ไม่ว่าค่ำคืนจะยาวนานเพียงใดก็ต้องผ่านพ้นไปในที่สุด เมื่อรุ่งอรุณใกล้เข้ามา ชุดเกราะของเทพเจ้าที่ยืนอยู่ที่ประตูก็ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง หลี่เฉิงเฉียนเดินไปเดินมาไม่หยุด เขาอยากรู้ว่าท่านพ่อของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วหรือยัง
จั่งซุนตื่นเช้ามาก็เห็นอวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ กับหลี่เค่อหดตัวอยู่ในเสื้อคลุม นางปิดปากหัวเราะ เดินไปขอบคุณฉินฉยงกับอวี้ฉือที่ลำบากมาแล้วทั้งคืน
เหลือบมองดูพระอาทิตย์สีแดงที่กำลังขึ้นมา ทั้งสองคนกล่าวลาจั่งซุน ลากร่างกายอันเหนื่อยล้าออกไปจากพระราชวัง
อวิ๋นเยี่ยเผาแผ่นหินไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ความหนาวเย็นจึงไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา แต่หลังจากที่หลี่ไท่กับหลี่เค่อเข้ามา เขาก็ปวดเมื่อยทั้งตัว
“เมื่อคืนฝ่าบาทนอนหลับสนิท ตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น ไท่ซั่งหวงก็เช่นกัน”
ได้ยินจั่งซุนพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รีบบอกให้หลี่เฉิงเฉียนเตรียมรถม้าให้เขาคันหนึ่ง เขาจะกลับบ้าน ถ้าไม่ได้นอนสักสองวันสองคืน เขาก็จะไม่ยอมตื่น
รักษาอาการป่วยให้คนอื่น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย รักษาอาการป่วยให้ตระกูลหลี่กลับยังต้องเสี่ยงชีวิตด้วย ไอ้หยวนเทียนกัง ครั้งนี้เล่นงานเขาไว้หนัก เอามาแค่ ‘คัมภีร์หวงถิง’ ก็ถือว่าไม่ได้ทำเกินไป
กลับมาถึงเขาอวี้ซัน สงครามของซินเย่วกับน่ารื่อมู่สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของซินเย่ว อารมณ์ของหญิงมีครรภ์ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่อมู่เด็กเลี้ยงแกะจะรับมือได้ หันก้นให้ซินเย่วตีด้วยไม้ปัดขนไก่สองที
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ซินเย่วเอาเครื่องประดับกล่องใหญ่ที่ตัวเองไม่ได้ใส่ให้กับน่ารื่อมู่ ตบหัวแล้วลูบหลัง ซินเย่วทำได้อย่างชำนาญ
น่ารื่อมู่ที่ซื่อบื้อ พอเห็นกล่องเครื่องประดับ นางก็ลืมความเกลียดชังที่ถูกซินเย่วตีก้นไปในทันที ถามซินเย่วอย่างซื่อบื้อว่า ถ้าให้ตีก้นอีกสักสองสามที จะให้เครื่องประดับนางอีกสักหน่อยได้หรือไม่
ซินเย่วมองบน คิดว่าสั่งสอนนางด้วยด้วยวิธีนี้คงจะได้ผล แต่มันกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าน่ารื่อมู่
เห็นว่าไม่มีเครื่องประดับแล้ว น่ารื่อมู่ก็เลยถอดเสื้อผ้าออกก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะเข้านอน ให้อวิ๋นเยี่ยดูหลักฐานที่เขาถูกซินเย่วตี
ทำอะไรกับหญิงมีครรภ์พุงโตไม่ได้ ทำได้แค่พูดบ่นสองสามคำ ซินเย่วมองดูคนสองคนที่กำลังรักใคร่กันในผ้าห่ม นางก็โมโหขึ้นมา
นางเข้าไปนอนอยู่ตรงกลางอย่างหยิ่งผยอง ผลักน่ารื่อมู่ที่เปลือยกายอยู่ออกไป บอกว่าทำอะไรเหลวไหลกลางวันแสกๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม
ในบรรยากาศครอบครัวที่กลมกลืน อวิ๋นเยี่ยที่ง่วงนอนและเหนื่อยล้าจับตรงส่วนอ่อนไหวของซินเย่วสองที แล้วหลับไปอย่างมีความสุข
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นตอนกลางคืนแล้ว แสงไฟสีแดงอมส้มลอดผ่านช่องว่างเข้ามา ช่างแสนอบอุ่น ขี้เกียจที่จะลืมตา ได้ยินน่ารื่อมู่กับซินเย่วกำลังกระซิบกระซาบคุยกัน
“ในบ้านไม่ได้มีผู้หญิงแค่เราสอง ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไร้ยางอาย นางใช้ยาจับท่านพี่ แล้วตอนนี้ลูกยังคลอดออกมาแล้วด้วย”
“ผู้หญิงประเภทนี้ไม่สมควรที่จะจมน้ำตายหรอกหรือ ฮ่วนเหนียงเคยเล่าให้ข้าฟัง เหตุใดถึงไม่จมน้ำตายไปซะ”
“นางเป็นลูกสาวของฮ่องเต้ ตระกูลนั้นไม่มีใครเป็นคนดีสักคน ดีที่นางอยู่ไกล ท่านพี่ก็ไม่ค่อยชอบหน้านาง หากนางอยู่ในเมืองก็คงจะใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้”
“ควรส่งให้ไปอยู่ไกลๆ ไกลกว่าฉ่าวหยวนอีกหรือ”
“แน่นอน หนึ่งเดือนก่อนที่เจ้าจะมาที่บ้าน นางก็ออกไปแล้วสามเดือน เจ้าเป็นภรรยารองที่ตระกูลต้อนรับ มีบรรดาศักดิ์ระดับแปด เป็นภรรยาที่สองของตระกูล ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงองค์หญิง แต่กลับไม่มีชื่อเสียงไม่มีตำแหน่ง และยังเป็นแม่ม่าย มาที่บ้าน แม้กระทั่งสุนัขก็ยังไม่สนใจนาง”
“แล้วเด็กจะทำเช่นไร เป็นลูกของท่านพี่ เราไปรับมาเลี้ยงดูดีไหม ที่ฉ่าวหยวน ผู้หญิงที่ผู้ชายไม่ต้องการไม่มีสิทธิ์เอาลูกไปด้วย”
“แน่นอนว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกตระกูลอวิ๋น ตระกูลของเราไม่ได้มีผู้สืบทอดมากนัก ผู้ชายก็มีท่านพี่แค่คนเดียว ในท้องของข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้หญิงคนนั้นก็ถือว่าโชคดี คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าจะให้ลูกชายแก่นาง มีตาหามีแววไม่”
“ในท้องของท่านพี่ต้องเป็นลูกชายแน่นอน ตอนที่ท่านแม่ของข้าคลอดน้องชายข้า ข้าบอกว่าเป็นลูกชาย สุดท้ายก็เป็นลูกชายจริงๆ”
“อืม ข้าก็คิดว่าเป็นลูกชาย เจ้าต้องพยายามมีอีกคน ตระกูลเรามีกิจการใหญ่โต ลูกข้าคนเดียวดูแลไม่ทั่วถึง อนาคตลูกที่อยู่ในท้องของข้าจะได้มีผู้ช่วยสักสองสามคน”
“เจ้าจัดการฉ่าวหยวนให้เรียบร้อยแล้วกลับมา เป็นภรรยาท่านโหวดีๆ ไม่เป็น แต่กลับอยากออกไปต้อนแกะ อยู่บ้านให้คนรับใช้ได้คอยรับใช้บ้าง”
“ข้าก็อยากมีลูก แต่ท้องของข้าไม่เคยขยับเลย”
“ยัยโง่ อยากมีลูก เจ้าต้องทำเช่นนี้…”
ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป ผู้หญิงสองคนอยู่ด้วยกันไม่มีเรื่องดี น่ารื่อมู่สาวชาวฉ่าวหยวนที่เรียบง่าย ตอนนี้ถูกซินเย่วชักจูงไปแล้ว รู้จักรังแกคนรับใช้แล้ว เห็นแค่สาวใช้ที่นวดขาให้นางก็รู้แล้วว่าคงจะไม่มีชีวิตที่ง่ายดายอีกต่อไป ต้องนวดให้แรงๆ แล้วยังต้องมีจังหวะ อย่าให้ปิ่นปักผมของนางตกลงมา
ซินเย่วได้ยินเสียงหายใจที่ดังขึ้นของอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเขาตื่นแล้ว เอาผ้าขนหนูเปียกไปเช็ดหน้าให้เขา
“เอาผ้าขนหนูไปแช่น้ำร้อนแล้วเอามาโปะที่หน้า เมื่อคืนนอนตากลมหนาวทั้งคืน หน้าชาไปหมดแล้ว”
น่ารื่อมู่กระโดดลงมา เอะอะโวยวายเตรียมน้ำอุ่นและอาหาร สาวใช้ถูกนางสั่งให้วิ่งไปทั่ว
นอนหลับมาเกือบทั้งวัน ความง่วงและเหนื่อยล้าก็หายไปหมดแล้ว ไม่ต้องการอาหารใดๆ แค่ได้ทานก๋วยเตี๋ยวสักชามก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุข
ใส่รองเท้าแล้วเดินออกมาจากห้องนอน กลับมาถึงบ้านแล้ว ยังไม่ได้ไปอรุณสวัสดิ์ท่านย่าเลย
ท่านย่าไม่ได้นั่งรถม้าตระเวณตรวจกิจการของตระกูลอวิ๋นเหมือนสองปีที่ผ่านมาอีกต่อไป ตอนนี้นางสนใจเรื่องของพระพุทธเจ้า วัดทั่วทั้งฉางอัน นางก็ได้ทิ้งรอยเท้าของนางไว้หมดแล้ว บริจาคเงินก็ไม่เคยขี้เหนียว โดยเฉพาะวัดซืออันในเมืองฉางอัน ได้ยินมาว่าท่านย่าของตระกูลอวิ๋นขอท่านโหวมาจากที่นี่ ช่วงสองปีที่ผ่านมาที่นี่ถึงได้เป็นที่โด่งดัง ถ้าพระพุทธเจ้าทำตามความปรารถนาของคนพวกนี้ทุกคน ท่านโหวของต้าถังคงจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งแน่นอน
ทุกวันตอนเย็นก็ทำการบ้านไม่เคยขาด นั่งคุกเข่าในห้องพระ เคาะปลาไม้ นับลูกปัดหลากสีที่อวิ๋นเยี่ยได้มาจากพระสงฆ์ของลัทธิเต๋า สีหน้าเคร่งเครียดและยังดูมีความเมตตา
หลังจากที่ท่านย่าอ่านพระคัมภีร์จบ อวิ๋นเยี่ยก็เดินเข้าไป หยิบคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ท่านย่า
“ท่านย่า นี่คือสมบัติล่ำค่าของลัทธิเต๋า ‘คัมภีร์หวงถิง’ ที่เขียนโดยซีอ๋อง บนโลกใบนี้มีเพียงม้วนนี้ม้วนเดียว ท่านเก็บเอาไว้ นี่คือมรดกตกทอดของตระกูลเรา”
ท่านย่ารับ ‘คัมภีร์หวงถิง’ มา แตะที่เสาของห้องพระ มีหลุมอยู่ตรงกลางเสา ท่านย่าเอาคัมภีร์มาม้วนใหม่อีกครั้ง แล้วเก็บใส่ข้างใน แตะตรงรูปแกะสลักบนเสา ปากหลุมก็ปิดโดยอัตโนมัติ ช่างน่ามหัศจรรย์
เห็นอวิ๋นเยี่ยสงสัย ท่านย่าก็เลยพูดว่า “หลุมเก็บสมบัตินี้ ย่าให้ท่านกงซูทำให้ตระกูลของเราเป็นพิเศษ ไม่กลัวไฟ ไม่กลัวน้ำ เป็นกลไกที่ดีมาก แม้แต่ขโมยก็ไม่มีทางหาเจอ”
หันหน้าไปดู ท่านย่ายังคงเก็บภาพวาดที่อวิ๋นเยี่ยวาดไว้เมื่อสองปีก่อน แต่ในหลุมเก็บสมบัติกลับไม่มีเงิน สิ่งที่มีอยู่คือตราประจำตระกูลอวิ๋น ภาพวาดบางภาพ หนังสือสูตรลับ รวมถึง ‘คัมภีร์หวงถิง’ ที่เพิ่งเอาใส่เข้าไปเมื่อครู่ นางยังคงคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือรากเหง้าของตระกูลอวิ๋น
ประคองท่านย่ากลับไปที่ห้องนอน อยู่คุยเป็นเพื่อนนางสักหน่อย แล้วถึงได้ขอตัวออกมา มองผ่านห้องของน้องสาวไปทีละห้อง ตอนนี้พวกนางโตเป็นสาวกันหมดแล้ว จะผลักประตูเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ ได้แค่ทำเสียงเตือนนอกหน้าต่าง ให้ระวังเตาไฟในห้อง
เดินมาถึงลานหน้าบ้าน ห้องของซ่านอิงว่างเปล่า เขากลับไปลั่วหยางแล้ว ประชาชนที่อ่อนแอนับร้อยคนได้ขังเขาไว้ที่ลั่วหยางอย่างแน่นหนา แม่บ้านบอกว่า ซ่านอิงเดินไปมาระหว่างห้องทำไม้ขีดไฟกับที่ทำงานทุกวันไม่ได้พัก
เหล่าเฉียนถือตะเกียงมองไปรอบๆ เจอกับอวิ๋นเยี่ยที่หน้าประตู เขาถือตะเกียงส่องทางให้กับเจ้านาย นายบ่าวเดินคุยกันอยู่ในจวน
“ทางบ้านปกติดีใช่ไหม”
“ครับท่านโหว ตระกูลของเราปกติมาโดยตลอด เพียงแต่ส่งคนออกไปค่อนข้างเยอะ ทางนี้เลยมีคนไม่เพียงพอ คราวนี้ที่ทำการขอให้ส่งไปยังองค์ชายใหญ่ของหลิ่งหนาน องครักษ์ของเราก็เหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบคน แถมยังส่งไปที่สำคัญที่อื่นๆ ส่วนที่เหลืออยู่ก็แทบจะเรียกมาไม่ได้”
“คนไม่พอก็หามาเพิ่มเยอะๆ เลือกคนที่รู้รากเหง้า เป็นคนดีก็พอ อย่าหาพวกที่มีฝีมือในการต่อสู้ พวกที่จิตใจไม่ดี”
“ท่านโหวคงไม่ทราบ นึกถึงพวกทหารพรานที่นับไม่ถ้วนของตระกูลเราล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่เอาไหน แม้แต่เหล่าฮั่นยังไม่มองพวกเขา คนพวกนั้นล้วนแต่หวังเงินของเรา ไม่มีใครดีสักคน หาจากพวกทหารเก่าดีกว่า มิเช่นนั้นก็คนรุ่นหลังของหมู่บ้าน เอามาฝึกฝนเองที่บ้าน”
ตอนนี้เหล่าเฉียนมีวิสัยทัศน์สูง พวกทหารพรานมีชื่อเสียงแย่ คิดว่าถ้าเอาพวกเขากลับมา มันจะทำให้ตระกูลอวิ๋นต้องอับอายขายหน้า สิ่งที่เขาเชื่อมากที่สุดก็คือพวกทหารที่อวิ๋นเยี่ยพากลับมาด้วย แล้วก็คนของหมู่บ้านตัวเอง มักจะคิดว่าคนอื่นไม่คู่ควรกับชื่อเสียงที่ดีและสะอาดบริสุทธิ์ของตระกูลตัวเอง
“เจ้าคิดเอาเองว่าจะจัดการเช่นไร ต้นฤดูใบไม้ผลิฮูหยินที่สองจะกลับฉ่าวหยวน จะไม่มีคนของตัวเองไปด้วยไม่ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าปล่อยให้บ้านเราไม่เหลือสักคนล่ะ”
“ท่านโหวสบายใจได้ขอรับ พรุ่งนี้ข้าจะไปเปิดรับสมัครพวกทหารกับพวกคนในหมู่บ้าน บอกว่าคนที่รับมาครั้งนี้จะต้องถูกส่งไปฉ่าวหยวน หากไม่มีใครมาสมัคร ข้าจะไปหาพวกทหารที่เกษียณไปแล้วของที่อื่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอายุมาก แต่พวกเขาก็ยังมีฝีมือดี แค่พวกเขาได้ยินว่ามาทำงานให้ตระกูลเรา ต้องมาสมัครกันเยอะแน่ๆ พวกทหารเสริมกลุ่มใหญ่ที่รอเข้ามาบ้านเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“ปีนี้มีกี่คนที่ถูกปลดจากการเป็นทาส”
พูดถึงเรื่องนี้เหล่าเฉียนก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา “ท่านโหวคงจะไม่ทราบ นี่เป็นบุญใหญ่ของการปลดปล่อยชีวิต บ้านอื่นได้ยินมาว่ากำลังรอข่าวดี ทุกคนล้วนอยากจะเป็นคนธรรมดา ไม่อยากเป็นคนรับใช้ แต่ตระกูลเรากลับตรงกันข้าม ทุกปีท่านจะปลดทาสสิบคน สองวันก่อนข้าก็ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเขาแล้ว แต่ถึงตอนนี้มีแค่คนเดียวที่มาขอปลดทาส แล้วยังเป็นเพราะว่าลูกของตัวเองเป็นเด็กฉลาด ไม่อยากทำลายอนาคตของเด็ก ถามข้าว่าปลดทาสให้แค่ลูกของเขาคนเดียวได้หรือไม่ พวกเขาสองคนยังอยากอยู่รับใช้ที่ตระกูลของเราต่อ ถูกข้าถ่มน้ำลายใส่หน้าไปทีหนึ่ง”
พูดถึงเรื่องนี้เหล่าเฉียนก็หัวเราะอย่างมีความสุข
เป็นเช่นนี้ก็ดี อวิ๋นเยี่ยคงไม่มีอะไรต้องกังวลกับเรื่องของที่บ้าน ความสามัคคีในบ้านเป็นเรื่องสำคัญ ไม่รู้ว่าพวกเศรษฐีในฉางอันถูกล้างสมองกันหมดทุกคนเลยเหรอ ประชาชนของต้าถังล้วนแต่เป็นคนเรียบง่ายและใจดี เพียงแค่เจ้ามีบุญคุณต่อพวกเขา พวกเขาก็ะจดจำมันไปตลอดชีวิต ช่วงวิกฤตพวกเขาก็พร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณ แล้วยังไม่คิดถูกผิด ดูจากโต้วเยี่ยนซานก็รู้ ไอ้เจ้านั่นตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับโทษ ไม่รู้ว่าไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ไหน ทั้งหมดนี้เป็นผลของการมีคนรับใช้ที่จงรักภักดีจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าตระกูลโต้วจะล่มสลายไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ หัวใจของคนเช่นนี้ ใช้ทองคำแลกมาก็ไม่ได้