายตาไปหน่อยจริงไหม

“น่าขำ ทำไมอันดับสำนักถึงต้องวัดแค่ระดับของเจ้าสำนักกัน”อยู่ๆหลินเฟยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆด้วยท่านั่งไขว่ห้างบนโต๊ะของเจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทราย

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”หยูเจินเหอถามพลางมองไปทางหลินเฟยด้วยท่าทีไม่พอใจนัก ตอนนี้ทุกคนกำลังเข้าข้างมันแท้ๆ หากช่วยกันพูดบางทีองค์จักรพรรดิอาจจะเปลี่ยนแปลงผลก็ได้ เจ้าเด็กนั่นเป็นใครถึงกล้าพูดขัดขึ้นมา

“ที่องค์จักรพรรดิให้เกณฑ์การตัดสินออกมาเป็นเช่นนั้นเพราะต้องการจัดอันดับของสำนักไม่ใช่หรือ ในฐานะผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณคนหนึ่ง ท่านแข็งแกร่งมาก แต่ดูเหมือนในฐานะเจ้าสำนักท่านยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร”หลินเฟยพูดจบก็หันไปมองทาองค์จักรพรรดิเล็กน้อยเหมือนจะส่งสัญญาณให้

“ถูกแล้ว ในฐานะอาจารย์และเจ้าสำนัก การสั่งสอนศิษย์ของตนเองถือเป็นหน้าที่สำคัญยิ่ง การจัดอันดับสำนักจึงต้องวัดความเก่งกาจของตัวเจ้าสำนักและเหล่าผู้อยู่ใต้การปกครองของเจ้าสำนักด้วย ตำแหน่งอันดับ 1 และ 2 ในปีนี้จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง”องค์จักรพรรดิพูดด้วยท่าทีเป็นทางการ เมื่อได้ฟังเหตุผลและคำตัดสินแล้วเหล่าสำนักต่างๆก็ลดท่าทีขัดข้องใจต่อเจ้าสำนักวิถีเซียนลงทันที

“นับว่าปีนี้ข้ายอมให้เจ้าไปก่อน”หยูเจินเหอว่าพลางมองไปทางเจ้าสำนักวิถีเซียนด้วยท่าทีไม่พอใจ

“น่าเสียดายนะ โอกาสของท่านหมดตั้งแต่ปีนี้แล้ว”ชิอิงเยี่ยว่าพลางหัวเราะเบาๆออกมา ในปีหน้าเจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทรายอย่างหลินเฟยสามารถลงประลองได้แล้ว แถมรองเจ้าสำนักอย่างผานซูก็ใกล้จะเลื่อนเป็นระดับเสินเซียนขั้นที่ 10 แล้ว เชื่อว่าโอกาสที่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในปีหน้าไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย

กึก….

หลังจากการประลองทั้งหมดจบลง ตำแหน่งของสำนักต่างๆก็ถูกนำมาเขียนติดอยู่บนแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของค่ายทหาร แผ่นป้ายนี้ประดับชื่อสำนักอันดับต่างๆเอาไว้จนครบถ้วน มีเพียงสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเท่านั้นที่ชื่อถูกเขียนแยกออกไปไม่เอามารวมในอันดับต่างๆ เมื่องานวิจารณ์กระบี่จบลง ป้ายแผ่นนี้จะถูกนำไปติดที่หน้าวังเพื่อประกาศให้ประชาชนได้ทราบทั่วกันว่าผลการประลองเป็นเช่นไร

“ท่านเจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทราย ปีนี้ท่านไม่ได้ออกแรงเลยไม่ทราบสนใจจะถกวรยุทธกับข้าหรือไม่”ชิอิงเยี่ยว่าพลางเดินเข้าไปหาหลินเฟยด้วยท่าทียิ้มแย้ม ไม่เหลือท่าทีเสียใจที่ตนเองพ่ายแพ้เลยแม้แต่น้อย ส่วนที่มันทำเช่นนี้เพราะหลังจากจบการประลองก็จะเข้าสู่ช่วงศึกษาวรยุทธร่วมกัน สำนักต่างๆสามารถเข้าไปปรึกษาหารือกันได้อย่างเต็มที่ บ้างก็ยืมเวทีประลองในการทดสอบวรยุทธตนกับสำนักอื่นๆก็มี โดยปกติแล้วสำนักเล็กๆจะเข้าไปขอคำชี้แนะจากสำนักใหญ่ๆ แต่คราวนี้ชิอิงเยี่ยที่ยังคงเป็นเจ้าสำนักอันดับ 1 กลับเข้าไปหาหลินเฟยด้วยตนเองทำเอาหลายๆคนมองด้วยท่าทีประหลาดใจไม่น้อย

“อะไรของมัน…”หยูเจินเหอว่าพลางมองไปทางชิอิงเยี่ยด้วยท่าทีไม่พอใจนัก มันนึกว่าชิอิงเยี่ยจะเสียใจกว่านี้เสียอีก แต่มันกลับไปหาเจ้าหนุ่มนั่นหน้าตาเฉยเสียได้

“เจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทราย”เห็นชิอิงเยี่ยเข้าไปคุยกับหลินเฟย หยูเจินเหอก็พลันนึกถึงตอนที่หลินเฟยพูดขัดมันขึ้นมาเสียเฉยๆแล้วก็อดแค้นไม่ได้ หยูเจินเหอจึงลุกขึ้นมาเดินไปหาหลินเฟยด้วยท่าทีบึ้งตึงทันที

“มีอะไรหรือท่านเจ้าสำนักวิญญาณกระบี่”หลินเฟยถามพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

“เมื่อครู่ท่านกล่าวหาว่าข้าทำหน้าที่เจ้าสำนักสอนสั่งศิษย์ได้ไม่ดีพอสินะ”หยูเจินเหอพูดจบก็หันไปมองเหล่าศิษย์ของหลินเฟย เหล่าศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างมันมีแต่ศิษย์สตรี มีเพียงฟงเป่าเท่านั้นที่เป็นชาย แถมฟงเป่ายังมีพลังต่ำมากอีกต่างหาก แต่หลินเฟยกลับกล้าที่จะเอ่ยปากต่อว่ามันเรื่องดูแลศิษย์งั้นหรือ

“ถูกต้องแล้วข้าได้กลิ่นสมุนไพรมีค่าจากตัวท่านมากมายหลายชนิด เพื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนเซียนท่านคงลงทุนลงแรงมาก แต่ที่ตัวศิษย์ของท่านกลับไม่มีกลิ่นของสมุนไพรเลย”หลินเฟยว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แน่นอนว่าหลินเฟยไม่ได้กลิ่นอะไรหรอกแม้จะจมูกดีเท่าบิดาของมันก็ตาม แต่หลินเฟยใช้ดวงตาสีม่วงตรวจสอบพลังของหยูเจินเหอแล้วต่างหาก ที่พูดออกมาแบบนั้นเพราะไม่อยากอธิบายเรื่องดวงตาของตนเท่านั้นเอง

“ปากเก่งดีนี่ เช่นนั้นตัวเจ้าสั่งสอนศิษย์ได้ดีกว่าข้างั้นหรือ”หยูเจินเหอกำหมัดด้วยท่าทีไม่พอใจ เรื่องที่หลินเฟยพูดออกมานั้นมันไม่ได้เถียงแม้แต่คำเดียวเพราะมันทำเช่นนั้นจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะถูกพูดออกมาต่อหน้าผู้คนแบบนี้ช่างน่าอายจริงๆ

“ข้าพึ่งมาเป็นเจ้าสำนักได้ไม่นาน ย่อมมีความสามารถไม่เท่าท่านอยู่แล้ว แต่ข้าเชื่อว่าข้ามีความใส่ใจศิษย์พอสมควรเลย”หลินเฟยยิ้มพลางหันไปมองศิษย์ของตนเอง หลินเฟยทั้งหาสมุนไพร มอบวิชา รวมทั้งมอบพลังอสูรให้พวกฟงเป่าอีกด้วย ที่ทั้งสามพัฒนามาได้อย่างรวดเร็วนั้นหากไม่ใช่เพราะหลินเฟยแล้วจะเพราะใครอีก แถมอาทู้ที่พึ่งมาใหม่ก็ได้รับการช่วยชีวิตแถมหลินเฟยยังสังหารเจ้าสารเลวที่ทำร้ายตนเองให้อีก มีอะไรที่อาทู้จะกล่าวหาหลินเฟยได้กัน

“ดี งั้นเจ้ากล้าให้ศิษย์ของเจ้ามาประลองกับศิษย์ของข้าหรือไม่”หยูเจินเหอว่าพลางชี้ไปที่ฟงเป่าด้วยท่าทีไม่พอใจ

“แบบนั้นศิษย์ท่านคงเสียเปรียบแย่ ศิษย์ของข้ายังไม่ได้ประลองยังมีกำลังสมบูรณ์ดี เช่นนั้นให้ศิษย์คนที่ยังไม่ได้ประลองมาร่วมประลองกับศิษย์ของข้าดีหรือไม่”หลินเฟยถามพลางมองไปที่เก้าอี้ของสำนักวิญญาณกระบี่

“คนนั้นเป็นไง”หลินเฟยพูดจบก็ชี้ไปที่หยูเซินที่นั่งอยู่ในกลุ่มของสำนักวิญญาณกระบี่ทันที หยูเซินติดตามเจ้าสำนักมาเพราะเป็นหลานชายของเจ้าสำนัก แม้จะมีพลังระดับเสินเซียนขั้นที่ 8 แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมประลองแต่อย่างไร

“หยูเซินงั้นหรือ ย่อมได้”หยูเจินเหอหัวเราะออกมาพลางมองไปทางฟงเป่าด้วยท่าทีดูถูกแม้หยูเซินจะไม่ได้เข้าประลองแต่ก็มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในเด็กตระกูลหยู หยูเจินเหอจึงไม่คิดว่าเด็กอย่างฟงเป่าจะทำอะไรหลานของมันได้แม้แต่น้อย

“อาจารย์ ท่านแน่ใจหรือขอรับ”ฟงเป่าที่ถูกเรียกตัวไปประลองถามไปทางหลินเฟยด้วยท่าทีสงสัย ตนเองยังอ่อนด้อยกว่าหยูเซินอย่างเห็นได้ชัด จะให้มันไปสู้จริงๆงั้นหรือ

“ไม่ต้องกังวล การประลองครั้งนี้เป็นเพียงการศึกษาวิชา เจ้าไปประลองแล้วจดจำกระบวนท่าของมันให้ดี ถ้าเป็นไปได้ก็ทำลายกระบี่ของมันซะ”หลินเฟยว่าพลางจ้องมองไปที่หยูเซินอย่างพิจารณา ระดับพลังของหยูเซินไม่ธรรมดา แต่ฟงเป่าเองก็มีทั้งพลังอสูรและพลังวิญญาณเกื้อหนุนกัน แถมยังมีวิชาที่ยอดเยี่ยมกว่าสำนักวิญญาณกระบี่หลายเท่า แม้จะไม่มีโอกาสชนะหยูเจินเหอที่เข้าระดับเทียนเซียนไปแล้ว แต่ถ้าแค่หยูเซินละก็ ไม่แน่..